LOGIN“กล้วยไม้ใบเหลืองมีจุดดำ ใบแฉะ หรือเน่าที่ขอบใบ วิธีรักษาให้ตัดใบที่ติดเชื้อออกใช้ผงกำมะถันหรือน้ำปูนใสป้ายบริเวณที่ตัด กรรไกรที่ใช้ ใช้แล้วล้างเช็ดทำความสะอาดให้ดี เชื้อราติดที่คมกรรไกรได้ ช่วงนี้เปลี่ยนฤดูแล้ว เอากล้วยไม้ออกมาโดนแสงบ้าง กล้วยไม้ใบเหลือเพราะความเครียดก็มี”
“เครียด? เครียดคือสิ่งใด”
หลินอวี่เหยาหลุดปากไปแล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสถาบันวิจัยพันธุ์พืช นางกลอกตามองท้องฟ้าแต่เห็นแค่คานไม้เก่าคร่ำครึ หากคิดจะขึ้นไปแขวนคอก็เกรงว่าคานน่าจะหักลงมาก่อน
“ข้าหมายถึงมีเรื่องวิตกกังวลมากเกินไป”
“กล้วยไม้ก็มีเรื่องวิตกกังวลรึ” ซูจินทำหน้างุนงง “ข้าเห็นกล้วยไม้ของกุ้ยเฟยอยู่ดีมีสุขกว่าขันทีอย่างข้าเสียอีก”
หญิงสาวยิ้มขำ นานวันเข้าขันทีน้อยก็เลิกวางตัวหยิ่งยโสใส่นาง หลินอวี่เหยาเข้าใจดี คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เหยียบย่ำคนที่ต่ำกว่าเพื่อให้ตนเองรู้สึกสูงส่งขึ้น แต่ซูจินมีพื้นฐานจิตใจดีนางเองก็ไม่อยากเอาเปรียบความใจดีของเขา ทุกครั้งที่ไหว้วานสิ่งใด นางจะตอบแทนเขาเสมอ แม้เล็กน้อยก็หยิบยื่นให้ ครั้งก่อนฝากชุดผ้าไหมไปขาย เขาก็ซื้อข้าวสาร แป้ง เครื่องปรุงอย่างละนิดละหน่อย ที่สำคัญก็เมล็ดพันธุ์มาให้นาง วันนี้เขามาพอดีนางทำแป้งย่างเสร็จจึงได้นั่งกินด้วยกัน
เป็นขันทีขั้นต่ำไม่ได้กินของอร่อยนัก แป้งย่างไส้ต้นหอมหอมกรุ่นเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ทำให้เขากัดกินอย่างไม่เกรงใจ ไม่รู้ว่าเขาละวางการระแวดระวังตัวไปเมื่อใด ยามนี้เขากับนางจึงเป็นเหมือนสหายกัน หลายครั้งที่เขาฟังนางพูดจาแปลกหู แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษนัก เขามีหน้าที่นำอาหารมาส่งนางสนมที่อยู่ตำหนักเย็น พบเจอหลากหลายบางคนก็พูดจาไม่รู้เรื่องราว บางคนก็เอาแต่คร่ำครวญร้องไห้จนดวงตามืดบอด การที่เขารู้สึกว่าสนมหลินอวี่เหยาจากเดิมที่เคยเอาแต่เหม่อลอย น้ำตาคลอเบ้าตลอดเวลา จู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวา หรือว่าผ่านมาสองปี นางทำใจได้แล้วจึงได้เปลี่ยนตัวเองเช่นนี้
“เอาเป็นว่าท่านกงกงลองใช้วิธีของข้า ข้าเชื่อว่ากล้วยไม้จะฟื้นรอดตายได้”
“ข้าสิ จะรอดตายหรือไม่” ซูจินถอนหายใจ เขาเองก็อยากสร้างความดีความชอบเพื่อให้ตนเองก้าวหน้า แต่เห็นสภาพขันทีที่ถูกโบยตีแล้ว ก็มีเสียงในหัวบอกเขาว่าอยู่เฉยๆ เช่นนี้แหละ ดีแล้ว
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าลองเอาซากกล้วยไม้มาให้ข้าซิ กล้วยไม้ที่ตายแล้วพวกเขาทำอย่างไร”
“ข้าไม่รู้เรื่องนั้นหรอก” ซูจินครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง “แค่ซากกล้วยไม้น่าจะขอมาได้นะ”
“ตกลงตามนี้”
“เจ้าชอบพูดจาแปลกพิกล”
