เข้าสู่ระบบภูผาเอ่ยเตือนสติในตอนท้าย เพราะไม่เคยเห็นพื่อนรัก ‘เสียอาการ’ แบบนี้เลยสักครั้ง ถึงจักรพรรดิจะขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ แต่เวลาคบใครก็คบทีละคน พอมีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้วก็เลิกหมด ไม่เคยชายตาแลหญิงอื่นให้เมียต้องขุ่นข้องหมองใจ แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเผลอลืมตัวมองสาวน้อยหุ่นน่าฟัดที่เพิ่งเดินผ่านไม่วางตา
“แค่รู้สึกคุ้นหน้า”
คนโดนย้อนทำเพียงไหวไหล่เบาๆ จักรพรรดิรู้สึกเหมือนเคยเจอสาวน้อยคนที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไปเมื่อครู่ที่ไหนสักแห่ง แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก แถมสมองยังเอาแต่ควานหาว่าเขาเคยรู้จักเธอหรือไม่
ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนเคยเจอ เคยเห็นหน้า เคยสัมผัส เคยใกล้ชิด
มันน่าประหลาดเอามากๆ
แม่ง! แค่เจอหน้า ทำไมต้องเอาแต่คิดเรื่องของยายเด็กนั่นด้วยวะ
“เฮ้ย! เด็กเลี้ยงมึงหรือเปล่าวะ”
“นั่นมันมึง ไม่ใช่กู กูไม่เคยเลี้ยงเด็ก กูไม่ชอบเด็ก”
มาเฟียหน้าตายสวนกลับทันควัน
“งั้นก็เป็นอดีตคู่ควง”
“จะต้องให้ย้ำอีกกี่หน ว่ากูไม่ชอบเด็ก ไม่เหมือนมึงที่ชอบพรากผู้เยาว์”
คราวนี้คนโดนไล่ต้อนเริ่มกดเสียงต่ำ ส่วนคนถูกหลอกด่าสองดอกติดๆ ทำเพียงไหวไหล่ไม่ยี่หระ
“ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมมึงมองเขา ‘ตาค้าง’ จังวะ”
“แค่มอง”
จักรพรรดิย้ำชัดในเจตนา ส่วนภูผาก็ต้องทำทีเป็นไหลไปตามน้ำ
“เออๆ แค่มอง…ก็ได้”
“บอกแล้วไง ว่าแค่รู้สึกคุ้นหน้า”
“จริงดิ”
ภูผาหรี่ตามองเพื่อนซี้เพื่อจับพิรุธ แต่คนอย่างจักรพรรดิมีหรือจะหลุดมาดเป็นหนที่สอง เขาขึ้นชื่อเรื่องความเย็นชา เก็บอารมณ์เก่ง ไม่มีทางจะให้ความหงุดหงิดงุ่นง่านเพราะ ‘เด็กนั่น’ ที่กำลังบังเกิดหลุดลอดออกมาอีกหน
“อืม”
ปากตอบไปงั้น แต่กลับหลุดสบถในใจ
เวร! ก็แค่เด็กกะโปโลคนหนึ่งทำไมเขาต้องเก็บมาใส่ใจด้วยวะ
“ก็ดี จะได้ไม่เจอข้อหาพรากผู้เยาว์ และนอกใจเมีย”
“กูไม่เคยคิดจะนอกใจเมีย”
จักรพรรดิประกาศอย่างหนักแน่น พยายามสะกดอารมณ์กรุ่นๆ ในอก ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟมาจิบด้วยท่วงท่าสง่างามจนน่าทึ่ง ทั้งที่จริงๆ แล้วภูผานั้นดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิด ไม่ว่าจะด้วยเรื่องที่โดนเขาล้อเลียน หรือเรื่องสาวน้อยคนเมื่อกี้ แต่อีกฝ่ายก็ยังเก็บอาการได้อย่างน่านับถือเสียจริงๆ
วันนี้บูรณิมามารับจ๊อบพิเศษที่สตูดิโอของเอวาริน นางแบบคนดัง ที่ผันตัวมาทำแบรนด์เสื้อผ้าและชุดชั้นในเป็นของตัวเอง ซึ่งช่วงนี้มีคอเลกชั่นใหม่ของแบรนด์ชุดชั้นใน ‘เอวารี’ ฉะนั้นเอวารินจึงติดต่อให้เธอมาเป็นนางแบบให้
ใช่ ฟังไม่ผิดหรอก
เธอเป็นนางแบบชุดชั้นในให้เอวาริน ไม่ได้เป็นนางแบบประจำ แต่จะรับเป็นจ๊อบๆ ไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะตอบรับข้อเสนอของอีกฝ่ายเมื่อเงินในบัญชีใกล้จะหมด
