วันรุ่งขึ้นเป็นวันแสดงจริงฉันตื่นเต้นมากกว่าเดิมแต่ก็วุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัว ซ้อมบทท่องบทรอบสุดท้ายก่อนที่จะไปเข้าแสดงในรอบค่ำ ตลอดทั้งวันฉันมองหาพี่สาวคนสวยคนนั้นแต่กลับไม่เห็นเธอเลย จะถามหากับคนอื่นก็ไม่รู้จะถามว่าอะไรเพราะไม่รู้ว่าพี่เขาชื่ออะไร ยังนึกเสียดายว่าวันนี้คงไม่ได้คุยกันแล้ว ทั้งๆที่นั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่ามีเพื่อนจริงๆในโรงเรียนแห่งนี้
เมื่อละครดำเนินไปถึงกลางเรื่องกำลังจะถึงตอนสำคัญคือตอนที่เมรีวิ่งตามพระรถเสน บุกป่า ลงทะเล ฝ่ากองไฟ แต่ติดทะเลกรดที่พระรถเสนเสกขึ้นมา จึงต้องนั่งร้องไห้คร่ำครวญจนหัวใจแตกสลาย ตรอมใจตายอยู่อีกฝั่ง
ฉันเครียดและกังวลมาก วิ่งลงเวทีลงไป เข้าไปในห้องแต่งตัวที่ไม่มีใครอยู่เลย
ฉันมองไปรอบห้องแล้วก็ใจชื้นขึ้นทันทีเมื่อเห็นรุ่นพี่คนที่เจอเมื่อวานยืนรออยู่ตรงราวเสื้อผ้า รุ่นพี่รีบช่วยฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าออกและแต่งหน้าให้อย่างรวดเร็ว
“ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ให้เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ไม่ว่าเราจะพูดยังไงเขาก็ยังจะไปอยู่ดี ต่อให้เขารู้ว่าเราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขาเขาก็ยังจะไปอยู่ดี” รุ่นพี่แต่งหน้าให้พลางพูดทั้งที่น้ำตาร่วงเผาะ
“พี่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ?” ฉันใจคอไม่ดีชอบกล
รุ่นพี่คนสวยส่ายหน้า “จำไว้นะอย่าไปเชื่อใจใครง่ายๆ ผู้ชายสันดานมันเหมือนกันหมด สวยแค่ไหนดีเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ”
ฉันฟังแล้วก็งงๆแต่ก็ต้องรีบวิ่งออกไปกลางเวทีเพื่อแสดงต่อ
ตอนนั้นเองที่ความน่าขนลุกจริงๆได้เกิดขึ้น!
บนเวทีกลายเป็นเวทีร้างไม่มีใครอยู่ คนดูที่นั่งอยู่เต็มหอประชุมเมื่อครู่กลับอันตรธานหายไปสิ้นเหลือแต่เก้าอี้ว่าง มองไปรอบตัวพบแต่เวทีเก่าคร่ำสกปรกราวกับเป็นโลกอื่น
“ถ้าไม่มา ป่านจะฆ่าตัวตายนะ!” จู่ๆเสียงหญิงสาวก็ดังก้องขึ้นไปทั่วหอประชุม
“ใครน่ะ! ใครพูด ?” ฉันตะโกนถาม
ไม่มีเสียงตอบกลับได้ยินแต่เสียงร้องไห้โฮของหญิงสาวดังก้องกังวานไปทั่ว
คราวนี้ฉันกลัวจริงๆแล้ว...นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ยฉันยืนตัวสั่นอยู่กลางเวทีละครที่ไม่มีใครเลยสักคน ก่อนที่จู่ ๆ แสงสปอร์ตไลท์สว่างจ้าจะเข้ากระทบดวงตาและเสียงฮือฮาดังกึกก้องขึ้น
เหมือนฉันกลับมาอยู่บนเวทีที่กำลังแสดงอีกครั้งแต่คราวนี้สีหน้าของคนดูในหอประชุมพากันตกใจ ทำท่ากลัวอย่างเห็นได้ชัดบางคนถึงกับกรีดร้องออกมา
นักแสดงที่อยู่ร่วมด้วยกันบนเวทีก็ตื่นตะลึงไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ฉัน
ทำไม...นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เหมือนเวลาผ่านไปยาวนานกว่าพิธีกรจะประกาศยุติการแสดงชั่วคราวและรูดม่านปิดลงแล้วแจ้งให้ผู้ชมรอสักครู่
คุณครูวิ่งมาจูงมือฉันลงไปที่ห้องแต่งตัว “เล่ามาซิว่าทำไมสภาพเธอถึงเป็นแบบนี้ ?”
