ホーム / รักโบราณ / โศลกเพลิงผลาญใจ / ตอนที่15 เลิกพูดเรื่องตายเสียทีเถิด

共有

ตอนที่15 เลิกพูดเรื่องตายเสียทีเถิด

last update 最終更新日: 2025-07-19 23:09:02

            “ท่านน้า กินแป้งย่างก่อนยังร้อนๆอยู่” 

            หลินอวี่เหยาเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบแป้งย่างออกมาจากตะกร้า นางหันซ้ายหันขวาเห็นกาน้ำชาจึงเดินไปรินใส่ถ้วย ทว่ามันเป็นเพียงน้ำเปล่า

            “ข้าไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีน้ำชา ท่านน้าดื่มน้ำเย็นเช่นนี้หรือ?”  นางรินน้ำแล้วประคองถ้วยน้ำกลับมาให้จื่อหนิง

            “ข้าจำไม่ได้แล้วว่าดื่มน้ำชาครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน”  จื่อหนิงยิ้มบางเบา กลิ่นอาหารเย้ายวนทำให้นางยื่นมือไปหยิบแป้งย่างขึ้นมาบิเป็นคำเล็กๆ แล้วส่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวและซึมซับรสชาติของอาหารแสนเรียบง่ายตรงหน้า แต่อยู่ในสถานที่นี้กลับกลายเป็นอาหารเลิศรส

            “พอกินได้ไหมเจ้าคะ”  หลินอวี่เหยารู้ว่ารสมือของตนไม่ได้แย่นัก แต่ในโลกที่มีวัตถุดิบจำกัดนี้ ความมั่นใจจึงหดหายไปกว่าครึ่ง

            “ก็พอกินได้”

 จื่อหนิงพยักหน้ารับ แม้ตอนนี้ตกอับอยู่ตำหนักเย็นมานาน   ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนมาถึงตอนนี้ แต่เมื่อรื้อฟื้นกิริยามารยาทขึ้นมาอีกครั้ง นางก็นั่งหลังเหยียดตรงและกินอาหารคำน้อยๆ แลดูเป็นหญิงสาวตระกูลสูงส่ง  หลินอวี่เหยาเห็นแล้วก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า จื่อหนิงในวัยสาวต้องเป็นสาวงามอย่างแน่นอน นางไม่กล้าถามถึงสาเหตุที่จื่อหนิงมาอยู่ที่นี่ เกรงว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจของคนตรงหน้า

            “ครั้งหน้าข้าจะทำมาของกินมาให้ท่านน้าชิมอีกนะเจ้าค่ะ”

            “อยู่ที่นี่มานานได้กินข้าววันล่ะมื้อสองมื้อก็ยังไม่ตาย เจ้าไม่ขนอะไรมาให้ข้ากินหรอก” แม้พูดเช่นนั้นแต่ก็ยังกัดกินแป้งย่างคำต่อไป

            “ข้าอยู่ที่นี้ไม่รู้จักผู้ใดก็หวังจะพึ่งพาท่านน้า”  หญิงสาวกล่าวไปตามที่ใจคิด หากจื่อหนิงคิดร้ายกับนางคงไม่ช่วยนางในค่ำคืนนั้นเป็นแน่ “พระคุณที่ท่านน้าช่วยชีวิต ข้าหลินอวี่เหยาจะไม่มีวันลืม”

            “เลิกพูดเรื่องตายเสียทีเถิด” จื่อหนิงยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ข้าเองก็ไม่ได้มีอำนาจบารมีใดจะช่วยเจ้าได้”

            “ขอแค่อนุญาตให้ข้ามาสนทนากับท่านน้าบ้าง และท่านให้คำปรึกษาข้าบ้างก็พอแล้ว”

            “อย่างข้าจะไปให้คำปรึกษาอะไรผู้ใดได้”  นางหัวเราะขมขื่นก่อนยกถ้วยน้ำเปล่าขึ้นดื่ม

