ホーム / รักโบราณ / โศลกเพลิงผลาญใจ /  ตอนที่14  เครียดคือสิ่งใด

共有

 ตอนที่14  เครียดคือสิ่งใด

last update 最終更新日: 2025-07-19 01:16:53

          “กล้วยไม้ใบเหลืองมีจุดดำ ใบแฉะ หรือเน่าที่ขอบใบ วิธีรักษาให้ตัดใบที่ติดเชื้อออกใช้ผงกำมะถันหรือน้ำปูนใสป้ายบริเวณที่ตัด กรรไกรที่ใช้ ใช้แล้วล้างเช็ดทำความสะอาดให้ดี เชื้อราติดที่คมกรรไกรได้ ช่วงนี้เปลี่ยนฤดูแล้ว เอากล้วยไม้ออกมาโดนแสงบ้าง กล้วยไม้ใบเหลือเพราะความเครียดก็มี”

            “เครียด? เครียดคือสิ่งใด”

            หลินอวี่เหยาหลุดปากไปแล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสถาบันวิจัยพันธุ์พืช นางกลอกตามองท้องฟ้าแต่เห็นแค่คานไม้เก่าคร่ำครึ หากคิดจะขึ้นไปแขวนคอก็เกรงว่าคานน่าจะหักลงมาก่อน

            “ข้าหมายถึงมีเรื่องวิตกกังวลมากเกินไป”

            “กล้วยไม้ก็มีเรื่องวิตกกังวลรึ” ซูจินทำหน้างุนงง “ข้าเห็นกล้วยไม้ของกุ้ยเฟยอยู่ดีมีสุขกว่าขันทีอย่างข้าเสียอีก”

            หญิงสาวยิ้มขำ นานวันเข้าขันทีน้อยก็เลิกวางตัวหยิ่งยโสใส่นาง หลินอวี่เหยาเข้าใจดี คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เหยียบย่ำคนที่ต่ำกว่าเพื่อให้ตนเองรู้สึกสูงส่งขึ้น  แต่ซูจินมีพื้นฐานจิตใจดีนางเองก็ไม่อยากเอาเปรียบความใจดีของเขา ทุกครั้งที่ไหว้วานสิ่งใด นางจะตอบแทนเขาเสมอ แม้เล็กน้อยก็หยิบยื่นให้ ครั้งก่อนฝากชุดผ้าไหมไปขาย เขาก็ซื้อข้าวสาร แป้ง เครื่องปรุงอย่างละนิดละหน่อย ที่สำคัญก็เมล็ดพันธุ์มาให้นาง วันนี้เขามาพอดีนางทำแป้งย่างเสร็จจึงได้นั่งกินด้วยกัน

            เป็นขันทีขั้นต่ำไม่ได้กินของอร่อยนัก แป้งย่างไส้ต้นหอมหอมกรุ่นเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ทำให้เขากัดกินอย่างไม่เกรงใจ ไม่รู้ว่าเขาละวางการระแวดระวังตัวไปเมื่อใด  ยามนี้เขากับนางจึงเป็นเหมือนสหายกัน หลายครั้งที่เขาฟังนางพูดจาแปลกหู  แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเป็นพิเศษนัก เขามีหน้าที่นำอาหารมาส่งนางสนมที่อยู่ตำหนักเย็น  พบเจอหลากหลายบางคนก็พูดจาไม่รู้เรื่องราว บางคนก็เอาแต่คร่ำครวญร้องไห้จนดวงตามืดบอด การที่เขารู้สึกว่าสนมหลินอวี่เหยาจากเดิมที่เคยเอาแต่เหม่อลอย น้ำตาคลอเบ้าตลอดเวลา จู่ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นคนร่าเริงมีชีวิตชีวา หรือว่าผ่านมาสองปี นางทำใจได้แล้วจึงได้เปลี่ยนตัวเองเช่นนี้