ในขณะที่ยังงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันหันไปเห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกแล้วก็ต้องตกใจจนหวีดร้องขึ้นมาอีกคน
เสื้อผ้าชุดเมรีที่ฉันใส่กลายเป็นเสื้อผ้าเก่าคร่ำคร่าขาดรุ่งริ่ง มีกลิ่นเหม็นสาบรุนแรง นั่นยังไม่น่าหวาดผวาเท่าใบหน้าของฉันที่ถูกตกแต่งให้เขียวคล้ำ ริมฝีปากดำสนิทเบ้าตาลึกโบ๋ มีเส้นเลือดเป็นสายขึ้นทั่วใบหน้าราวกับซากศพ
“ฉากเมื่อกี้ตอนวิ่งเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าเธอวิ่งเลี้ยวเข้าไปทางห้องซ้ายหรือขวา ?” นักแสดงหญิงคนหนึ่งถามขึ้นหน้าเธอยังคงซีดเผือดเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในห้อง
ฉันพูดตะกุกตะกักด้วยความหวาดกลัว “ห้องซ้ายค่ะมีรุ่นพี่คนสวยคนนึงช่วยฉันใส่ชุดแล้วก็แต่งหน้าให้พี่คนนั้นผมยาว ตาโตๆตัวสูงประมาณนี้ค่ะ”
ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นก็พากันหน้าซีดเผือดครูคนหนึ่งทำท่าเหมือนจะเป็นลมแต่ครูผู้กำกับและเจ้าหน้าที่กำกับเวทีก็รีบเข้ามาช่วยแก้ไขสถานการณ์ รีบแต่งหน้าให้ฉันใหม่แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
“เล่นต่อไหวไหมอีกฉากเดียวจะจบแล้ว” คุณครูถาม “ถือว่าช่วยโรงเรียนหน่อยนะคนดูเขากำลังรอ”
ถึงแม้จะยังหวาดผวากับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่หายแต่ด้วยสปิริตนักแสดงฉันจึงรวบรวมกำลังใจกลับไปแสดงต่อจนจบ
...เสียงปรบมือของคนดูในตอนจบดังกึกก้องห้องประชุม แม้จะช่วยให้ชื่นใจแต่ก็ไม่ได้ทำให้หายใจสั่น
ฉันได้รู้ต่อมาว่าพี่สายป่านอดีตนางเอกที่ควรจะได้รับเล่นบทนี้ รักกับรุ่นพี่ชายคนหนึ่งที่แสดงเป็นพระเอกทั้งคู่คบหากันอย่างเปิดเผยในโรงเรียน ก่อนจะมีปัญหากันและนัดกันมาเคลียร์ที่ห้องแต่งตัวหลังเวทีแห่งนี้แต่ในคืนนั้นพี่ผู้ชายไม่ยอมมา
กว่าทุกคนจะมาพบที่สายป่านอีกทีเธอก็แขวนคอตายอยู่ในห้องแต่งตัวฝั่งซ้ายไปแล้ว!
ห้องนั้นจึงถูกปิดตาย และมีไว้เพื่อเก็บเสื้อผ้าชุดแสดงเก่าๆและของประกอบฉากที่ไม่ค่อยได้ใช้ ด้านนอกยังล็อกแม่กุญแจไว้อย่างแน่นหนาด้วยจึงไม่มีใครเข้าใจว่าฉันเข้าไปในห้องนั้นได้ยังไง
หลังจากนั้น ฉันยังรักการแสดงและแสดงละครที่เวทีนั้นอยู่เรื่อยๆ รู้สึกเศร้าใจมากกว่ากลัวเมื่อได้รู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่สายป่าน
ฉันเลือกที่จะไม่บอกใครว่ายังคงเห็นพี่สายป่านเดินวนเวียนอยู่ในห้องแต่งตัวนักแสดง บางครั้งเธอก็ปรากฏตัวอยู่บนเวทีแสดงบทบาทนางเอกอยู่กับอากาศว่างเปล่า และเรามักยิ้มเศร้า ๆ ให้กันเสมอ.