            “เยอะแยะเลยเจ้าค่ะ” หลินอวี่เหยาพูดดวงตาเป็นประกายวาววับ “ได้ยินว่าท่านน้าเชี่ยวชาญเรื่องโคลงกลอน ข้าใคร่ขอคำแนะนำจากท่าน”

            “นั้นเป็นเรื่องในอดีตที่แสนนาน”  จื่อหนิงพูดพลางถอนหายใจ หวนนึกถึงกาลก่อน นางเคยได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างยิ่ง  แต่การโดดเด่นเกินไปกลายเป็นคมมีดทำลายชีวิตตนเอง สุดท้ายต้องมาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้

            “หากท่านน้าไม่รังเกียจ ช่วยสอนข้าเขียนตัวอักษรได้หรือไม่”

หลินอวี่เหยาไม่เชี่ยวชาญอักษรโบราณ หากวันข้างหน้าก้าวเท้าออกไปจากตำหนักเย็น นางต้องมีความรู้ ต้องเรียนเขียนอ่านแตกฉานเพื่อมิให้ผู้อื่นเอาเปรียบได้ และเพื่อการค้าของตนเอง        ถูกแล้ว นางจะใช้ความรู้ด้านพืชสมุนสร้างรายได้ให้ตนเอง

“เจ้าอยากได้ความโปรดปรานจากฝ่าบาทรึ”  จื่อหนิงถามเพราะสตรีจะมีค่าก็เมื่อสามีให้การยกย่อง และหากนางต้องการฐานะเดิมคืน   ก็ต้องหาวิธีที่จะได้อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้  สตรีที่ถูกส่งมาตำหนักเย็นล้วนคาดหวังว่าจะได้พบฮ่องเต้อีกครั้งทั้งนั้น

“ไม่ใช่เช่นนั้น”  หญิงสาวโบกมือไปมา “ข้าหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตนอกตำหนักเย็น ขันทีน้อยบอกว่าจะออกจากที่นี่ได้ก็ต้องเป็นศพออกไป แต่ข้ายังไม่อยากตาย”

“เจ้าอยากออกจากที่นี่? ออกจากตำหนักเย็นเจ้าจะไปอยู่ที่ใด บิดาของเจ้าก็ทอดทิ้งไม่ไยดี หากเจ้ากลับบ้านไปก็เกรงว่าพวกเขาไม่ต้อนรับเจ้าเป็นแน่”

“ข้าอยากทำการค้า ข้าสามารถเพาะปลูกพืชสมุนไพรได้ผลผลิตยอดเยี่ยมมีคุณภาพอย่างแน่นอน”

“เจ้ามั่นใจรึ”

“อื้ม!”

หลินอวี่เหยาพยักหน้า อาจเพราะอยู่ในร่างเด็กสาววัยสิบเจ็ดจึงทำให้ดูน่ารักน่าเอ็นดู  จื่อหนิงเห็นแล้วก็ยิ้มบางๆ

“อยู่ว่างเปล่าไปวันๆ หากเจ้าอยากเรียนก็มาเถิด”

“เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านน้ามาก” 

รอยยิ้มสดใส ดวงตาเป็นประกายวาววับ จื่อหนิงมองแล้วก็รู้สึกแปลกพิกล ที่ผ่านมา ‘หลินอวี่เหยา’ มักเงียบนิ่งไร้วาจา ดวงตาแดงก่ำจากการร่ำไห้ ชีวิตจมอยู่กับความทุกข์โศก  หรือเพราะผ่านความเป็นความตายมาจึงคิดได้ ยามนี้จึงดูเหมือนดอกไม้ผลิบานงดงามในฤดูใบไม้ผลิ

            ราวกับมีดอกไม้ผลิบานในตำหนักเย็น

            “ท่านน้าเจ้าค่ะ ข้าได้ท่านขับร้องบทกลอน ท่านเชี่ยวชาญเรื่องโคลงกลอน ข้ามีเรื่องอยากรบกวนถาม”