            “เอาเป็นว่าท่านกงกงลองใช้วิธีของข้า ข้าเชื่อว่ากล้วยไม้จะฟื้นรอดตายได้”

            “ข้าสิ จะรอดตายหรือไม่”  ซูจินถอนหายใจ เขาเองก็อยากสร้างความดีความชอบเพื่อให้ตนเองก้าวหน้า แต่เห็นสภาพขันทีที่ถูกโบยตีแล้ว ก็มีเสียงในหัวบอกเขาว่าอยู่เฉยๆ เช่นนี้แหละ ดีแล้ว

            “ถ้าเช่นนั้น เจ้าลองเอาซากกล้วยไม้มาให้ข้าซิ  กล้วยไม้ที่ตายแล้วพวกเขาทำอย่างไร”

            “ข้าไม่รู้เรื่องนั้นหรอก” ซูจินครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง “แค่ซากกล้วยไม้น่าจะขอมาได้นะ”

            “ตกลงตามนี้”

            “เจ้าชอบพูดจาแปลกพิกล”

            “อย่างนั้นรึ”  นางหัวเราะร่า นึกถึงเมื่ออยู่โลกโน้น  การเป็นนักวิจัยและผู้หญิงคนเดียงในคณะทำให้นิสัยค่อนข้างโพงพางและเปิดเผย  วัดกันที่ความสามารถไม่ใช่เพราะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ส่วนเรื่องทำอาหารนั้นมาจากที่ คุณปู่หลินมักจะทำงานจนลืมเวลา นางไม่อยากให้คุณปู่กินอาหารเย็นชืดจึงหัดทำอาหารเพื่อให้คุณปู่หลินได้กินของร้อนและอร่อย ไม่คิดว่าเมื่อทะลุมิติมาอยู่สู่โลกนี้ ทักษะการทำอาหารจะช่วยให้นางรอดได้ ไม่เช่นนั้น นางคงได้กินน้ำข้าวกับผักดองทุกวันแน่

            “ไม่รู้ว่าเจ้าทำอาหารเป็น” 

            “ทำได้แค่ของกินง่ายๆ” หลินอวี่เหยายอมรับ กว่านางจะใช้เตาฟื้นนี่คล่องก็ใช้เวลาพอสมควร

            ซูจินแทบจะเลียนิ้วมือแต่ยังเก็บอาการอยู่ “ข้าไปก่อน”

            “ท่านกงกงเดินดีๆ ข้าไม่ไปส่งนะ”

            ขันทีน้อยยิ้มขำ โชคดีที่ไม่มีผู้อื่นไม่เช่นนั้นเขาคงถูกลงโทษไปแล้ว  หลินอวี่เหยามองบานประตูที่ปิดลง ดวงตาสดใสพลันวูบไหว สักวันนางจะต้องก้าวไปพ้นบานประตูนี้ให้ได้  นางไม่คิดเรียกร้องความถูกต้องให้เจ้าของร่างนี้ ความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่คือการความต้องการเป็นอิสระเช่นเดียวกับที่นางปรารถนาอยู่  ออกไปจากที่นี่ไปใช้ชีวิตอย่างที่หัวใจต้องการ

            หญิงสาวกำมือน้อยๆขึ้นเป็นกำปั้นแล้วชูขึ้น “สู้ๆ!”

            เมื่อปลุกระดมกำลังใจได้แล้ว นางก็หมุนตัวไปหยิบตะกร้าอาหาร นำแป้งย่างที่แบ่งไว้ใส่ในตะกร้าแล้วเดินไปด้านหลังตามเส้นทางที่ขันทีน้อยบอกไว้ หญ้าที่ขึ้นรกทำให้นางต้องก้าวเท้าอย่างระวัง เดินไปไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องเพลงเศร้าโศก หญิงสาวเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน ทว่าเพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะแหลมสูง นางก้าวไปจนเห็นหญิงวัยประมาณสี่สิบนั่งอยู่กลางลานกว้างบนพื้นเย็นชื้น