แถวบ้านเก่าของฉันสมัยเด็กๆ ไม่ค่อยมีสระว่ายน้ำที่เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าไปใช้ มีแค่สระของค่ายทหาร กับสระว่ายน้ำโรงแรม สระโรงเรียนเลยกลายเป็นที่พึ่งของเด็กๆที่อยากลงเล่นน้ำในสระแต่ไม่มีที่ไป เราเรียกชื่อสระว่ายน้ำแห่งนั้นตามชื่อโรงเรียน เป็นสระที่สร้างขึ้นในบริเวณโรงเรียนเก่าที่ฉันเรียนอยู่ เมื่อก่อนยังมีสอนว่ายน้ำ แต่พอเกิดเรื่องร้ายขึ้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่มีใครอยากให้ลูกเรียน เลยปิดวิชาสอนว่ายน้ำ เปิดให้เอกชนมาเช่าแทนสระว่ายน้ำมีขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่ก็มีโซนน้ำตื้น น้ำลึก มีห้องอาบน้ำและมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เป็นสัดส่วนเรียบร้อย โดยมีค่าลงสระเพียงคนละสิบบาทต่อวัน เล่นได้จนกว่าจะเบื่อ ในความทรงจำของฉันกับพี่ๆน้องๆ ที่นี่เป็นที่ที่ทำให้พวกเราหัดว่ายน้ำกันเองจนว่ายเป็น และเป็นที่ที่หาความสุขสำราญกันในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ช่วงปิดเทอมเราแทบจะมากันวันเว้นวัน พวกผู้ใหญ่ก็พากันชอบใจที่มีผู้ช่วยเลี้ยงเด็กระหว่างวันโดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีอันตราย เพราะมีลูกเจ้าของกิจการที่ว่ายน้ำเก่งคอยเฝ้าเป็นไลฟ์การ์ดและขายขนมอยู่ด้วยตลอดทั้งวัน ความพิเศษของสระน
ผมจะบอกใครได้ยังไงว่าเรื่องที่ผมเขียนมานั้น เป็นเรื่องที่ผีเล่า! พูดไปใครจะเชื่อ ยุคนี้สมัยนี้แล้ว ยังมีเรื่องราวอย่างที่เขาพูดกันว่า ‘ผีบอก’ ตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า รุ่นพ่อแม่ผม ได้ยินมาไม่รู้เท่าไหร่ เรื่องยาผีบอก สูตรยาลึกลับที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนเลย แต่อยู่ดี ๆ ใครคนหนึ่งก็จะฝัน หรือได้ยินเสียงกระซิบเบา ๆ จากชาวปรโลก บอกว่าส่วนผสมของสมุนไพรชนิดใดบ้างที่จะช่วยเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บที่หมอปัจจุบันรักษาไม่หาย ยาเหล่านี้ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องของดวง ถ้าโชคดีกินแล้วหาย ก็ยกความดีความชอบให้ผี แต่ถ้าไม่หาย ญาติพี่น้องคนป่วยก็มักจะโบ้ยให้กับเคราะห์กรรม ถ้าอย่างเพลงผีบอกก็จะคล้าย ๆ กัน มักเกิดขึ้นกับนักดนตรีหรือนักประพันธ์เพลงที่ได้ยินเสียงดนตรี หรือเพลงที่มีเนื้อร้องทำนองในตอนหลับ หรือกำลังอยู่ในสภาวะเคลิ้ม ผมเคยได้ยินเรื่องนักแต่งเพลงชื่อดังระดับโลกคิดท่อนต่อของเพลงไม่ออก พยายามคิดมาเป็นแรมเดือน อดหลับอดนอน แต่พอได้นอนหลับลงในคืนหนึ่ง จู่ ๆ เพลงที่เขาพยายามคิดมาแทบตายก็มาปรากฏในความฝัน ผมเป็นนักเขียนนิยายออนไลน์ครับ นักเขียนนิยายวาย ขายในเว็