“อย่างนั้นรึ” นางหัวเราะร่า นึกถึงเมื่ออยู่โลกโน้น การเป็นนักวิจัยและผู้หญิงคนเดียงในคณะทำให้นิสัยค่อนข้างโพงพางและเปิดเผย วัดกันที่ความสามารถไม่ใช่เพราะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ส่วนเรื่องทำอาหารนั้นมาจากที่ คุณปู่หลินมักจะทำงานจนลืมเวลา นางไม่อยากให้คุณปู่กินอาหารเย็นชืดจึงหัดทำอาหารเพื่อให้คุณปู่หลินได้กินของร้อนและอร่อย ไม่คิดว่าเมื่อทะลุมิติมาอยู่สู่โลกนี้ ทักษะการทำอาหารจะช่วยให้นางรอดได้ ไม่เช่นนั้น นางคงได้กินน้ำข้าวกับผักดองทุกวันแน่
“ไม่รู้ว่าเจ้าทำอาหารเป็น”
“ทำได้แค่ของกินง่ายๆ” หลินอวี่เหยายอมรับ กว่านางจะใช้เตาฟื้นนี่คล่องก็ใช้เวลาพอสมควร
ซูจินแทบจะเลียนิ้วมือแต่ยังเก็บอาการอยู่ “ข้าไปก่อน”
“ท่านกงกงเดินดีๆ ข้าไม่ไปส่งนะ”
ขันทีน้อยยิ้มขำ โชคดีที่ไม่มีผู้อื่นไม่เช่นนั้นเขาคงถูกลงโทษไปแล้ว หลินอวี่เหยามองบานประตูที่ปิดลง ดวงตาสดใสพลันวูบไหว สักวันนางจะต้องก้าวไปพ้นบานประตูนี้ให้ได้ นางไม่คิดเรียกร้องความถูกต้องให้เจ้าของร่างนี้ ความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่คือการความต้องการเป็นอิสระเช่นเดียวกับที่นางปรารถนาอยู่ ออกไปจากที่นี่ไปใช้ชีวิตอย่างที่หัวใจต้องการ
หญิงสาวกำมือน้อยๆขึ้นเป็นกำปั้นแล้วชูขึ้น “สู้ๆ!”
เมื่อปลุกระดมกำลังใจได้แล้ว นางก็หมุนตัวไปหยิบตะกร้าอาหาร นำแป้งย่างที่แบ่งไว้ใส่ในตะกร้าแล้วเดินไปด้านหลังตามเส้นทางที่ขันทีน้อยบอกไว้ หญ้าที่ขึ้นรกทำให้นางต้องก้าวเท้าอย่างระวัง เดินไปไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องเพลงเศร้าโศก หญิงสาวเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน ทว่าเพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะแหลมสูง นางก้าวไปจนเห็นหญิงวัยประมาณสี่สิบนั่งอยู่กลางลานกว้างบนพื้นเย็นชื้น
“ท่านน้า ท่านน้าจื่อหนิง”
สนมจื่อหนิงได้ยินเสียงหวานใสเรียกจึงค่อยๆ หันไปมอง นางเพ่งสายตามองอย่างไม่แน่ใจ ครั้งก่อนที่เจอกันยายเด็กคนนั้นผอมบางเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก แววตาไร้ชีวิตชีวา แต่เวลานี้แม้ยังผอมบางอยู่แต่ก็ดีกว่าเดิม และแววตาคู่นั้นไม่เหมือนหลินอวี่เหยาที่นางเคยเจอ
“เจ้าเป็นใคร”
หลินอวี่เหยานิ่งงันไปชั่วขณะ หรือนางจื่อหนิงจะรู้ว่าวิญญาณในร่างนี้ไม่ใช่สนมหลิน แต่หญิงสาวยังคงยิ้มและเดินเข้าไปหาอย่างระวัง
“ท่านน้าอย่านั่งบนพื้นเช่นนี้เลย ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอา มาเถอะ ข้าทำแป้งย่างมาให้เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านน้าเคยช่วยชีวิตข้าไว้”
“ตอบแทนบุญคุณ?”
หลินอวี่เหยาประคองร่างกายผายผอมของจื่อหนิงให้ลุกขึ้นยืน “ท่านน้าอย่าได้หัวเราะแป้งย่างของข้าเชียว กว่าจะได้ส่วนผสมทำแป้งย่างข้าต้องขายชุดกระโปรงผ้าไหมเลยทีเดียว”
“เจ้า...หลินอวี่เหยารึ”
“เจ้าค่ะ ข้าเอง” หญิงสาวฉีกยิ้มแล้วประคองจื่อหนิงเข้าไปด้านในซึ่งสภาพเรือนพักนั้นไม่ต่างจากนางนัก “นั่งก่อนเจ้าค่ะ”
“เจ้า...”
