Mag-log inสิ่งแรกที่เห็นคือผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอุ้มลูกน้อยอยู่บนตัก อีกฝ่ายเป็นคนที่มีใบหน้ารูปไข่ เครื่องหน้าจิ้มลิ้มนั้นควรเรียกว่าน่ารัก คงเหมาะกว่าใช้คำว่าสวย ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนม้วนเป็นลอนทิ้งตัวอยู่บนบ่า เด็กน้อยหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ส่งเสียงอ้อแอ้ กำลังใช้นิ้วอวบป้อมเกี่ยวพันปอยผมของมารดา แล้วหัวเราะชอบใจยกใหญ่
“ดึงผมแม่อีกแล้วนะคะ” แม้แต่เสียงของเจ้าตัวก็ยังฟังดูหวานจับใจ
อัคนีที่นั่งอยู่บนโซฟาเคียงข้างกัน เลื่อนสายตาจากสองแม่ลูกมองไปยังผู้มาเยือน เขาชะงักเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีกระแสบางอย่างแล่นปลาบไปทั้งตัว ก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความเรียบเย็น ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าไปหาร่างน้อยในอ้อมแขนมารดา กดปลายจมูกโด่งสวยลงบนแก้มขาวนุ่มเบาๆ
“ให้ศิระพาอ้อกับลูกกลับไปรอที่บ้านก่อนนะ ถ้าพี่คุยธุระเสร็จแล้วจะรีบกลับ” อัคนีบอกเสียงนุ่ม ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนออกมาเพื่อส่งข้อความเรียกให้คนขับรถมาพา เอมอร และลูกสาวตัวน้อยกลับบ้านไปก่อน ส่วนตัวเขาหลังคุยธุระกับลูกสาวของดนัยเสร็จ ค่อยตามกลับไปทีหลัง
“ค่ะ อ้อกับน้ำอิงจะรอทานข้าวกับคุณพ่อนะคะ” ผู้หญิงที่ดูแล้วอายุน่าจะอ่อนกว่ารสิกาหลายปีตอบยิ้มๆ และจากคำพูดนั้นทำให้คนที่ยืนเคว้งอยู่ตรงประตูรู้ทันทีว่าหนุ่มรูปงามนามร้อนแรงคนนี้ ไม่ใช่ผู้ชายโสดที่มีที่ว่างให้สาวไหนอีกแล้ว เขามีภรรยาและลูกที่น่ารัก เหมาะสมกัน อีกทั้งยังดูอบอุ่นดีเหลือเกิน
อัคนี วรัตถ์นเรศ ไม่ได้ตอบ เพียงแค่ยิ้มแล้วลุกขึ้นจากโซฟาเท่านั้น มือใหญ่แตะเอวด้านหลังของเอมอรในตอนที่เดินไปส่งเธอถึงประตูห้องทำงาน ทันทีที่ร่างเล็กบอบบางอุ้มลูกน้อยหายออกไปแล้ว เขาถึงได้ปิดประตูลงแล้วเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ เอนหลังพิงด้วยท่าทีสบายๆ แต่สายตาที่จ้องมองรสิกาเต็มไปด้วยความถือดีที่แสนชัดเจน
“สวัสดีค่ะ คุณอัคนี ฉัน...” หญิงสาวขยับจะแนะนำตัว แต่เขาโบกมือเหมือนรำคาญแล้วแทรกขึ้น
“นั่งสิ” อัคนีบอกด้วยสุ้มเสียงค่อนไปทางห้วนมากกว่าจะราบเรียบ
“ค่ะ” แม้จะรู้สึกเสียหน้าที่อีกฝ่ายดูไม่พร้อมต้อนรับ แต่ในเมื่อเธอมาที่นี่เพื่อเจรจาเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไรก็จำเป็นต้องเก็บมันไว้ในส่วนลึกอย่างคนที่รู้จักควบคุมอารมณ์ ร่างโปร่งระหงเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา อัคนีเริ่มเปิดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะ แล้วพูดกับเธอโดยไม่สนใจจะมองหน้าด้วยซ้ำ
“พูดธุระของคุณมา ผมมีเวลาให้แค่สิบนาที”
“เอ่อ...” เพราะข้อกำหนดนั้นทำให้รสิกาแทบเรียบเรียงคำพูดไม่ออก “คือ...”
