LOGIN“ท่านน้า กินแป้งย่างก่อนยังร้อนๆอยู่”
หลินอวี่เหยาเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบแป้งย่างออกมาจากตะกร้า นางหันซ้ายหันขวาเห็นกาน้ำชาจึงเดินไปรินใส่ถ้วย ทว่ามันเป็นเพียงน้ำเปล่า
“ข้าไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีน้ำชา ท่านน้าดื่มน้ำเย็นเช่นนี้หรือ?” นางรินน้ำแล้วประคองถ้วยน้ำกลับมาให้จื่อหนิง
“ข้าจำไม่ได้แล้วว่าดื่มน้ำชาครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน” จื่อหนิงยิ้มบางเบา กลิ่นอาหารเย้ายวนทำให้นางยื่นมือไปหยิบแป้งย่างขึ้นมาบิเป็นคำเล็กๆ แล้วส่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวและซึมซับรสชาติของอาหารแสนเรียบง่ายตรงหน้า แต่อยู่ในสถานที่นี้กลับกลายเป็นอาหารเลิศรส
“พอกินได้ไหมเจ้าคะ” หลินอวี่เหยารู้ว่ารสมือของตนไม่ได้แย่นัก แต่ในโลกที่มีวัตถุดิบจำกัดนี้ ความมั่นใจจึงหดหายไปกว่าครึ่ง
“ก็พอกินได้”
จื่อหนิงพยักหน้ารับ แม้ตอนนี้ตกอับอยู่ตำหนักเย็นมานาน ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนมาถึงตอนนี้ แต่เมื่อรื้อฟื้นกิริยามารยาทขึ้นมาอีกครั้ง นางก็นั่งหลังเหยียดตรงและกินอาหารคำน้อยๆ แลดูเป็นหญิงสาวตระกูลสูงส่ง หลินอวี่เหยาเห็นแล้วก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า จื่อหนิงในวัยสาวต้องเป็นสาวงามอย่างแน่นอน นางไม่กล้าถามถึงสาเหตุที่จื่อหนิงมาอยู่ที่นี่ เกรงว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจของคนตรงหน้า
“ครั้งหน้าข้าจะทำมาของกินมาให้ท่านน้าชิมอีกนะเจ้าค่ะ”
“อยู่ที่นี่มานานได้กินข้าววันล่ะมื้อสองมื้อก็ยังไม่ตาย เจ้าไม่ขนอะไรมาให้ข้ากินหรอก” แม้พูดเช่นนั้นแต่ก็ยังกัดกินแป้งย่างคำต่อไป
“ข้าอยู่ที่นี้ไม่รู้จักผู้ใดก็หวังจะพึ่งพาท่านน้า” หญิงสาวกล่าวไปตามที่ใจคิด หากจื่อหนิงคิดร้ายกับนางคงไม่ช่วยนางในค่ำคืนนั้นเป็นแน่ “พระคุณที่ท่านน้าช่วยชีวิต ข้าหลินอวี่เหยาจะไม่มีวันลืม”
“เลิกพูดเรื่องตายเสียทีเถิด” จื่อหนิงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ข้าเองก็ไม่ได้มีอำนาจบารมีใดจะช่วยเจ้าได้”
“ขอแค่อนุญาตให้ข้ามาสนทนากับท่านน้าบ้าง และท่านให้คำปรึกษาข้าบ้างก็พอแล้ว”
“อย่างข้าจะไปให้คำปรึกษาอะไรผู้ใดได้” นางหัวเราะขมขื่นก่อนยกถ้วยน้ำเปล่าขึ้นดื่ม
“เยอะแยะเลยเจ้าค่ะ” หลินอวี่เหยาพูดดวงตาเป็นประกายวาววับ “ได้ยินว่าท่านน้าเชี่ยวชาญเรื่องโคลงกลอน ข้าใคร่ขอคำแนะนำจากท่าน”
“นั้นเป็นเรื่องในอดีตที่แสนนาน” จื่อหนิงพูดพลางถอนหายใจ หวนนึกถึงกาลก่อน นางเคยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างยิ่ง แต่การโดดเด่นเกินไปกลายเป็นคมมีดทำลายชีวิตตนเอง สุดท้ายต้องมาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้