“ข้าเรียกท่านว่าท่านน้าได้หรือไม่ ข้า...ข้าก็ตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ใด...เอ่อ...มีก็เหมือนไม่มี” ท้ายประโยคพูดเสียงเบาทำให้คนฟังสงสาร จื่อหนิงพยักหน้ารับแล้วยื่นมือไปลูบแก้มเบาๆ
“เจ้ายังมีข้าอยู่ เด็กน้อย”
“อื้ม ข้าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้ดี”
หลุดปากพูดไปโดยไม่คิด ทว่าหลินอวี่เหยาจำได้ดีว่านี่เป็นประโยคที่นางพูดกับพ่อแม่ในงานศพที่ไม่มีผู้ใด นางสัญญากับแม่และพ่อไว้ แม้ยามทุกข์ยากที่อยู่บ้านเด็กกำพร้าก็ได้แต่กล่ำกลืนความเศร้าโศกนั้น จนกระทั่งคุณปู่หลินมารับตัวไป
ยามนี้นางก็รู้สึกเหมือนเช่นวันนั้น หากไม่มีสนมจื่อหนิงมารั้งไว้ บางนางอาจไม่ได้ฟื้นในร่างนี้ ดวงวิญญาณคงเร่ร่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้
เยี่ยหรงอ่านจดหมายที่ถูกส่งมาให้ คนที่บ้านรู้แล้วว่าออกรบครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก ต้องการให้เขากลับไปพักฟื้นที่บ้าน ปีหนึ่งเขากลับบ้านกี่ครั้งเชียว เอาจริงๆ แล้ว เขารู้สึกว่าค่ายทหารต่างหากที่เขาเรียกว่าบ้านได้เต็มปากเต็มคำ ชายหนุ่มออกจากโรงพยาบาลกลับมานอนพักฟื้นที่ค่ายทหารแล้ว แม้คนอื่นจะคัดค้านอยากให้เขอยู่โรงพยาบาลให้นานกว่านี้ เขารู้ตัวดีว่าพักไม่กี่วันก็ดีขึ้นไม่รู้จะไปแย่งที่นอนคนเจ็บป่วยคนอื่นเพื่ออะไรกัน อีกอย่างเขาก็...ขัดเขินทุกครั้งที่พยาบาลสาวคนนั้นมาทำแผลให้เขา ร่างกายเขาดันมีปฏิกิริยาตอบสนองกับเธอเสียด้วย ปกติเรื่องพวกนี้เขาควบคุมตัวเองได้ดีเยี่ยม แต่ไม่รู้ทำไม...ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งอับอาย เขาพับจดหมายใส่ซองตามเดิมแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ใช้ชีวิตทหารมาหลายปี ไต่เต้าด้วยตัวเอง เขาต้องการถูกยอมรับจากความสามารถของตัวเอง ตอนนี้เป็นร้อยเอกเยี่ยหรงแห่งค่ายทหารหน่วยที่ 308 อีกไม่นานเขาก็ได้เลื่อนยศแล้ว ขณะที่ใจลอยคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น สายตาก็เห็นหญิงสาวปั่นจักรยานเก่าๆ เข้ามาในเขตทหาร เขาเพ่งมองอย่างหงุดหงิดเพราะพื้นที่
แรงตีที่ข้อมือไม่ได้ทำให้เขาเจ็บแต่เรียกให้เขาได้สติ ชายหนุ่มรีบปล่อยมือทันทีทำให้หญิงสาวในชุดพยาบาลถอยห่างออกไปสองก้าว “สมกับเป็นผู้บัญชาการเยี่ยจริงๆ” อวี่เหยายกมือลูบลำคอของตน แต่ก็ต้องตกใจทีเห็นเขายันกายขึ้นนั่งและทำท่าจะดึงสายน้ำเกลือออก “อย่าค่ะ! ถ้าคุณดื้อฉันจะมัดคุณไว้กับเตียงนะ!” มีชีวิตอยู่มาตั้งอายุขนาดนี้เพิ่งเคยได้ยินคนขู่เขาแบบนี้เป็นครั้งแรก เยี่ยหรงจ้องมองหญิงสาว เธอสวมชุดพยาบาลและที่นี่คงเป็นโรงพยาบาลแน่นอน