            “ท่านน้า  ท่านน้าจื่อหนิง”

            สนมจื่อหนิงได้ยินเสียงหวานใสเรียกจึงค่อยๆ หันไปมอง นางเพ่งสายตามองอย่างไม่แน่ใจ ครั้งก่อนที่เจอกันยายเด็กคนนั้นผอมบางเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก แววตาไร้ชีวิตชีวา แต่เวลานี้แม้ยังผอมบางอยู่แต่ก็ดีกว่าเดิม และแววตาคู่นั้นไม่เหมือนหลินอวี่เหยาที่นางเคยเจอ

            “เจ้าเป็นใคร”

            หลินอวี่เหยานิ่งงันไปชั่วขณะ หรือนางจื่อหนิงจะรู้ว่าวิญญาณในร่างนี้ไม่ใช่สนมหลิน แต่หญิงสาวยังคงยิ้มและเดินเข้าไปหาอย่างระวัง

            “ท่านน้าอย่านั่งบนพื้นเช่นนี้เลย ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอา มาเถอะ ข้าทำแป้งย่างมาให้เพื่อตอบแทนบุญคุณที่ท่านน้าเคยช่วยชีวิตข้าไว้”

            “ตอบแทนบุญคุณ?”

            หลินอวี่เหยาประคองร่างกายผายผอมของจื่อหนิงให้ลุกขึ้นยืน “ท่านน้าอย่าได้หัวเราะแป้งย่างของข้าเชียว กว่าจะได้ส่วนผสมทำแป้งย่างข้าต้องขายชุดกระโปรงผ้าไหมเลยทีเดียว”

            “เจ้า...หลินอวี่เหยารึ”

            “เจ้าค่ะ ข้าเอง”  หญิงสาวฉีกยิ้มแล้วประคองจื่อหนิงเข้าไปด้านในซึ่งสภาพเรือนพักนั้นไม่ต่างจากนางนัก “นั่งก่อนเจ้าค่ะ”

            “เจ้า...”

            “ข้าเรียกท่านว่าท่านน้าได้หรือไม่ ข้า...ข้าก็ตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ใด...เอ่อ...มีก็เหมือนไม่มี” ท้ายประโยคพูดเสียงเบาทำให้คนฟังสงสาร จื่อหนิงพยักหน้ารับแล้วยื่นมือไปลูบแก้มเบาๆ

            “เจ้ายังมีข้าอยู่ เด็กน้อย”

            “อื้ม ข้าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้ดี”

            หลุดปากพูดไปโดยไม่คิด ทว่าหลินอวี่เหยาจำได้ดีว่านี่เป็นประโยคที่นางพูดกับพ่อแม่ในงานศพที่ไม่มีผู้ใด นางสัญญากับแม่และพ่อไว้ แม้ยามทุกข์ยากที่อยู่บ้านเด็กกำพร้าก็ได้แต่กล่ำกลืนความเศร้าโศกนั้น จนกระทั่งคุณปู่หลินมารับตัวไป

            ยามนี้นางก็รู้สึกเหมือนเช่นวันนั้น หากไม่มีสนมจื่อหนิงมารั้งไว้ บางนางอาจไม่ได้ฟื้นในร่างนี้ ดวงวิญญาณคงเร่ร่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้

           

           

この本を無料で読み続ける
コードをスキャンしてアプリをダウンロード

最新チャプター

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่17 ความหวาดกลัวที่กัดกินหัวใจ