“หากท่านน้าไม่รังเกียจ ช่วยสอนข้าเขียนตัวอักษรได้หรือไม่”
หลินอวี่เหยาไม่เชี่ยวชาญอักษรโบราณ หากวันข้างหน้าก้าวเท้าออกไปจากตำหนักเย็น นางต้องมีความรู้ ต้องเรียนเขียนอ่านแตกฉานเพื่อมิให้ผู้อื่นเอาเปรียบได้ และเพื่อการค้าของตนเอง ถูกแล้ว นางจะใช้ความรู้ด้านพืชสมุนสร้างรายได้ให้ตนเอง
“เจ้าอยากได้ความโปรดปรานจากฝ่าบาทรึ” จื่อหนิงถามเพราะสตรีจะมีค่าก็เมื่อสามีให้การยกย่อง และหากนางต้องการฐานะเดิมคืน ก็ต้องหาวิธีที่จะได้อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ สตรีที่ถูกส่งมาตำหนักเย็นล้วนคาดหวังว่าจะได้พบฮ่องเต้อีกครั้งทั้งนั้น
“ไม่ใช่เช่นนั้น” หญิงสาวโบกมือไปมา “ข้าหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตนอกตำหนักเย็น ขันทีน้อยบอกว่าจะออกจากที่นี่ได้ก็ต้องเป็นศพออกไป แต่ข้ายังไม่อยากตาย”
“เจ้าอยากออกจากที่นี่? ออกจากตำหนักเย็นเจ้าจะไปอยู่ที่ใด บิดาของเจ้าก็ทอดทิ้งไม่ไยดี หากเจ้ากลับบ้านไปก็เกรงว่าพวกเขาไม่ต้อนรับเจ้าเป็นแน่”
“ข้าอยากทำการค้า ข้าสามารถเพาะปลูกพืชสมุนไพรได้ผลผลิตยอดเยี่ยมมีคุณภาพอย่างแน่นอน”
“เจ้ามั่นใจรึ”
“อื้ม!”
หลินอวี่เหยาพยักหน้า อาจเพราะอยู่ในร่างเด็กสาววัยสิบเจ็ดจึงทำให้ดูน่ารักน่าเอ็นดู จื่อหนิงเห็นแล้วก็ยิ้มบางๆ
“อยู่ว่างเปล่าไปวันๆ หากเจ้าอยากเรียนก็มาเถิด”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านน้ามาก”
รอยยิ้มสดใส ดวงตาเป็นประกายวาววับ จื่อหนิงมองแล้วก็รู้สึกแปลกพิกล ที่ผ่านมา ‘หลินอวี่เหยา’ มักเงียบนิ่งไร้วาจา ดวงตาแดงก่ำจากการร่ำไห้ ชีวิตจมอยู่กับความทุกข์โศก หรือเพราะผ่านความเป็นความตายมาจึงคิดได้ ยามนี้จึงดูเหมือนดอกไม้ผลิบานงดงามในฤดูใบไม้ผลิ
ราวกับมีดอกไม้ผลิบานในตำหนักเย็น
“ท่านน้าเจ้าค่ะ ข้าได้ท่านขับร้องบทกลอน ท่านเชี่ยวชาญเรื่องโคลงกลอน ข้ามีเรื่องอยากรบกวนถาม”
“ว่ามา”
หลินอวี้เหยานิ่งไปครู่หนึ่ง นางอยากจะถามถึงบทกวีที่นางเคยได้ยิน ทว่าตนเองก็จำประโยคเหล่านั้นไม่ได้ ทุกครั้งที่ตื่นมาก็หลงเหลือเพียงความเศร้าโศก
“ข้าไม่รู้จะถามอย่างไร” นางหัวเราะแห้งๆ ออกมา “ข้ามักได้ยินเสียงขับกล่อมบทกลอนอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อลืมตาตื่นก็จำไม่ได้ เหลือเพียงความรู้สึกเศร้าโศกในใจ บางคราวข้าก็ตื่นมาพร้อมน้ำตาที่นองหน้า
“เศร้าโศกถึงเพียงนั้นเชียวรึ”
“เจ้าค่ะ แต่ข้าจำไม่ได้ว่าบทกลอนที่ได้ยินนั้นพูดถึงเรื่องใด แต่มีเสียงขลุ่ยซุนประสานในบทกลอนนั้น”