“คุณบอกเลขาของผมว่าเป็นลูกสาวของคุณลุงดนัย งั้นก็คงเป็นเรื่องเงิน” เขาพูดเข้าเรื่องให้เอง
“ใช่ค่ะ คุณพ่อบอกว่าคุณเสนอช่วยเหลือพีเคกรุ๊ป”
“เอาตรงๆ นะครับ คุณรสิกา ผมช่วยพีเคกรุ๊ปได้ แต่ก็ต้องเตือนอย่างตรงไปตรงมาก่อนว่าเงินยี่สิบล้านที่คุณลุงดนัยต้องการ มันอาจจะช่วยได้แค่ระยะนึงเท่านั้น ผมว่าด้วยสถานการณ์ของบริษัทคุณ มันไม่คุ้มค่าที่จะไปต่อหรอก พูดง่ายๆ คือเงินจำนวนนี้ทำได้แค่ยื้อเวลาเท่านั้น สุดท้ายมันก็จบแบบเดิม” อัคนีพูดไปยิ้มไป มีความดูหมิ่นถิ่นแคลนชัดเจน นั่นทำให้รสิกาถึงกับคอแข็ง ไม่คิดเลยว่าเขาจะเสียมารยาทกับคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรกอย่างนี้
“อย่าตัดสินกันง่ายๆ สิคะ คุณอัคนี บางทีเงินก้อนนี้มันอาจจะช่วยให้อะไรดีขึ้นมากก็ได้”
“ผมจะถือว่าผมเตือนคุณแล้ว แต่ก็เอาเถอะ... มันอาจจะจริงอย่างที่คุณว่าก็ได้” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ปิดแฟ้มเอกสาร แล้วประสานมือวางลงบนโต๊ะในตอนที่จ้องมองดวงหน้างาม
รสิกาเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่เขาคิดว่ามองเท่าไรก็ไม่เบื่อ เธอมีเครื่องหน้าที่หมดจดลงตัว ไม่มีตรงไหนขาดหรือเกิน เขาชอบดวงตาที่เต็มไปด้วยความมุ่นมั่นของเธอที่สุด มันมีความท้าทายชวนให้เอาชนะอยู่ลึกๆ ยิ่งมองเรียวปากสีชมพูที่สวยงามได้รูปกระจับอิ่มเต็มนั่นแล้ว เขายิ่งชอบเวลาที่เห็นมันขยับไหวแล้วพ่นพูดโต้ตอบออกมาอย่างไม่เกรงกลัว เธอมีความกล้าเต็มเปี่ยม และคงเพราะแบบนี้กระมัง เธอถึงได้พร้อมท้าชนกับทุกอย่างโดยไม่สนเรื่องถูกผิด
“ตกลงว่าคุณจะช่วยฉันใช่ไหมคะ?” เมื่อเห็นเขาพูดแบบนั้น รสิกาก็รีบถามอย่างร้อนใจ
“ช่วยสิ แต่คุณต้องรู้ไว้อย่างนะว่าการขอให้คนอย่างผมช่วย เดิมพันที่ต้องจ่ายมันมีมูลค่าสูงมาก”
“คุณหมายถึงดอกเบี้ยเหรอคะ” หญิงสาวถามต่อ คิ้วเรียวสวยได้รูปขมวดมุ่นเข้าหากันแน่น
“ใช่ แต่ดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่าย ผมไม่รับเป็นเงินนะ ผมเอาเป็นอย่างอื่น” อัคนียิ้มมุมปาก ดวงตาวาววับเจ้าเล่ห์
“ถ้าคุณหมายถึงหุ้นของพีเคกรุ๊ป...”
“ไม่ ที่นั่นไม่เหมาะจะลงทุนด้วยสักเท่าไรหรอก” เขาหัวเราะอีกแล้ว นั่นทำให้เธอยิ่งหน้าตึงไปกันใหญ่
“แล้วนอกจากเงินต้นที่ฉันจะขอกู้ยืม คุณจะคิดอะไรเป็นดอกเบี้ยล่ะคะ”
“ผมยังคิดไม่ออก รู้แค่ว่าคงเป็นอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ผมพอใจ”
“ค่ะ ตกลงตามนั้นเลย ไว้ถ้าคิดออกเมื่อไร คุณค่อยบอกฉันก็แล้วกัน”
“แน่ใจเหรอว่าคุณจะทำได้” คำพูดของเขามีเลศนัยน่าสงสัย แต่ในยามที่กำลังร้อนใจ รสิกาแทบไม่ได้ฉุกคิดเลย
“แน่ใจค่ะ ไม่ว่าคุณจะต้องการอะไร ฉันก็ให้ได้ทั้งนั้น ขออย่างเดียว... ขอแค่คุณยอมช่วยพีเคกรุ๊ปก็พอ คนอื่นอาจจะหมดหวัง แต่ฉันหมดหวังไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณพ่อรักมากที่สุด” สิ่งที่หญิงสาวพูดโพล่งออกมาโดยไม่คิด ถูกบันทึกไว้ครบทั้งภาพและเสียง แม้มันว่าไม่อาจนำไปใช้ในทางกฎหมายได้ ทว่านั่นก็คือข้อยืนยันว่าเขาไม่ใช่ฝ่ายกดดันบีบคั้นเธอเลย เธอไม่ถามสักคำด้วยซ้ำว่าเขาต้องการอะไร
“ดี งั้นคุณรอลงชื่อในสัญญาได้เลย ผมจะให้เลขาจัดการเดี๋ยวนี้”
“ขอบคุณนะคะ คุณอัคนี”
“ผมยินดีช่วยคุณอยู่แล้วครับ คุณรสิกา”
อัคนียิ้มหวาน เป็นรอยยิ้มที่ฉาบทาด้วยยาพิษอย่างแท้จริง สายตาคมปลาบลอบมองคนที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความดีใจแล้วกำมือแน่น เขาอดทนรอคอยวันเวลาอันหอมหวานแทบไม่ไหว ได้แต่บอกตัวเองว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้ วันที่จะได้ย่ำยีแผดเผาเธอให้มอดไหม้ มันเริ่มใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
และเขาจะตั้งใจรอมันอย่างจดจ่อเลยทีเดียว!
ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที สัญญากู้ยืมเงินจำนวนมหาศาลก็วางพร้อมอยู่บนโต๊ะทำงานของอัคนี เขาให้เลขานุการระบุเอาไว้ด้วยว่า หากรสิกาไม่ทำตามข้อตกลงตามที่ได้พูดคุยกันไว้ให้ครบทุกประการ เธอจะต้องยินยอมยกทรัพย์สินทุกชิ้นของตระกูลเพื่อชดใช้หนี้แทน นั่นเป็นช่องโหว่เล็กๆ ที่เธอไม่ทันได้ใส่ใจ เพราะคำพูดของแฟนหนุ่มทำให้มั่นใจจนเกินความพอดี‘เงินแค่ยี่สิบล้าน สองเดือนพี่จะหามาให้โรสเอง ถือว่าเป็นค่าสินสอดของเรา’กันตพล คบหากับรสิกามานานถึงสองปีแล้ว ทั้งคู่วางแผนว่าอีกไม่กี่เดือนจะใช้ชีวิตร่วมกัน แต่เพราะช่วงนี้หญิงสาวมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่มาก อีกทั้งบิดายังป่วยหนักด้วย เขาจึงยังไม่ได้พูดถึงเรื่องแต่งงาน ทว่าอันที่จริงเหตุผลเหล่านั้นก็แค่ข้ออ้าง ที่กันตพลยังไม่พร้อม เป็นเพราะเขามีแค่เปลือกต่างหาก ไม่ใช่ทายาทมหาเศรษฐีอย่างที่คุยโวโอ้อวดไว้“ฉันคิดว่าคงใช้หนี้คุณได้ในอีกสองเดือนค่ะ แฟนฉันจะจัดการให้เอง” เธอยืนยันให้เขามั่นใจ“แฟนคุณคงไม่ธรรมดา เขาดูร่ำรวยดีนะ ทำไมไม่ขอให้เขาช่วยล่ะ” อัคนียิ้มบาง“คือ... ธุรกิจของเขามีปัญหาเหมือนกันค่ะ อีกสองเดือนหลังโพรเจ็กต์ใหญ่สำเร็จ เขาถึงจะฟื้นตัวได้” รสิกาพูดตามที่กั
สิ่งแรกที่เห็นคือผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนั่งอุ้มลูกน้อยอยู่บนตัก อีกฝ่ายเป็นคนที่มีใบหน้ารูปไข่ เครื่องหน้าจิ้มลิ้มนั้นควรเรียกว่าน่ารัก คงเหมาะกว่าใช้คำว่าสวย ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนม้วนเป็นลอนทิ้งตัวอยู่บนบ่า เด็กน้อยหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ส่งเสียงอ้อแอ้ กำลังใช้นิ้วอวบป้อมเกี่ยวพันปอยผมของมารดา แล้วหัวเราะชอบใจยกใหญ่“ดึงผมแม่อีกแล้วนะคะ” แม้แต่เสียงของเจ้าตัวก็ยังฟังดูหวานจับใจอัคนีที่นั่งอยู่บนโซฟาเคียงข้างกัน เลื่อนสายตาจากสองแม่ลูกมองไปยังผู้มาเยือน เขาชะงักเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีกระแสบางอย่างแล่นปลาบไปทั้งตัว ก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นความเรียบเย็น ชายหนุ่มโน้มตัวเข้าไปหาร่างน้อยในอ้อมแขนมารดา กดปลายจมูกโด่งสวยลงบนแก้มขาวนุ่มเบาๆ“ให้ศิระพาอ้อกับลูกกลับไปรอที่บ้านก่อนนะ ถ้าพี่คุยธุระเสร็จแล้วจะรีบกลับ” อัคนีบอกเสียงนุ่ม ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนออกมาเพื่อส่งข้อความเรียกให้คนขับรถมาพา เอมอร และลูกสาวตัวน้อยกลับบ้านไปก่อน ส่วนตัวเขาหลังคุยธุระกับลูกสาวของดนัยเสร็จ ค่อยตามกลับไปทีหลัง“ค่ะ อ้อกับน้ำอิงจะรอทานข้าวกับคุณพ่อนะคะ” ผู้หญิงที่ดูแล้วอายุน่าจะอ่อนกว่ารสิกา