    หลินอวี่เหยายุ่งกับการทำความสะอาดบ่อน้ำด้านหลังเรือน นางไม่มีปัญหากับการลงมือทำอะไรเองเช่นนี้ แต่ติดที่ร่างกายนี้พละกำลังยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก มื้อกลางวันนำอาหารที่เตรียมไว้ไปกินพร้อมกับสนมจื่อหนิง การผูกมิตรด้วยอาหารเป็นเรื่องพื้นฐานมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากเรียนรู้มารยาทต่างๆแล้ว ยังได้ฟังเรื่องเล่ามากมาย สะสมข้อมูลให้สมองน้อยๆ ของนางอีกด้วย “ข้าตากดอกมะลิไว้ แต่ยังไม่พร้อมเป็นชามะลิ อาจารย์รอข้าหน่อยนะเจ้าค่ะ” หลินอวี่เหยาประจบด้วยแววตาวิบวับ จื่อหนิงเห็นแล้วก็เอ็นดู ในวัยนี้ของสตรีคืองดงามบานสะพรั่งแต่ต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก “มีต้นมะลิด้วยรึ” “เจ้าค่ะ มีกุหลาบด้วย แล้วด้านหลังเรือนของข้ามีบ่อน้ำ ข้าลงไปทำความสะอาดลอกบ่อแล้ว ไหว้วานให้จูซินช่วยหาบัวมาลงที่บ่อ” “เจ้าจะทำสระบัวรึ” หญิงสาวโบกมือไปมา “เรียกสระบัวไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ แต่ก็พอปลูกบัวได้ หากไปได้ดีข้าจะทำชาดีบัว -ดีบัวช่วยบำรุงหัวใจ นับว่าเป็นสมุนไพรที่ดี” “ข้าไม่เคยรู้ว่าสกุลหลินเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร” หลินอวี่เหย

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่16 ข้าเป็นคนรับใช้เจ้ารึ

    จูซินกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้ากิ่งไม้แห้งๆ เอ่อ ไม่สิ นั้นเคยเป็นซากกล้วยไม้มาก่อน แต่ยามนี้กลับฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง “เจ้านี่คือซากกล้วยไม้ที่ข้าเคยเอามาหรือ?” จูซินยังไม่อยากเชื่อนัก “ใช่” หลินอวี่เหยายกน้ำแกงหัวไชเท้าออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าเรือน ซึ่งหญิงสาวสถาปนาให้มันเป็นโต๊ะรับแขกเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปยุ่งย่ามด้านเรือน “นี่อะไร” “น้ำแกงหัวไชเท้า ไม่มีเนื้อสัตว์ก็กินผักไปก่อน” นางยิ้มทะเล้นแล้วนั่งลง “กินกับหมั่นโถวได้ชุ่มคอดี” ขันทีน้อยมองอาหารบนโต๊ะ นอกจากน้ำข้าวกับผักดองที่เขายกมาให้นางทุกวัน มาบัดนี้มีหมั่วโถวก้อนอวบๆ กับน้ำแกงเพิ่มขึ้น อาหารการกินมิได้เลิศรสหรูหราแต่นับว่าดีกว่าแต่ก่อนมากนัก “หัวผักที่เจ้าให้ข้าเก็บมาก็ปลูกขึ้นด้วยหรือนี่” จูซินนั่งกินอาหารกับหลินอวี่เหยาด้วยความคุ้นชินแล้ว “ข้าต้องไปแย่งอาหารหมูมาเลยทีเดียว” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วปรายตามองไปรอบกาย ความเพียรพยายามไม่สูญเปล่า รอบๆ เรือนมีพืชผักที่เพาะปลูกไว้พอได้เก็บกินบ้างแล้ว ด้านหนึ่งมีแปลง

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่15 เลิกพูดเรื่องตายเสียทีเถิด