            “ว่ามา”

            หลินอวี้เหยานิ่งไปครู่หนึ่ง นางอยากจะถามถึงบทกวีที่นางเคยได้ยิน ทว่าตนเองก็จำประโยคเหล่านั้นไม่ได้ ทุกครั้งที่ตื่นมาก็หลงเหลือเพียงความเศร้าโศก

                “ข้าไม่รู้จะถามอย่างไร”  นางหัวเราะแห้งๆ ออกมา “ข้ามักได้ยินเสียงขับกล่อมบทกลอนอยู่บ่อยครั้ง แต่เมื่อลืมตาตื่นก็จำไม่ได้ เหลือเพียงความรู้สึกเศร้าโศกในใจ บางคราวข้าก็ตื่นมาพร้อมน้ำตาที่นองหน้า

                “เศร้าโศกถึงเพียงนั้นเชียวรึ”

                “เจ้าค่ะ แต่ข้าจำไม่ได้ว่าบทกลอนที่ได้ยินนั้นพูดถึงเรื่องใด แต่มีเสียงขลุ่ยซุนประสานในบทกลอนนั้น”

                “ขลุ่ยซุนรึ  ขลุ่ยซุนเป็นเสียงที่นุ่มนวลและลึกซึ้งอาจทำให้เจ้ารู้สึกเช่นนั้นได้ เอาไว้เจ้าพอนึกอะไรได้ค่อยมาถามข้าอีกทีก็แล้วกัน”

                “เจ้าค่ะ”  หญิงสาวค่อยโล่งใจไปเรื่องหนึ่ง นางเคยคิดทบทวนหลายครั้ง ไม่แน่ว่าการย้อนอดีตมาครั้งนี้ เสียงขลุ่ยและบทกลอนที่ขับขานนั้นอาจเชื่อมโยงกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นางอาจจได้กลับบ้าน ไม่รู้ว่าคุณปู่หลินเป็นอย่างไรบ้าง จะกินข้าวตรงเวลาหรือไม่ ทำงานจนลืมเวลาไปหรือเปล่า หรือเศร้าเสียใจที่นางจากไป

                “ข้าสอนเจ้าก็ได้ แต่เจ้าต้องยกน้ำชาเรียกข้าว่าอาจารย์” จื่อหนิงนึกสนุกขึ้นมา นางอยู่อย่างเงียบเหงามานาน มีอะไรให้ทำบ้างก็ดีไม่น้อย

                “ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้น...ข้ากลับไปเตรียมตัวก่อน ข้าพร้อมแล้วจะยกน้ำชาพร้อมของว่างมาคารวะท่านเจ้าค่ะ”

                ม่านหมอกแห่งความโศกเศร้าเริ่มละลายไปเช่นเดียวกับหิมะในฤดูหนาว ยามนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว มิใช่เพียงแค่ต้นไม้ดอกไม้ที่ผลิดอกอวดความงาม แต่ยังเป็นชีวิตคนที่ผลิบานด้วยความหวัง หลินอวี่เหยาได้แต่ยิ้มให้ตนเอง นางมีเป้าหมายให้ชีวิตใหม่ในโลกใบนี้แล้ว

この本を無料で読み続ける
コードをスキャンしてアプリをダウンロード

最新チャプター

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่17 ความหวาดกลัวที่กัดกินหัวใจ