“ขลุ่ยซุนรึ ขลุ่ยซุนเป็นเสียงที่นุ่มนวลและลึกซึ้งอาจทำให้เจ้ารู้สึกเช่นนั้นได้ เอาไว้เจ้าพอนึกอะไรได้ค่อยมาถามข้าอีกทีก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวค่อยโล่งใจไปเรื่องหนึ่ง นางเคยคิดทบทวนหลายครั้ง ไม่แน่ว่าการย้อนอดีตมาครั้งนี้ เสียงขลุ่ยและบทกลอนที่ขับขานนั้นอาจเชื่อมโยงกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นางอาจจได้กลับบ้าน ไม่รู้ว่าคุณปู่หลินเป็นอย่างไรบ้าง จะกินข้าวตรงเวลาหรือไม่ ทำงานจนลืมเวลาไปหรือเปล่า หรือเศร้าเสียใจที่นางจากไป
“ข้าสอนเจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องยกน้ำชาเรียกข้าว่าอาจารย์” จื่อหนิงนึกสนุกขึ้นมา นางอยู่อย่างเงียบเหงามานาน มีอะไรให้ทำบ้างก็ดีไม่น้อย
“ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้น...ข้ากลับไปเตรียมตัวก่อน ข้าพร้อมแล้วจะยกน้ำชาพร้อมของว่างมาคารวะท่านเจ้าค่ะ”
ม่านหมอกแห่งความโศกเศร้าเริ่มละลายไปเช่นเดียวกับหิมะในฤดูหนาว ยามนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว มิใช่เพียงแค่ต้นไม้ดอกไม้ที่ผลิดอกอวดความงาม แต่ยังเป็นชีวิตคนที่ผลิบานด้วยความหวัง หลินอวี่เหยาได้แต่ยิ้มให้ตนเอง นางมีเป้าหมายให้ชีวิตใหม่ในโลกใบนี้แล้ว
เยี่ยหรงอ่านจดหมายที่ถูกส่งมาให้ คนที่บ้านรู้แล้วว่าออกรบครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก ต้องการให้เขากลับไปพักฟื้นที่บ้าน ปีหนึ่งเขากลับบ้านกี่ครั้งเชียว เอาจริงๆ แล้ว เขารู้สึกว่าค่ายทหารต่างหากที่เขาเรียกว่าบ้านได้เต็มปากเต็มคำ ชายหนุ่มออกจากโรงพยาบาลกลับมานอนพักฟื้นที่ค่ายทหารแล้ว แม้คนอื่นจะคัดค้านอยากให้เขอยู่โรงพยาบาลให้นานกว่านี้ เขารู้ตัวดีว่าพักไม่กี่วันก็ดีขึ้นไม่รู้จะไปแย่งที่นอนคนเจ็บป่วยคนอื่นเพื่ออะไรกัน อีกอย่างเขาก็...ขัดเขินทุกครั้งที่พยาบาลสาวคนนั้นมาทำแผลให้เขา ร่างกายเขาดันมีปฏิกิริยาตอบสนองกับเธอเสียด้วย ปกติเรื่องพวกนี้เขาควบคุมตัวเองได้ดีเยี่ยม แต่ไม่รู้ทำไม...ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งอับอาย เขาพับจดหมายใส่ซองตามเดิมแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ใช้ชีวิตทหารมาหลายปี ไต่เต้าด้วยตัวเอง เขาต้องการถูกยอมรับจากความสามารถของตัวเอง ตอนนี้เป็นร้อยเอกเยี่ยหรงแห่งค่ายทหารหน่วยที่ 308 อีกไม่นานเขาก็ได้เลื่อนยศแล้ว ขณะที่ใจลอยคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น สายตาก็เห็นหญิงสาวปั่นจักรยานเก่าๆ เข้ามาในเขตทหาร เขาเพ่งมองอย่างหงุดหงิดเพราะพื้นที่