    “ท่านน้า กินแป้งย่างก่อนยังร้อนๆอยู่” หลินอวี่เหยาเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบแป้งย่างออกมาจากตะกร้า นางหันซ้ายหันขวาเห็นกาน้ำชาจึงเดินไปรินใส่ถ้วย ทว่ามันเป็นเพียงน้ำเปล่า “ข้าไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีน้ำชา ท่านน้าดื่มน้ำเย็นเช่นนี้หรือ?” นางรินน้ำแล้วประคองถ้วยน้ำกลับมาให้จื่อหนิง “ข้าจำไม่ได้แล้วว่าดื่มน้ำชาครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน” จื่อหนิงยิ้มบางเบา กลิ่นอาหารเย้ายวนทำให้นางยื่นมือไปหยิบแป้งย่างขึ้นมาบิเป็นคำเล็กๆ แล้วส่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวและซึมซับรสชาติของอาหารแสนเรียบง่ายตรงหน้า แต่อยู่ในสถานที่นี้กลับกลายเป็นอาหารเลิศรส “พอกินได้ไหมเจ้าคะ” หลินอวี่เหยารู้ว่ารสมือของตนไม่ได้แย่นัก แต่ในโลกที่มีวัตถุดิบจำกัดนี้ ความมั่นใจจึงหดหายไปกว่าครึ่ง “ก็พอกินได้” จื่อหนิงพยักหน้ารับ แม้ตอนนี้ตกอับอยู่ตำหนักเย็นมานาน ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนมาถึงตอนนี้ แต่เมื่อรื้อฟื้นกิริยามารยาทขึ้นมาอีกครั้ง นางก็นั่งหลังเหยียดตรงและกินอาหารคำน้อยๆ แลดูเป็นหญิงสาวตระกูลสูงส่ง หลินอวี่เหยาเห็นแล้วก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า จื่อหนิงในวัยสา

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่14  เครียดคือสิ่งใด

    “กล้วยไม้ใบเหลืองมีจุดดำ ใบแฉะ หรือเน่าที่ขอบใบ วิธีรักษาให้ตัดใบที่ติดเชื้อออกใช้ผงกำมะถันหรือน้ำปูนใสป้ายบริเวณที่ตัด กรรไกรที่ใช้ ใช้แล้วล้างเช็ดทำความสะอาดให้ดี เชื้อราติดที่คมกรรไกรได้ ช่วงนี้เปลี่ยนฤดูแล้ว เอากล้วยไม้ออกมาโดนแสงบ้าง กล้วยไม้ใบเหลือเพราะความเครียดก็มี” “เครียด? เครียดคือสิ่งใด” หลินอวี่เหยาหลุดปากไปแล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสถาบันวิจัยพันธุ์พืช นางกลอกตามองท้องฟ้าแต่เห็นแค่คานไม้เก่าคร่ำครึ หากคิดจะขึ้นไปแขวนคอก็เกรงว่าคานน่าจะหักลงมาก่อน “ข้าหมายถึงมีเรื่องวิตกกังวลมากเกินไป” “กล้วยไม้ก็มีเรื่องวิตกกังวลรึ” ซูจินทำหน้างุนงง “ข้าเห็นกล้วยไม้ของกุ้ยเฟยอยู่ดีมีสุขกว่าขันทีอย่างข้าเสียอีก” หญิงสาวยิ้มขำ นานวันเข้าขันทีน้อยก็เลิกวางตัวหยิ่งยโสใส่นาง หลินอวี่เหยาเข้าใจดี คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เหยียบย่ำคนที่ต่ำกว่าเพื่อให้ตนเองรู้สึกสูงส่งขึ้น แต่ซูจินมีพื้นฐานจิตใจดีนางเองก็ไม่อยากเอาเปรียบความใจดีของเขา ทุกครั้งที่ไหว้วานสิ่งใด นางจะตอบแทนเขาเสมอ แม้เล็กน้อยก็หยิบยื่นให้ ครั้งก่อนฝากชุดผ้