    หลินอวี่เหยายุ่งกับการทำความสะอาดบ่อน้ำด้านหลังเรือน นางไม่มีปัญหากับการลงมือทำอะไรเองเช่นนี้ แต่ติดที่ร่างกายนี้พละกำลังยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก มื้อกลางวันนำอาหารที่เตรียมไว้ไปกินพร้อมกับสนมจื่อหนิง การผูกมิตรด้วยอาหารเป็นเรื่องพื้นฐานมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากเรียนรู้มารยาทต่างๆแล้ว ยังได้ฟังเรื่องเล่ามากมาย สะสมข้อมูลให้สมองน้อยๆ ของนางอีกด้วย “ข้าตากดอกมะลิไว้ แต่ยังไม่พร้อมเป็นชามะลิ อาจารย์รอข้าหน่อยนะเจ้าค่ะ” หลินอวี่เหยาประจบด้วยแววตาวิบวับ จื่อหนิงเห็นแล้วก็เอ็นดู ในวัยนี้ของสตรีคืองดงามบานสะพรั่งแต่ต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก “มีต้นมะลิด้วยรึ” “เจ้าค่ะ มีกุหลาบด้วย แล้วด้านหลังเรือนของข้ามีบ่อน้ำ ข้าลงไปทำความสะอาดลอกบ่อแล้ว ไหว้วานให้จูซินช่วยหาบัวมาลงที่บ่อ” “เจ้าจะทำสระบัวรึ” หญิงสาวโบกมือไปมา “เรียกสระบัวไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ แต่ก็พอปลูกบัวได้ หากไปได้ดีข้าจะทำชาดีบัว -ดีบัวช่วยบำรุงหัวใจ นับว่าเป็นสมุนไพรที่ดี” “ข้าไม่เคยรู้ว่าสกุลหลินเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร” หลินอวี่เหย

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่16 ข้าเป็นคนรับใช้เจ้ารึ

    จูซินกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้ากิ่งไม้แห้งๆ เอ่อ ไม่สิ นั้นเคยเป็นซากกล้วยไม้มาก่อน แต่ยามนี้กลับฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง “เจ้านี่คือซากกล้วยไม้ที่ข้าเคยเอามาหรือ?” จูซินยังไม่อยากเชื่อนัก “ใช่” หลินอวี่เหยายกน้ำแกงหัวไชเท้าออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าเรือน ซึ่งหญิงสาวสถาปนาให้มันเป็นโต๊ะรับแขกเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปยุ่งย่ามด้านเรือน “นี่อะไร” “น้ำแกงหัวไชเท้า ไม่มีเนื้อสัตว์ก็กินผักไปก่อน” นางยิ้มทะเล้นแล้วนั่งลง “กินกับหมั่นโถวได้ชุ่มคอดี” ขันทีน้อยมองอาหารบนโต๊ะ นอกจากน้ำข้าวกับผักดองที่เขายกมาให้นางทุกวัน มาบัดนี้มีหมั่วโถวก้อนอวบๆ กับน้ำแกงเพิ่มขึ้น อาหารการกินมิได้เลิศรสหรูหราแต่นับว่าดีกว่าแต่ก่อนมากนัก “หัวผักที่เจ้าให้ข้าเก็บมาก็ปลูกขึ้นด้วยหรือนี่” จูซินนั่งกินอาหารกับหลินอวี่เหยาด้วยความคุ้นชินแล้ว “ข้าต้องไปแย่งอาหารหมูมาเลยทีเดียว” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วปรายตามองไปรอบกาย ความเพียรพยายามไม่สูญเปล่า รอบๆ เรือนมีพืชผักที่เพาะปลูกไว้พอได้เก็บกินบ้างแล้ว ด้านหนึ่งมีแปลง

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่15 เลิกพูดเรื่องตายเสียทีเถิด