แรงตีที่ข้อมือไม่ได้ทำให้เขาเจ็บแต่เรียกให้เขาได้สติ ชายหนุ่มรีบปล่อยมือทันทีทำให้หญิงสาวในชุดพยาบาลถอยห่างออกไปสองก้าว “สมกับเป็นผู้บัญชาการเยี่ยจริงๆ” อวี่เหยายกมือลูบลำคอของตน แต่ก็ต้องตกใจทีเห็นเขายันกายขึ้นนั่งและทำท่าจะดึงสายน้ำเกลือออก “อย่าค่ะ! ถ้าคุณดื้อฉันจะมัดคุณไว้กับเตียงนะ!” มีชีวิตอยู่มาตั้งอายุขนาดนี้เพิ่งเคยได้ยินคนขู่เขาแบบนี้เป็นครั้งแรก เยี่ยหรงจ้องมองหญิงสาว เธอสวมชุดพยาบาลและที่นี่คงเป็นโรงพยาบาลแน่นอน พลันนึกได้ว่าเมื่อครู่เขาพลั้งมือทำร้ายเธอไป “....” เยี่ยหรงขยับปากแต่ไม่มีเสียง พยาบาลสาวเห็นสีหน้าของคนเจ็บก็เข้าใจทันที เธอขยับเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวนะคะ ตอนผ่าตัดใส่เครื่องช่วยหายใจ คุณเลยเจ็บคออยู่ ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ คุณนั่งนิ่งๆ อย่าดึงสายอะไรออกอีกนะ ฉันจะไปตามคุณหมอแล้วเอาน้ำมาให้คุณดื่ม” ร่างเพรียวบางหมุนตัวจากไปทันที เยี่ยหรงได้แต่ทำตามอย่างว่าง่าย อยากจะหัวเราะที่เขาตัวโตขนาดนี้แต่ถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ดุเอาเสียได้ ไม่กี่นาทีต่อมาคุณหมอก็สาวเ
ร้อน! เปลวไฟกำลังโหมกระหน่ำอย่างหนัก ร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านท่ามกลางเปลวเพลิง เสียงวูบวาบทั่วทุกทิศทาง ผู้คนวิ่งชนหนีตายอลหม่านแต่เขายังยืนนิ่งงัน ทว่าในสมองคล้ายได้ยินเสียงแว่วอยู่ข้างหู คล้ายใครบางคนอ่านบทกวีแสนเศร้าให้ฟัง “ผู้บัญชาการ!!!” เสียงตะโกนเรียกทำให้เขาได้สติ สหายร่วมรบถูกสะเก็ดระเบิด เขาไม่รอช้าแบกคนเจ็บขึ้นหลังทันที “ปล่อยผม! ทิ้งผมไว้ที่นี่” “ฉันสัญญากับแม่นายแล้วว่าจะพานายกลับบ้าน ก็ต้องทำตามสัญญา” เขากัดฟันทั้งที่ตัวเองก็บาดเจ็บไม่น้อย ในสนามรบที่เต็มไปด้วยทหารทั้งสองฝ่าย เสียงปืนดังรัวไม่ขาดสาย และระเบิดเป็นระยะๆ เขาแบกร่างของเพื่อนร่วมกองรบวิ่งกลับมาที่บังเกอร์ได้สำเร็จ “ผู้บัญชาการเยี่ย ท่านจะไปไหนอีกครับ” ลูกน้องถามเมื่อเห็นว่านายกองคว้าปืนยาวของสหายร่วมรบมาถือไว้ “จัดการพวกมันนะสิ” “ผู้บัญชาการ คนของเราเหลือแค่ไม่กี่คนแล้ว รอกองหนุนไม่ดีกว่าหรือครับ” “พวกนายอยู่นี่ ฉันไปจัดการเอง” “ผู้บัญชาการ!!” ความบ้าระห่ำของผู้ชายคนนี้ท
ห้าปีต่อมา คฤหาสน์ตระกูลเยี่ยมีเสียงหัวเราะของเด็กน้อย เด็กชายวัยสามขวบวิ่งถลามาหาหญิงสาวที่นั่งพิมพ์เอกสารอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊ค เสียงร้องตกใจของคนรับใช้ทำให้หลินอวี่เหยาเงยหน้าขึ้นจากงานตรงหน้า ทว่าลูกชายยังมาไม่ถึงก็ถูกมือใหญ่ของคนเป็นพ่อคว้าคอเสื้อไว้ได้ทัน “ฮ่าวหมิง อย่ากระโจนใส่แม่แบบนั้นสิ” เยี่ยหรงเพิ่งกลับจากบริษัทพอดี เขาอุ้มลูกชายนั่งบนท่อนแขนแล้วอบรม “แม่อุ้มท้องน้องสาวอยู่ ถ้าลูกไปกระแทกท้องของแม่ก็กระทบกระเทือนถึงน้องสาวด้วย ลูกเข้าใจไหม” “ฮ่าวหมิงแค่อยากเล่นกับน้องสาว” เสียงเจื้อแจ้วเอ่ยตอบพร้อมดวงตากลมโตจ้องมารดา “เดือนหน้าก็ได้เจอหน้าน้องสาวแล้ว” คนเป็นพ่ออุ้มลูกชายแล้วเดินมานั่งข้างคนรักแล้วโน้มตัวลงมาอบรมคนเป็นแม่อีกคน “เดือนหน้าคุณก็จะคลอดแล้ว ยังทำงานอยู่อีก” “ฉันท้องไม่ได้ป่วยเสียหน่อย” หลินอวี่เหยาหัวเราะเสียงใส แต่ปลายนิ้วยังพร่างพรมบนคีย์บอร์ด จนกระทั่งเธอกดปุ่มเอ็นเทอร์และเซฟไฟล์งาน“เย่! เสร็จเรียบร้อยเสียที” “เย่ๆ” ฮ่าวหมิงร้องดีใจแม้ไม่เข้าใจว่าแม่ดีใจเรื่องอะไร