งานหลักของเธอคือการเป็นนักเขียนนิยาย บูรณิมาเริ่มยึดอาชีพนี้ หลังฟื้นจากการนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราเพราะประสบอุบัติเหตุอาการสาหัส เธอหันมาเอาดีด้านการเขียนนิยายในช่วงฟื้นฟูร่างกาย เพราะพื้นฐานเป็นคนชอบอ่านนิยายควบคู่กับหนังสือเรียนอยู่แล้ว
อีกทั้งยังมีต้นทุนอยู่ก่อน เพราะเขียนนิยายลงอัพเดทในเว็บไซต์ให้คนอ่านตั้งแต่อายุสิบห้า เคยส่งผลงานไปให้สำนักพิมพ์พิจารณา กระทั่งผ่าน และได้รับการตีพิมพ์ออกวางจำหน่ายในร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ รวมทั้งขายในรูปแบบของอีบุ๊ค ฉะนั้นพอผันตัวมาเป็นนักเขียนเต็มตัวจึงมีฐานแฟนคลับอยู่มากพอสมควร ซึ่งนั่นก็เป็นใบเบิกทางชั้นเยี่ยม สำนักพิมพ์ต่างอ้าแขนรับ และต้องการผลงานของเธอ ถึงแม้จะเริ่มยึดอาชีพนี้ได้ไม่นาน แต่ประสบการณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่อายุสิบห้าก็ทำให้บูรณิมากลายเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่เนื้อหอมพอตัว
ส่วนเรื่องเรียนมหาวิทยาลัยก็จำต้องหยุด ซึ่งพ่อกับแม่เป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้ทั้งหมด จากนั้นเธอก็เปลี่ยนเป็นมาเรียนที่บ้านแทน เนื่องจากสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย และยังไม่พร้อมจะออกไปเจอใคร บูรณิมาสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช สาขาการตลาด โดยตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า อีกไม่เกินสามปีจะต้องจบหลักสูตรให้ได้ ฉะนั้นชีวิตของเธอจึงวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องเรียน และเขียนนิยายเป็นหลัก
งานรองคือการเป็นนางแบบชุดชั้นในสุดวาบหวิว ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่ากระดากอายมากๆ จนเธอไม่กล้าปริปากเล่าให้ใครฟัง แม้กระทั่งพ่อกับแม่ อีกทั้งบอกให้เอวารินเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด ห้ามแพร่งพรายอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูนักอ่านของเธอชื่อเสียงนักเขียนนิยายอีโรติกสุดฮอตฉ่า ผู้ที่เก็บเนื้อเก็บตัว เป็นบุคคลลึกลับชวนค้นหา ไม่เคยออกสื่อ ไม่เคยลงรูปในโซเชียล คงได้ป่นปี้เป็นแน่แท้
เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้องแต่งตัวโดยไม่ได้เคาะส่งสัญญาณเสียก่อน ไม่ได้ทำให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาใส่บราเซียร์สุดเซ็กซี่ชวนวาบหวามเงยหน้าขึ้นเลยสักนิด
“พี่เอวา ชุดนี้มันไม่โป๊ไปหน่อยเหรอคะ ไอ้บราลูกไม้เนี่ยก็สวยเซ็กซี่ดีอยู่หรอก แต่บี๋ว่ามันบางเกินไปจนแทบจะปิดเต้าไม่ได้ แถมจุกก็เหมือนจะโผล่ด้วย”
เสียงใสๆ เอ่ยเป็นเชิงชวนคุย ขณะก้มหน้าขยับบราที่กำลังสวมใส่ให้เข้าที่เข้าทาง ใบหน้านวลปลั่งขึ้นสีระเรื่อด้วยความกระดากอายกับความเซ็กซี่เกินจะรับไหวของบราเซียร์ตัวจิ๋ว อีกทั้งนึกปลงกับหน้าอกหน้าใจที่เหลือล้นของตัวเอง
วิจารณ์ไปเสียเยอะแต่เจ้าของแบรนด์กลับไม่หือไม่อือ ทำให้เธอฉุกใจคิด เงยหน้าพรึ่บขึ้น ก่อนจะหลุดอุทานหน้าตื่น เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาในห้องแต่งตัวหาใช่เอวารินแต่อย่างใด
“ว้าย!”