    “ท่านน้า กินแป้งย่างก่อนยังร้อนๆอยู่” หลินอวี่เหยาเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบแป้งย่างออกมาจากตะกร้า นางหันซ้ายหันขวาเห็นกาน้ำชาจึงเดินไปรินใส่ถ้วย ทว่ามันเป็นเพียงน้ำเปล่า “ข้าไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีน้ำชา ท่านน้าดื่มน้ำเย็นเช่นนี้หรือ?” นางรินน้ำแล้วประคองถ้วยน้ำกลับมาให้จื่อหนิง “ข้าจำไม่ได้แล้วว่าดื่มน้ำชาครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน” จื่อหนิงยิ้มบางเบา กลิ่นอาหารเย้ายวนทำให้นางยื่นมือไปหยิบแป้งย่างขึ้นมาบิเป็นคำเล็กๆ แล้วส่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวและซึมซับรสชาติของอาหารแสนเรียบง่ายตรงหน้า แต่อยู่ในสถานที่นี้กลับกลายเป็นอาหารเลิศรส “พอกินได้ไหมเจ้าคะ” หลินอวี่เหยารู้ว่ารสมือของตนไม่ได้แย่นัก แต่ในโลกที่มีวัตถุดิบจำกัดนี้ ความมั่นใจจึงหดหายไปกว่าครึ่ง “ก็พอกินได้” จื่อหนิงพยักหน้ารับ แม้ตอนนี้ตกอับอยู่ตำหนักเย็นมานาน ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนมาถึงตอนนี้ แต่เมื่อรื้อฟื้นกิริยามารยาทขึ้นมาอีกครั้ง นางก็นั่งหลังเหยียดตรงและกินอาหารคำน้อยๆ แลดูเป็นหญิงสาวตระกูลสูงส่ง หลินอวี่เหยาเห็นแล้วก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า จื่อหนิงในวัยสา

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่14  เครียดคือสิ่งใด

    “กล้วยไม้ใบเหลืองมีจุดดำ ใบแฉะ หรือเน่าที่ขอบใบ วิธีรักษาให้ตัดใบที่ติดเชื้อออกใช้ผงกำมะถันหรือน้ำปูนใสป้ายบริเวณที่ตัด กรรไกรที่ใช้ ใช้แล้วล้างเช็ดทำความสะอาดให้ดี เชื้อราติดที่คมกรรไกรได้ ช่วงนี้เปลี่ยนฤดูแล้ว เอากล้วยไม้ออกมาโดนแสงบ้าง กล้วยไม้ใบเหลือเพราะความเครียดก็มี” “เครียด? เครียดคือสิ่งใด” หลินอวี่เหยาหลุดปากไปแล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสถาบันวิจัยพันธุ์พืช นางกลอกตามองท้องฟ้าแต่เห็นแค่คานไม้เก่าคร่ำครึ หากคิดจะขึ้นไปแขวนคอก็เกรงว่าคานน่าจะหักลงมาก่อน “ข้าหมายถึงมีเรื่องวิตกกังวลมากเกินไป” “กล้วยไม้ก็มีเรื่องวิตกกังวลรึ” ซูจินทำหน้างุนงง “ข้าเห็นกล้วยไม้ของกุ้ยเฟยอยู่ดีมีสุขกว่าขันทีอย่างข้าเสียอีก” หญิงสาวยิ้มขำ นานวันเข้าขันทีน้อยก็เลิกวางตัวหยิ่งยโสใส่นาง หลินอวี่เหยาเข้าใจดี คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เหยียบย่ำคนที่ต่ำกว่าเพื่อให้ตนเองรู้สึกสูงส่งขึ้น แต่ซูจินมีพื้นฐานจิตใจดีนางเองก็ไม่อยากเอาเปรียบความใจดีของเขา ทุกครั้งที่ไหว้วานสิ่งใด นางจะตอบแทนเขาเสมอ แม้เล็กน้อยก็หยิบยื่นให้ ครั้งก่อนฝากชุดผ้