“อืม...” หญิงสาวรับคำแล้วยกมือขึ้นแตะแก้มของเขา “ทำไมคุณโง่แบบนี้ ไม่ต้องช่วยฉันก็ได้ คุณเจ็บเพราะถูกกระบี่เทพสวรรค์แทงทะลุหัวใจ แล้วยังถูกเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษอีก” ดวงตาของชายหนุ่มมีหยาดน้ำเอ่อคลอ “วันที่ฉันตกเขาไปครั้งนั้น ดวงวิญญาณในร่างนี้ทะลุมิติไปในชาติที่คุณคือแม่ทัพเยี่ยหรง” หญิงสาวยิ้มเศร้าเคล้าน้ำตา “ฉันตายในชาตินั้นก็กลับมาที่นี่ ได้พบคุณอีกแล้ว” “ผมขอโทษ” เขากอดร่างบอบบางทั้งที่ตัวเองก็สั่นสะท้าน “ผมรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้คุณเจ็บปวด ผมเห็นแก่ตัว แต่ชีวิตผมขาดคุณไม่ได้” มือเล็กดันแผ่นอกเขาเบาๆ รับรู้ว่าเขาก็กลัวไม่ต่างกัน เธอดันเขาออกแล้วพูดเสียงสั่นเครือ “ใช่ คุณคือสิ่งที่ฉันหวาดกลัวที่สุด แต่คุณก็คือความสุขที่สุดในชีวิตฉัน ไม่ว่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันกี่นาทีหรือกี่ชั่วโมง มันก็คือความสุขที่ฉันยินดีรับไว้แม้จบอย่างเจ็บปวดก็ตามที” เธอวางมือตรงหัวใจของเขาแล้วยิ้มทั้งน้ำตา “เยี่ยหรง...คุณจะแต่งงานกับฉันไหมคะ” “เหยาเหยา...” “หลังจากนี้เ
จู่ๆ สายลมก็พัดแรง แรงจนสะพานแกว่งเหมือนมีมียักษ์มาแกว่ง หลินอวี่เหยาตัวเอียงไปมาจนร่างเซไปด้านหนึ่งของสะพาน เยี่ยหรงอยู่ด้านหลังแค่สองก้าวแต่เหมือนห่างไปสิบเมตร กระแสลมพัดแรงไม่ปกติ แม้รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นแต่สำหรับเขาไม่ปกติแน่นอน ทุกคนที่ก้าวข้ามไปแล้วถูกกระแสลมพัดแรงจนพวกเขาต้องหาที่ยึดเกาะ เพราะสะพานที่แกว่งไปมา ร่างเล็กเสียหลักหงายหลังตกสะพานแขวน!“เหยาเหยาระวัง!”“กรี๊ด!”เขายื่นมือไปสุดแขนแต่คว้ามือเธอไม่ทัน ร่างของหญิงสาวร่วงลงสู่แม่น้ำด้านล่าง เยี่ยหรงไม่รอช้าเขากระโดดตามไปทันที ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน ครู่หนึ่งลมสงบแล้วหานเหยียนจึงวิ่งมากลางสะพานแล้วก้มมองลงไป เห็นเพียงเงาร่างเล็กๆ อยู่ในแม่น้ำ“บ้าเอ๊ย!” หานเหยียนสบถแล้วใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมสั่งการทันที “ใช้เฮลิคอปเตอร์ออกสำรวจปลายน้ำ เร็ว!”หานเหยียนสั่งการเฉียบขาด เขาให้คนอื่นๆ ดูแลทีมนักสำรวจที่เหลือ ส่วนตัวรีบหาทางไปที่ปลายแม่น้ำทันทีทำไมต้องมีเรื่องเช่นนี้กับเกิดท่านแม่ทัพของเขาด้วยนะ จะมีสักชาติไหมที่ทั้งสองได้ใช้ชีวิตครองคู่กันอย่างปกติสุขร่างเล็กร่วงลงในแม่น้ำอย่างรวดเร็ว เร็วจนหลินอวี่เหยาไม่