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่13 เยี่ยหรง 2

    “ท่านพ่อ ลูกกลับมาแล้วขอรับ” เยี่ยหรงประสานมือคารวะ แต่ท่านโหวมุมปากกระตุก คิดรึว่าเขาไม่รู้ว่าลูกชายกลับมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว แต่คิดไปว่าคงเหนื่อยล้าจากการปราบโจรและเดินทางกลับจึงคร้านจะใส่ใจ ทว่าผ่านมาหลายวันจนรู้ว่าเยี่ยหรงออกไปนอกจวน เขาจึงโมโหแทบควันออกหู รอให้มาหาไม่มา จึงต้องให้คนไปตามตัวเช่นนี้ เยี่ยเฟยฮุ่ยแต่งงานกับเย่าเฉิน เขามีภรรยาเดียวไม่รับอนุมีบุตรชายสามคน คือ เยี่ยเฉิงหลิงซึ่งจากไปในวัยแค่ยี่สิบ เยี่ยเฉิงอี้ และเยี่ยจิ่งอวี่ ทั้งสองเป็นทหารประจำชายแดนตะวันออกและตะวันตก แต่ทั้งสองแต่งภรรยามีทายาทตัวน้อย ทว่าเพราะประจำอยู่แดนไกล ภรรยาและลูกจึงอยู่เคียงข้างสามีที่นั้น ในเมืองหลวงนี้เยี่ยเฟยฮุ่ยกับเย่าเฉินอยู่กับสองคนปู่ย่า วาดหวังให้เยี่ยหรงบุตรชายคนเล็กแม้เป็นบุตรบุญธรรมแต่รักดุจลูกในไส้ได้แต่งงานกับสตรีที่คู่ควรเพื่อมีหลานให้ปู่ย่าได้อุ้มชู แรกทีเดียวก็อ้างเรื่องบ้านเมืองยังไม่สงบสุข แต่ตอนนี้หัวเมืองน้อยใหญ่ต่างเงียบสงบนานๆ จึงจะมีเรื่องให้ต้องยกทัพกันสักคราว แต่บุตรชายคนเล็กกลับยังไม่แต่งภรรยา แล้วเช่นนี้เมื่อไหร่จะ

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่12 เยี่ยหรง 1

    “บาดแผลนี้ผู้ใดรักษาท่านแม่ทัพรึ” ชายหนุ่มที่ถูกถามเพียงแค่ปรายตามองหมอทหารที่กำลังทำแผลที่อกซ้ายค่อนมาทางหัวไหล่ บนร่างกายกำยำมีรอยแผลนับไม่ถ้วน บาดแผลที่เคยเกือบคร่าชีวิตไปแล้วก็ทิ้งแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ทว่าแผลนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก แต่กลายเป็นแผลเรื้อรังมาแรมเดือน ซ้ำยังทำให้พิษไข้ขึ้นมาเสียเฉยๆ “ทำไมรึ” หานเหยียนคือทหารข้างกายแม่ทัพใหญ่ ปีนี้เขาอายุยี่สิบแต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาดุดันจึงเหมือนคนวัยสามสิบเข้าไปแล้ว ก่อนหน้าที่จะเป็นทหารนั้นเคยเป็นโจรภูเขาที่แม่ทัพเยี่ยหรงยกทัพปราบเมื่อราวเจ็ดปีก่อน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตในรังโจร แม่ทัพเยี่ยหรงให้ความเมตตารับอุปการะ และเมื่อถึงวัยเขาก็เข้าสู่กองทัพ ไต่เต้าจนเป็นนายกอง แม้ตำแหน่งไม่สูงแต่ได้รับใช้ใกล้ชิดแม่ทัพใหญ่ ผู้อื่นต่างพากันริษยาในวาสนานี้ หลูจิ่งเซวียน-เป็นหมอประจำค่ายทหารและรับใช้ขึ้นตรงกับแม่ทัพใหญ่ผู้ได้ฉายาว่าแม่ทัพใบ้ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นใบ้แต่เพราะพูดน้อยจนผู้อื่นเข้าใจคิดว่าเป็นใบ้ เขาส่งสายตาตำหนิไปทางหานเหยียนซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้คิดว่าแม่ทัพหนุ่มผู้องอาจเ

続きを読む
無料で面白い小説を探して読んでみましょう
GoodNovel アプリで人気小説に無料で!お好きな本をダウンロードして、いつでもどこでも読みましょう!
アプリで無料で本を読む
コードをスキャンしてアプリで読む
DMCA.com Protection Status