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่13 เยี่ยหรง 2

    “ท่านพ่อ ลูกกลับมาแล้วขอรับ” เยี่ยหรงประสานมือคารวะ แต่ท่านโหวมุมปากกระตุก คิดรึว่าเขาไม่รู้ว่าลูกชายกลับมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว แต่คิดไปว่าคงเหนื่อยล้าจากการปราบโจรและเดินทางกลับจึงคร้านจะใส่ใจ ทว่าผ่านมาหลายวันจนรู้ว่าเยี่ยหรงออกไปนอกจวน เขาจึงโมโหแทบควันออกหู รอให้มาหาไม่มา จึงต้องให้คนไปตามตัวเช่นนี้ เยี่ยเฟยฮุ่ยแต่งงานกับเย่าเฉิน เขามีภรรยาเดียวไม่รับอนุมีบุตรชายสามคน คือ เยี่ยเฉิงหลิงซึ่งจากไปในวัยแค่ยี่สิบ เยี่ยเฉิงอี้ และเยี่ยจิ่งอวี่ ทั้งสองเป็นทหารประจำชายแดนตะวันออกและตะวันตก แต่ทั้งสองแต่งภรรยามีทายาทตัวน้อย ทว่าเพราะประจำอยู่แดนไกล ภรรยาและลูกจึงอยู่เคียงข้างสามีที่นั้น ในเมืองหลวงนี้เยี่ยเฟยฮุ่ยกับเย่าเฉินอยู่กับสองคนปู่ย่า วาดหวังให้เยี่ยหรงบุตรชายคนเล็กแม้เป็นบุตรบุญธรรมแต่รักดุจลูกในไส้ได้แต่งงานกับสตรีที่คู่ควรเพื่อมีหลานให้ปู่ย่าได้อุ้มชู แรกทีเดียวก็อ้างเรื่องบ้านเมืองยังไม่สงบสุข แต่ตอนนี้หัวเมืองน้อยใหญ่ต่างเงียบสงบนานๆ จึงจะมีเรื่องให้ต้องยกทัพกันสักคราว แต่บุตรชายคนเล็กกลับยังไม่แต่งภรรยา แล้วเช่นนี้เมื่อไหร่จะ

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่12 เยี่ยหรง 1

    “บาดแผลนี้ผู้ใดรักษาท่านแม่ทัพรึ” ชายหนุ่มที่ถูกถามเพียงแค่ปรายตามองหมอทหารที่กำลังทำแผลที่อกซ้ายค่อนมาทางหัวไหล่ บนร่างกายกำยำมีรอยแผลนับไม่ถ้วน บาดแผลที่เคยเกือบคร่าชีวิตไปแล้วก็ทิ้งแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ทว่าแผลนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก แต่กลายเป็นแผลเรื้อรังมาแรมเดือน ซ้ำยังทำให้พิษไข้ขึ้นมาเสียเฉยๆ “ทำไมรึ” หานเหยียนคือทหารข้างกายแม่ทัพใหญ่ ปีนี้เขาอายุยี่สิบแต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาดุดันจึงเหมือนคนวัยสามสิบเข้าไปแล้ว ก่อนหน้าที่จะเป็นทหารนั้นเคยเป็นโจรภูเขาที่แม่ทัพเยี่ยหรงยกทัพปราบเมื่อราวเจ็ดปีก่อน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตในรังโจร แม่ทัพเยี่ยหรงให้ความเมตตารับอุปการะ และเมื่อถึงวัยเขาก็เข้าสู่กองทัพ ไต่เต้าจนเป็นนายกอง แม้ตำแหน่งไม่สูงแต่ได้รับใช้ใกล้ชิดแม่ทัพใหญ่ ผู้อื่นต่างพากันริษยาในวาสนานี้ หลูจิ่งเซวียน-เป็นหมอประจำค่ายทหารและรับใช้ขึ้นตรงกับแม่ทัพใหญ่ผู้ได้ฉายาว่าแม่ทัพใบ้ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นใบ้แต่เพราะพูดน้อยจนผู้อื่นเข้าใจคิดว่าเป็นใบ้ เขาส่งสายตาตำหนิไปทางหานเหยียนซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้คิดว่าแม่ทัพหนุ่มผู้องอาจเ

続きを読む
無料で面白い小説を探して読んでみましょう
GoodNovel アプリで人気小説に無料で!お好きな本をダウンロードして、いつでもどこでも読みましょう!
アプリで無料で本を読む
コードをスキャンしてアプリで読む
DMCA.com Protection Status