รุ่นพี่ที่เล่าให้ผมฟังแกยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงที่โรงเรียนหนึ่งทางภาคอีสาน แต่เรื่องราวได้ถูกถ่ายทอดเล่ากันมาปากต่อปาก รายละเอียดในเรื่องราวก็ถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำให้สถานที่และผู้คนในเรื่องนี้ถูกบิดเบือนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไม่อาจสืบสาวได้แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นที่ไหนกันแน่ ผมเป็นครูพละ เพิ่งมาประจำที่โรงเรียนแห่งนี้ได้ไม่นานนัก มักได้รับมอบหมายให้อยู่เวรกลางคืนและเพราะยังไม่ได้บ้านพักก็เลยต้องพักในห้องพักครูของโรงเรียนตอนดึกๆบางทีก็เดินสำรวจตรวจตรา ส่องไฟฉายดูตามอาคารเรียนต่างๆแก้เบื่อ แต่ส่วนใหญ่แล้วบรรยากาศจะเงียบจนชวนง่วง ส่วนหนึ่งคงเพราะโรงเรียนเราเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก และมีนักเรียนไม่มาก แถมห่างออกมาจากชุมชนพอสมควร รอบโรงเรียนมีแต่ป่าหญ้าป่าพง ในคืนเงียบๆเช่นคืนนี้ครูรุ่นพี่ที่พักอยู่ที่โรงเรียนเหมือนกันจึงมักจะมีเรื่องเล่า แปลกๆบ้าง ขำบ้าง เศร้าบ้าง หรือหลายครั้งก็เป็นเรื่องหลอนๆอย่างเช่นเรื่องนี้ มีเด็กที่ชาวบ้านเจอแล้วมาแจ้งให้ทราบว่าเป็นเด็กในชุดนักเรียน ผู้หญิงผิวขาวซีด เนื้อตัวแห้งเหี่ยว ใบหน้าแทบไ
ผมเริ่มได้ยินเสียงคนเปิดประตูออกมาจากห้อง มีเสียงพูดคุย และน่าประหลาดมากที่ส่วนใหญ่ฟังดูเหมือนเสียงผู้หญิง!ก็อย่างที่บอกครับ หอที่ผมอยู่แม้จะเป็นหอพักชาย แต่ก็มีบางรายที่แอบพาสาวเข้ามา แต่ส่วนที่จะซุกไว้บ้างเท่าไหร่นี่ก็ไม่รู้ได้ ตอนนั้นผมได้แต่นั่งฟังเสียงหญิงสาวแปลกหน้าคุยกันแถวโถงทางเดินจนเสียงดังเข้ามาในห้องอากาศร้อนในคืนนั้นทำให้ผมเริ่มทนอยู่ไม่ไหว ยิ่งเมื่อพัดลมเปิดไม่ได้ มันก็ยิ่งอบอ้าวหนักขึ้นจนแทบหายใจไม่ทัน หอบเป็นหมาหอบแดด ร้อนเหมือนอยู่หน้าเตาถ่านผมพยายามจะช่วยเหลือตัวเองด้วยการคลำ ๆ ทางเดินไปเปิดหน้าต่างหลังห้องให้กว้างสุด แล้วก็เดินไปเปิดประตูหน้า หวังว่าอาจจะมีลมโชยเข้ามาถ่ายเทช่วยให้ห้องหายร้อนบ้าง แต่เมื่อเปิดจนสุดแล้วก็ไม่มีลมพัดมาสักวูบ มีแต่กลิ่นชวนอาเจียนราวกับหนูเน่าโชยเข้ามาเป็นระลอก ๆผมมาแปลกใจอีกอย่างที่พบว่าในความมืดหลังไฟดับครั้งนี้มันแปลก ๆ คือมันมืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลยสักนิด แม้เมื่อเดินออกไปมองทางหน้าต่างห้องผมซึ่งเป็นชั้นหก ก็ไม่เห็นมีแสงสว่างจากท้องฟ้า แสงจันทร์ หรือแสงจากไฟฟ้าที่อื่นที่ยังไม่ดับ...ในใจก็คิดอะไรกันละเนี่ย ไฟดับทั้งกรุงเทพฯ เลยหรื