ร่างอวบอิ่มสาวเท้าวิ่งไปยังที่กั้นบังตาสำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนคนที่เข้ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงก็รีบกลับหลังหัน หญิงสาวลนลานคว้าเสื้อคลุมตรงราวแขวนมาสวมปิดบังเนื้อตัวมือไม้สั่น ด้วยอับอายกับสภาพของตัวเอง อีกทั้งกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นรอยแผลเป็นน่าเกลียดที่บริเวณหน้าท้องหลายรอย
“บี๋ไม่อยากได้เขาจริงเหรอ?”“แม่!”คราวนี้เธอถึงกับหลุดอุทานตาโต เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะลั่นวาจาออกมาแบบนั้นนี่แม่ของเธอกำลังคิดอะไรกันแน่!“ผู้ชายคนนั้นอาจเป็นพ่อของลูกบี๋ในอนาคตจริงๆ ก็ได้”“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ บี๋ไม่มีทางทำเรื่องผิดศีลธรรมแน่”บูรณิมาเอ่ยปฏิเสธอย่างหนักแน่น เพราะผู้ชายคนนั้นมีครอบครัวแล้ว ฉะนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์แม้กระทั่งจะนึกถึงเขา ไม่ว่าจะในแง่มุมไหนทั้งสิ้น จริงๆ เธอไม่ควรจะนำเอาบุรุษที่มีภรรยาแล้วมามโนเป็นพระเอกนิยายของตัวเองเสียด้วยซ้ำ หากว่าไม่หลวมตัวตามคำเว้าวอนของศรีจิตตราก็คงไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจมากมายถึงเพียงนี้ “แค่ไม่มีเมียเขา ทุกอย่างมันก็จะกลายเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว…จริงไหม?” ท้ายน้ำเสียงของแม่กดลึกชวนใจสะท้านชอบกล “ไม่ค่ะ ยังไงมันก็ไม่ถูกต้อง”แค่คิดก็ผิดแล้วผิดมากๆผิดอย่างมหันต์ “แต่อะไรที่มันเป็นของเรา ยังไงมันก็ต้องเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ”แม่ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งงงไปใหญ่ แล้วบูรณิมาก็นึกเอะใจอะไรบางอย่าง“ยิ่งแม่พูดอย่างนี้ บี๋ยิ่งสงสัยว่าแม่มีอะไรปิดบังบี๋อยู่ หรือตอนที่บี๋ความจำเสื่อมมีผู้ชายคนนั้นเข้ามาเกี่ยวข้อง” คราวนี้เธอเอ
ทั้งที่จริงๆ แล้วความทรงจำของเธอควรจะขาดหายไปแค่ช่วงที่ประสบอุบัติเหตุเท่านั้น แต่น่าแปลกที่เธอดันจำเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นเวลาหลายเดือนไม่ได้ด้วย ช่วงเวลาเหล่านั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้างเธอไม่มีทางรู้เลย ต่อให้จะเพียรถามพ่อแม่กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่เคยได้ความกระจ่างแจ้งเสียที เพราะทุกครั้งที่เธอเอ่ยปากถามพ่อกับแม่ก็จะตอบแค่ว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าที่พวกท่านเล่าให้ฟัง ซึ่งบูรณิมาก็ไม่ได้แย้งอะไร แต่ลึกๆ ในใจกลับค้านว่ามันต้องมีอะไรมากไปกว่านั้น และความลับนั้นอาจเป็นสิ่งที่พ่อกับแม่ไม่อยากให้เธอล่วงรู้ก็เป็นได้ อีกทั้งนึกยังไงก็นึกไม่ออก ว่าชีวิตตัวเองไปเชื่อมโยงกับผีน้อยตนนั้นได้อย่างไร แต่ก็คิดว่ามันน่าจะมีความเกี่ยวเนื่องอะไรกันสักอย่าง ไม่งั้นเธอคงไม่ฝันถึงผีเด็กหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน แต่ก็น่าแปลกเอามากๆ หากว่าวิญญาณเด็กจะเป็นลูกของเธอจริงๆ ตอนนั้นเธอเพิ่งจะเข้ามหา’ลัย ยังโสดสนิท ไม่เคยมีแฟน แล้วเธอจะมีลูกได้ยังไง ตอนแรกคิดว่าเป็นวิญญาณเร่ร่อน ไม่ก็มีผีเด็กคอยตามขอส่วนบุญ แต่ไม่ว่าจะไปดูดวง ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศล หรือไปหาพระ กี่ครั้งต