พลันนึกได้ว่าเมื่อครู่เขาพลั้งมือทำร้ายเธอไป “....” เยี่ยหรงขยับปากแต่ไม่มีเสียง พยาบาลสาวเห็นสีหน้าของคนเจ็บก็เข้าใจทันที เธอขยับเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวนะคะ ตอนผ่าตัดใส่เครื่องช่วยหายใจ คุณเลยเจ็บคออยู่ ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ คุณนั่งนิ่งๆ อย่าดึงสายอะไรออกอีกนะ ฉันจะไปตามคุณหมอแล้วเอาน้ำมาให้คุณดื่ม” ร่างเพรียวบางหมุนตัวจากไปทันที เยี่ยหรงได้แต่ทำตามอย่างว่าง่าย อยากจะหัวเราะที่เขาตัวโตขนาดนี้แต่ถูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ดุเอาเสียได้ ไม่กี่นาทีต่อมาคุณหมอก็สาวเ
ร้อน! เปลวไฟกำลังโหมกระหน่ำอย่างหนัก ร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านท่ามกลางเปลวเพลิง เสียงวูบวาบทั่วทุกทิศทาง ผู้คนวิ่งชนหนีตายอลหม่านแต่เขายังยืนนิ่งงัน ทว่าในสมองคล้ายได้ยินเสียงแว่วอยู่ข้างหู คล้ายใครบางคนอ่านบทกวีแสนเศร้าให้ฟัง “ผู้บัญชาการ!!!” เสียงตะโกนเรียกทำให้เขาได้สติ สหายร่วมรบถูกสะเก็ดระเบิด เขาไม่รอช้าแบกคนเจ็บขึ้นหลังทันที “ปล่อยผม! ทิ้งผมไว้ที่นี่” “ฉันสัญญากับแม่นายแล้วว่าจะพานายกลับบ้าน ก็ต้องทำตามสัญญา” เขากัดฟันทั้งที่ตัวเองก็บาดเจ็บไม่น้อย ในสนามรบที่เต็มไปด้วยทหารทั้งสองฝ่าย เสียงปืนดังรัวไม่ขาดสาย และระเบิดเป็นระยะๆ เขาแบกร่างของเพื่อนร่วมกองรบวิ่งกลับมาที่บังเกอร์ได้สำเร็จ “ผู้บัญชาการเยี่ย ท่านจะไปไหนอีกครับ” ลูกน้องถามเมื่อเห็นว่านายกองคว้าปืนยาวของสหายร่วมรบมาถือไว้ “จัดการพวกมันนะสิ” “ผู้บัญชาการ คนของเราเหลือแค่ไม่กี่คนแล้ว รอกองหนุนไม่ดีกว่าหรือครับ” “พวกนายอยู่นี่ ฉันไปจัดการเอง” “ผู้บัญชาการ!!” ความบ้าระห่ำของผู้ชายคนนี้ท
ห้าปีต่อมา คฤหาสน์ตระกูลเยี่ยมีเสียงหัวเราะของเด็กน้อย เด็กชายวัยสามขวบวิ่งถลามาหาหญิงสาวที่นั่งพิมพ์เอกสารอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊ค เสียงร้องตกใจของคนรับใช้ทำให้หลินอวี่เหยาเงยหน้าขึ้นจากงานตรงหน้า ทว่าลูกชายยังมาไม่ถึงก็ถูกมือใหญ่ของคนเป็นพ่อคว้าคอเสื้อไว้ได้ทัน “ฮ่าวหมิง อย่ากระโจนใส่แม่แบบนั้นสิ” เยี่ยหรงเพิ่งกลับจากบริษัทพอดี เขาอุ้มลูกชายนั่งบนท่อนแขนแล้วอบรม “แม่อุ้มท้องน้องสาวอยู่ ถ้าลูกไปกระแทกท้องของแม่ก็กระทบกระเทือนถึงน้องสาวด้วย ลูกเข้าใจไหม” “ฮ่าวหมิงแค่อยากเล่นกับน้องสาว” เสียงเจื้อแจ้วเอ่ยตอบพร้อมดวงตากลมโตจ้องมารดา “เดือนหน้าก็ได้เจอหน้าน้องสาวแล้ว” คนเป็นพ่ออุ้มลูกชายแล้วเดินมานั่งข้างคนรักแล้วโน้มตัวลงมาอบรมคนเป็นแม่อีกคน “เดือนหน้าคุณก็จะคลอดแล้ว ยังทำงานอยู่อีก” “ฉันท้องไม่ได้ป่วยเสียหน่อย” หลินอวี่เหยาหัวเราะเสียงใส แต่ปลายนิ้วยังพร่างพรมบนคีย์บอร์ด จนกระทั่งเธอกดปุ่มเอ็นเทอร์และเซฟไฟล์งาน“เย่! เสร็จเรียบร้อยเสียที” “เย่ๆ” ฮ่าวหมิงร้องดีใจแม้ไม่เข้าใจว่าแม่ดีใจเรื่องอะไร