เมื่อตอนที่ผมอยู่หอเก่าหลังมหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่ผมจนสุด ๆ ต้องทำงานหาเงินเรียนและจ่ายค่าหอค่ากินค่าอยู่เองทั้งหมด ก็เลยต้องเลือกหอพักชายที่ราคาถูกสุด ๆ เท่าที่จะหาได้จำได้ว่าวันที่ไปเดินหาหอพัก ผมเดินเข้า ๆ ออก ๆ เกือบทุกซอย จดราคาค่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ามัดจำของแต่ละหอไว้จนเต็มหน้ากระดาษ จนได้ข้อสังเกตที่ว่า หากเป็นหอพักที่มีหลายชั้นและไม่มีลิฟต์ ยิ่งชั้นบน ๆ จะยิ่งราคาถูกลงเรื่อย ๆ และคำว่าหอพักชาย สภาพจะทุเรศทุรังกว่าหอพักรวม แต่ราคาก็จะถูกลงไปอีก สุดท้ายผมเลยลงเอยที่หอพักชายท้ายซอยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่สภาพย่ำแย่พอสมควร ในซอยนั้นมีความแปลกอยู่นิดหน่อย คือต้นซอยจะมีหอพักนักศึกษาชุกชุมเหมือนซอยอื่น ๆ นี่แหละ แต่กลางซอยเข้าไปอีกเกือบกิโลฯ จะเป็นบ้านคนและป่ารกร้างสลับกันไป ตึกอพาร์ตเม้นต์และหอพักอีกสี่ตึก มาโผล่อีกทีช่วงท้ายซอย ไกลและเงียบจนผมคงไม่เข้ามาถ้าไม่มีป้าขายน้ำเต้าหู้ที่ได้ยินว่าผมกำลังหาหอถูก ๆ เลยแนะนำให้ผมลองเดินเข้ามาดูวันนั้นผมเดินมากับเพื่อนอีกคนที่บังเอิญเจอกันหน้าปากซอยพอดี แต่พอเพื่อนเห็นสภาพหอแล้วเพื่อนขอบายทันทีโดยไม่รอดูห้องเลย เพราะแค่เดินเข้าตึก ก็
ต้นไผ่มันไม่เชื่อผมเลยทุกคืนกลางดึก ผมเห็นร่างตะคุ่มๆยืนอยู่ที่ระเบียง ทำท่าชะโงกมองอะไรสักอย่าง ก่อนจะเสียหลักพลัดตกลงไปข้างล่าง ในหูได้ยินทั้งเสียงตกกระแทกพื้นดังพลั่ก เสียงหักร้าวของกระดูก และเสียงร้องครางอือในลำคอ แต่เมื่อผมตามไปดูก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ“มึงหลอนไปเองแล้วโก้ กูบอกแล้วว่าให้นอนพักเสียบ้าง อ่านหนังสือเตรียมสอบถึงเช้าทุกวันแบบนี้ สมองอ๊องหมดแล้ว” มันว่าทั้งที่ตายังไม่ละออกจากเกมในโทรศัพท์มือถือ “เชื่อกู นอนบ้าง เล่นเกมบ้าง กินเหล้าบ้างก็ดี”ผมรำคาญและหงุดหงิดเสมอเมื่อมันพูดเหมือนไม่เคยใส่ใจปัญหาของผมเลย“ผี ห้องนี้แม่งต้องมีผี กูจะลองหาดู ในข่าวเก่าๆอาจจะมี”ผมลองเข้ากูเกิ้ล เซิร์ชหาข่าวด้วยชื่อตึกและคำว่าเสียชีวิต หาอยู่พักใหญ่จนพบข่าวหนึ่ง เป็นข่าวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ตกจากระเบียงตึกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อราวปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา แต่เมื่อคลิกจะเข้าไปอ่านรายละเอียดกลับเข้าไม่ได้ “เนตเป็นเหี้ยไรวะ!” ผมบ่นอย่างหงุดหงิด “ต้นไผ่ มึงใช้ 4G ป่ะ กูยืมแป๊บดิ ไวไฟแม่งไม่มีสัญญาณ” ไอ้ต้นไผ่ชำเลืองตามามองผมแวบหนึ่ง “มึงเชื่อกู เลิกค้นเรื่องนี้เถอะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”“