‘นี่อย่าเพิ่งไปสิ! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน!’ ร่างอวบอิ่มสะดุ้งเฮือก ตื่นจากห้วงฝันด้วยสภาพใบหน้าชื้นเหงื่อ ลืมตาโพลงท่ามกลางความมืดมิด ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก แล้วถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ ความฝันพิลึกพิลั่นแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตรงข้ามมันเกิดขึ้นบ่อยมาก แต่เธอไม่เคยชินสักครั้ง เมื่อตัวเองต้องกลายมาเป็นหนึ่งในตัวละครหลักของความฝัน หลังจากฟื้นคืนสติจากการประสบอุบัติเหตุอาการสาหัสตอนอายุเกือบย่างยี่สิบ บูรณิมาก็ฝันประหลาดในลักษณะเดิมซ้ำๆ ตอนแรกเลือนลาง แต่นานวันยิ่งชัดเจนมากขึ้น ที่น่าพิลึก และสุดแสนจะน่าอาย ก็คือผีน้อยในฝันของเธอตนนั้นจะทึกทักว่าเธอคือแม่ตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปรากฏในความฝันจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันอีกฝ่ายก็ยังพร่ำบอกว่าเธอคือแม่ ต่อให้จะไล่ จะขอร้องไม่ให้ตามรังควาน จนถึงขั้นยกมือไหว้ ผีเด็กก็ยังตามวอแวไม่เลิก แรกๆ เธอจิตตกหนักมากจนถึงขั้นไปหาหมอดู ไปบูชาของดีจากวัดดังๆ เพื่อหวังจะขับไล่ผีเด็กไปให้พ้นๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่กลัวอะไรเลยสักอย่าง ไม่ยอมไปผุดไปเกิด แถมยังมาหาเธอบ่อยขึ้นไปอีก แต่ที่น่าตกใจสุดก็คงเป็นการมาของผีน้อยในค่ำคืนนี้ มันต่างออกไป
‘แม่จ๋า…แม่…แม่บี๋จ๋า…’เสียงออดอ้อนแกมเรียกร้องความสนใจ ทำให้คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาปั่นต้นฉบับหัวฟูอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊กสะดุดกึก มือที่รัวแป้นคีย์บอร์ดเพราะสมองกำลังแล่นฉิวพลันชะงักไปชั่วขณะ ‘เฮ้อ…’บูรณิมา กิตศิลปาจารย์ สาวน้อยหน้าใส วัยยี่สิบสาม เจ้าของส่วนสูงน่ารักร้อยห้าสิบห้าเซ็นติเมตร เรือนร่างอวบอิ่ม แก้มป่อง ขาวโอโม่ หน้าอกและสะโพกสะบึมเกินตัว จนเจ้าตัวมองว่าน่าอาย เธอพ่นลมหายใจออกมาด้วยความระอาแกมเหนื่อยใจ เงยหน้าขึ้น ถอดแว่นกรองแสงวางไว้ข้างโน้ตบุ๊กบนโต๊ะญี่ปุ่น ขยับตัวหันไปนั่งเผชิญหน้ากับร่างอ้วนจ้ำม่ำของวิญญาณเด็กผู้หญิงวัยประมาณสี่ขวบ ไม่ก็ห้าขวบ หรือหกขวบ ก่อนจะเอ่ยอย่างเสียไม่ได้ ‘จะต้องให้บอกอีกกี่ครั้งหือ ว่าพี่ไม่ใช่แม่ของหนู’ อย่าว่าแต่ลูกเลย แฟนสักคนในชีวิตเธอยังไม่เคยมี ‘ช่ายยยยยย…’หนูน้อยทำปากยื่นเถียงกลับ ‘ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ใช่’‘ช่าย แม่บี๋ เป็นแม่หนู’วิญญาณเด็กหญิงตาแป๋วแก้มป่องยังคงยืนยันคำเดิมอย่างดื้อดึงจนน่าดึงแก้มย้วยๆ นั่นให้หลุดติดมือ จากนั้นตัวแสบก็โผเข้ากอดเธอ แล้วลดแก้มกลมๆ ลงมาถูแขนเรียวอย่างออดอ้