ข่าวไม่สู้ดีที่ได้รับรู้มาเมื่อสองวันก่อน ทำให้ทายาทคนเดียวของตระกูลพัทรโภคินเคร่งเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ รสิกา พัทรโภคิน เพิ่งจะรู้จากปากของบิดาว่าธุรกิจอันเป็นที่ภาคภูมิใจกำลังใกล้เข้าสู่ภาวะล้มละลาย เนื่องจากขาดสภาพคล่องมานานหลายเดือนแล้ว นั่นเป็นเพราะมีพนักงานภายในทำการทุจริต ยักยอกเงินทุนจำนวนหลายสิบล้านแล้วหนีหายไปอยู่ที่ต่างประเทศ พร้อมกันนั้นก็มีคนจงใจปล่อยข่าวลือด้านลบเพื่อบ่อนทำลายภาพลักษณ์จนไม่มีลูกค้ากล้าติดต่อเข้ามาซื้อขายทรัพย์สินจำพวกที่ดิน บ้านหรือคอนโดมิเนียมอีกเลย“พ่อคงต้องปล่อยมือจากพีเคกรุ๊ปแล้ว พ่อขอโทษนะโรส ขอโทษที่ไว้ใจไอ้ดิเรกมากเกินไป” ดนัยผู้กุมบังเหียนพีเคกรุ๊ปต่อจากปู่ของรสิกามานานกว่ายี่สิบปี ปลงตกแล้วว่าคงไม่มีทางใดช่วยยื้อบริษัทเอาไว้ได้อีก ลองติดต่อไปหาเพื่อนสนิทและคนรู้จักเพื่อขอกู้เงินมาหมุนให้เกิดสภาพคล่อง หวังจะประคองธุรกิจต่อไป ทว่าทุกคนกลับพากันปฏิเสธทั้งหมดแน่ล่ะ... ใครจะอยากเสี่ยงกับคนที่กำลังจะล้มละลายกันเล่า“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ คุณพ่อ นายดิเรกทำงานกับเรามาเป็นสิบๆ ปี ไม่มีใครคาดคิดหรอกค่ะว่าเขาจะเลวได้ถึงขนาดนั้น” รสิกากุมมือคนที่นอนอยู
อัคนีก้าวเข้าไปในห้องนอนของคฤหาสน์หลังงามอย่างเชื่องช้า เขาไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนอีก เพราะลูกหนี้แสนสวยที่อาจหาญหนีไปอย่างไร้ความรับผิดชอบ ได้ถูกนำตัวกลับมาในที่ที่เธอควรอยู่แล้ว เขาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง มองคนที่นอนขดตัวอยู่บนนั้นในสภาพที่ถูกมัดมือมัดเท้าแล้วยิ้มพอใจ“ปลุกลูกหนี้ของฉันหน่อย” อัคนีหันไปบอกคนข้างตัว“ครับ คุณอัค” คนสนิทรับคำ จากสายตาของเจ้านายทำให้กำจรรู้ดีว่าต้องปลุกร่างที่หมดสตินั้นอย่างไร เขาเดินไปที่โต๊ะตรงมุมห้อง หยิบเหยือกน้ำดื่มขึ้นมาจากถาดรอง แล้วเดินกลับมายืนข้างอัคนีตามเดิม แรกทีเดียวชายหนุ่มก็ตั้งใจจะปล่อยให้กำจรจัดการเอง ทว่าเขากลับเปลี่ยนใจ แย่งเหยือกไปถือไว้ แล้วสาดมันใส่ร่างที่นอนนิ่งจนเปียกโชกหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ๆ น้ำก็รบกวนการหลับใหลที่เป็นไปด้วยฤทธิ์ของยาสลบ เธอนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด เชือกที่มัดอยู่บนข้อมือและข้อเท้าทำให้การขยับตัวเป็นไปได้อย่างจำกัด กว่าจะกะพริบตาถี่ๆ แล้วมองเห็นว่าตัวเองถูกพาตัวมาไว้ภายในห้องนอนหรูที่ไม่คุ้นตา อีกทั้งยังมีร่างสูงใหญ่ของคนที่พยายามหนีมาตลอดปรากฏอยู่ข้างเตียง เธอก็เกือบหลุดอุทานออกมาด้วยความตกใจ หัวใจสั่นไ