“อืม...” หญิงสาวรับคำแล้วยกมือขึ้นแตะแก้มของเขา “ทำไมคุณโง่แบบนี้ ไม่ต้องช่วยฉันก็ได้ คุณเจ็บเพราะถูกกระบี่เทพสวรรค์แทงทะลุหัวใจ แล้วยังถูกเง็กเซียนฮ่องเต้ลงโทษอีก” ดวงตาของชายหนุ่มมีหยาดน้ำเอ่อคลอ “วันที่ฉันตกเขาไปครั้งนั้น ดวงวิญญาณในร่างนี้ทะลุมิติไปในชาติที่คุณคือแม่ทัพเยี่ยหรง” หญิงสาวยิ้มเศร้าเคล้าน้ำตา “ฉันตายในชาตินั้นก็กลับมาที่นี่ ได้พบคุณอีกแล้ว” “ผมขอโทษ” เขากอดร่างบอบบางทั้งที่ตัวเองก็สั่นสะท้าน “ผมรู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้คุณเจ็บปวด ผมเห็นแก่ตัว แต่ชีวิตผมขาดคุณไม่ได้” มือเล็กดันแผ่นอกเขาเบาๆ รับรู้ว่าเขาก็กลัวไม่ต่างกัน เธอดันเขาออกแล้วพูดเสียงสั่นเครือ “ใช่ คุณคือสิ่งที่ฉันหวาดกลัวที่สุด แต่คุณก็คือความสุขที่สุดในชีวิตฉัน ไม่ว่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันกี่นาทีหรือกี่ชั่วโมง มันก็คือความสุขที่ฉันยินดีรับไว้แม้จบอย่างเจ็บปวดก็ตามที” เธอวางมือตรงหัวใจของเขาแล้วยิ้มทั้งน้ำตา “เยี่ยหรง...คุณจะแต่งงานกับฉันไหมคะ” “เหยาเหยา...” “หลังจากนี้เ
จู่ๆ สายลมก็พัดแรง แรงจนสะพานแกว่งเหมือนมีมียักษ์มาแกว่ง หลินอวี่เหยาตัวเอียงไปมาจนร่างเซไปด้านหนึ่งของสะพาน เยี่ยหรงอยู่ด้านหลังแค่สองก้าวแต่เหมือนห่างไปสิบเมตร กระแสลมพัดแรงไม่ปกติ แม้รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นแต่สำหรับเขาไม่ปกติแน่นอน ทุกคนที่ก้าวข้ามไปแล้วถูกกระแสลมพัดแรงจนพวกเขาต้องหาที่ยึดเกาะ เพราะสะพานที่แกว่งไปมา ร่างเล็กเสียหลักหงายหลังตกสะพานแขวน!“เหยาเหยาระวัง!”“กรี๊ด!”เขายื่นมือไปสุดแขนแต่คว้ามือเธอไม่ทัน ร่างของหญิงสาวร่วงลงสู่แม่น้ำด้านล่าง เยี่ยหรงไม่รอช้าเขากระโดดตามไปทันที ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน ครู่หนึ่งลมสงบแล้วหานเหยียนจึงวิ่งมากลางสะพานแล้วก้มมองลงไป เห็นเพียงเงาร่างเล็กๆ อยู่ในแม่น้ำ“บ้าเอ๊ย!” หานเหยียนสบถแล้วใช้โทรศัพท์ผ่านดาวเทียมสั่งการทันที “ใช้เฮลิคอปเตอร์ออกสำรวจปลายน้ำ เร็ว!”หานเหยียนสั่งการเฉียบขาด เขาให้คนอื่นๆ ดูแลทีมนักสำรวจที่เหลือ ส่วนตัวรีบหาทางไปที่ปลายแม่น้ำทันทีทำไมต้องมีเรื่องเช่นนี้กับเกิดท่านแม่ทัพของเขาด้วยนะ จะมีสักชาติไหมที่ทั้งสองได้ใช้ชีวิตครองคู่กันอย่างปกติสุขร่างเล็กร่วงลงในแม่น้ำอย่างรวดเร็ว เร็วจนหลินอวี่เหยาไม่