บูรณิมาไม่รู้ว่าตนไปได้รอยแผลเป็นดังกล่าวมาได้อย่างไร โดยเฉพาะหนึ่งในนั้นมันเหมือนเป็นรอยผ่าตัดอะไรสักอย่าง แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก อีกทั้งไม่เคยได้มีโอกาสปริปากสอบถามหมอ เพราะแม่บอกว่าหมอที่รักษาเธอในตอนนั้นได้ย้ายไปประจำที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดแล้ว และแม่ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่ารอยแผลเป็นทั้งหมดนั้นเป็นผลพวงมาจากอุบัติเหตุร้ายแรงที่เธอประสบ ซึ่งบูรณิมาก็ไม่มีข้อโต้แย้ง เนื่องจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ไม่ได้ทำให้เธอแค่ปางตาย แต่ยังส่งผลให้ความทรงจำบางช่วงขาดหายไปด้วย หลังจากกลับมาเดินเหินได้ตามปกติ บูรณิมาก็ตัดสินใจไปสักลายดอกทานตะวัน ให้มองว่าออกแนวอาร์ตๆ ดูไม่น่าเกลียด และไม่แสลงใจอย่างที่รู้สึกอยู่ลึกๆ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่พิลึกชวนสงสัยเอามากๆ แต่เธอก็มิอาจรู้ว่าต้นตอของไอ้ความรู้สึกที่ว่าคืออะไรกันแน่ ครั้นบูรณิมาก้าวออกมาจากหลังที่กั้นในสภาพมิดชิดในนาทีต่อมา สาวน้อยก็ต้องเม้มปากแน่น เมื่ออีตาลุงบ้านั่นยังไม่ไปไหน หนำซ้ำยังมีหน้าหันมาจ้องเธอเขม็ง “คุณเข้ามาในนี้ได้ยังไง?” เจ้าของพวงแก้มแดงเรื่อเอ่ยถามเสียงแข็งๆ ขณะหรี่ตาจ้องหน้าเขาไม่ลดละ ท่าทางเอาเรื่องของ
ภูผาเอ่ยเตือนสติในตอนท้าย เพราะไม่เคยเห็นพื่อนรัก ‘เสียอาการ’ แบบนี้เลยสักครั้ง ถึงจักรพรรดิจะขึ้นชื่อว่าเป็นเพลย์บอยตัวพ่อ แต่เวลาคบใครก็คบทีละคน พอมีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้วก็เลิกหมด ไม่เคยชายตาแลหญิงอื่นให้เมียต้องขุ่นข้องหมองใจ แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเผลอลืมตัวมองสาวน้อยหุ่นน่าฟัดที่เพิ่งเดินผ่านไม่วางตา “แค่รู้สึกคุ้นหน้า”คนโดนย้อนทำเพียงไหวไหล่เบาๆ จักรพรรดิรู้สึกเหมือนเคยเจอสาวน้อยคนที่เพิ่งเดินผ่านหน้าไปเมื่อครู่ที่ไหนสักแห่ง แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก แถมสมองยังเอาแต่ควานหาว่าเขาเคยรู้จักเธอหรือไม่ ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนเคยเจอ เคยเห็นหน้า เคยสัมผัส เคยใกล้ชิดมันน่าประหลาดเอามากๆ แม่ง! แค่เจอหน้า ทำไมต้องเอาแต่คิดเรื่องของยายเด็กนั่นด้วยวะ“เฮ้ย! เด็กเลี้ยงมึงหรือเปล่าวะ” “นั่นมันมึง ไม่ใช่กู กูไม่เคยเลี้ยงเด็ก กูไม่ชอบเด็ก”มาเฟียหน้าตายสวนกลับทันควัน“งั้นก็เป็นอดีตคู่ควง”“จะต้องให้ย้ำอีกกี่หน ว่ากูไม่ชอบเด็ก ไม่เหมือนมึงที่ชอบพรากผู้เยาว์”คราวนี้คนโดนไล่ต้อนเริ่มกดเสียงต่ำ ส่วนคนถูกหลอกด่าสองดอกติดๆ ทำเพียงไหวไหล่ไม่ยี่หระ“ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมมึงมองเขา ‘ต







