“เหม็นเหล้า!” ทันทีที่พูดจบ พราวนภาก็รู้สึกเหมือนโลกพลิกกลับ กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งหญิงสาวก็พบว่าตนนอนอยู่ใต้ร่างเขาเสียแล้ว
“พี่ดิน!” เธอตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมด ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นกระหน่ำรัวเร็วจนแทบกระดอนออกมาข้างนอก สมองเริ่มทำงานอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีถึงจะพ้นไปจากสถานการณ์ล่อแหลมนี้ได้
ทว่ายังไม่ทันได้ใช้ความคิดอะไร พราวนภาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกอีกครั้งเมื่อจู่ ๆ ก็มีมือร้อนผ่าวข้างหนึ่งสอดเข้ามาในเสื้อแล้วเข้าเกาะกุมหน้าอกอย่างถือวิสาสะ
“พี่ดินบ้า!” ด้วยความตกใจจึงทำให้พราวนภาใช้เท้าถีบชายหนุ่มไปอย่างแรงจนนฤบดินทร์หงายหลังตกโซฟา จากนั้นก็ตาลีตาเหลือกลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยืนอยู่ให้ห่างจากคนเมาแล้วหื่น
นฤบดินทร์คลำศีรษะตัวเองพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับคนเพิ่งตื่นนอน เขามีท่าทางงุนงงเล็กน้อยขณะที่เงยหน้าขึ้นมองเธอ
“อ้าว พราวเองหรือ มาทำอะไร บอกว่าไม่ให้มาไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มลุกขึ้นจากพื้นแล้วเอนตัวนอนบนโซฟาตามเดิม เขาหันไปมองบนโต๊ะแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“ใครเก็บ พราวเก็บหรือ”
พราวนภาเห็นว่าเขาดูเหมือนคนที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเมื่อครู่ทำอะไรลงไป จึงพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดแม้ว่าผิวเนื้อบริเวณที่ถูกเขาสัมผัสจะยังคงร้อนผ่าวราวกับมือเขายังเกาะกุมเอาไว้อยู่
“ใช่ พราวเก็บเองแหละ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนพูดว่า
“อืม ก็ดี ฝากด้วยนะ ล้างจานให้ด้วย”
จากนั้นเขาก็หลับไปอย่างรวดเร็วจนหญิงสาวได้ยินเสียงกรนเบา ๆ พราวนภายืนเท้าเอวพลางกลอกตามองเพดานอย่างอดกลั้นไม่ให้วิ่งเข้าไปทุบคนช่างสั่งด้วยความหมั่นไส้
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ขนาดเมาอยู่แท้ ๆ ยังไม่วายออกคำสั่ง”
หญิงสาวยืนสงบสติอารมณ์ที่กระเจิดกระเจิงไปก่อนหน้าให้เข้าที่เข้าทาง ครั้นพอตั้งหลักได้แล้วจึงเข้าครัวไปจัดการเก็บล้างจานชามและแก้วจนสะอาด จากนั้นก็เอาถุงเศษอาหารและขวดสุราที่หมดแล้วออกไปทิ้งถังขยะหน้าบ้าน เมื่อกลับเข้ามาอีกครั้ง ก็เห็นว่านฤบดินทร์ยังคงนอนที่เดิม
เห็นทีคืนนี้ชายหนุ่มคงยึดโซฟาเป็นที่นอนแล้ว ดังนั้นพราวนภาจึงขึ้นไปหยิบผ้าห่มจากห้องนอนของเขามาห่มให้ และเพิ่มอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อย เสร็จเรียบร้อยจึงคิดจะเดินกลับบ้าน
พลันนั้น จู่ ๆ ความคิดแสบสันอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัว พราวนภารีบวิ่งขึ้นไปบนห้องของมัญชุดา มารดาของเขาแล้วหยิบบางอย่างถือติดมือออกมาด้วย เธอยืนมองใบหน้าหลับใหลของชายหนุ่มแล้วก็แย้มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
นฤบดินทร์ตื่นขึ้นในเวลาเกือบเที่ยงของวันถัดมา คิ้วเข้มขมวดมุ่นเมื่อรู้สึกว่าศีรษะหนักอึ้งราวกับมีหินก้อนใหญ่มาถ่วงไว้ ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบตัว เห็นบนโต๊ะตรงหน้าว่างโล่งราวกับว่าเมื่อวานไม่มีการสังสรรค์ระหว่างเขากับเพื่อนในหมู่บ้าน ครั้นพอเห็นผ้าห่มที่กองอยู่บนตักเขาก็พอรู้แล้วว่าใครเป็นคนมาเก็บกวาดให้
มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงพราวนภา เขาสะบัดศีรษะแรง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ครัวเพื่อหายาแก้ปวดมากิน แล้วดื่มน้ำเย็นจัดตามไปเกือบครึ่งขวด
ในครัวสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพราวนภามาจัดการให้อีกเช่นเคย เพราะหากเป็นมัลลิกา พี่สาวของเขาก็คงโวยวายลั่นบ้านแล้วไล่ให้เขาขึ้นไปนอนบนห้องแน่
ครั้นพอนึกถึงพราวนภา ชายหนุ่มก็จำได้ว่าเมื่อคืนตนฝันถึงหญิงสาว และฝันนั้นก็ช่างเหมือนจริงยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมประจำตัวของเธอ และรสสัมผัสเนียนนุ่มมือจนไม่อยากตื่นจากฝัน
เอ๊ะ...เดี๋ยวก่อน!
“ฝันหรือเรื่องจริงวะ” ถ้าเป็นเรื่องจริงก็หมายความว่าเขาเกือบปล้ำพราวนภาอย่างนั้นหรือ!
“ไอ้บาสนะไอ้บาส” ชายหนุ่มได้แต่นึกโทษตัวต้นเหตุอย่างภราดร เพราะเมื่อวานมีการท้าทายกันขึ้น ภราดรท้าเขาว่าหากเขาสามารถดื่มสุราคนเดียวหมดหนึ่งกลม อีกฝ่ายจะล้มเลิกความคิดเรื่องการจีบพราวนภา ซึ่งแน่นอนว่าเขารับคำท้าอย่างไม่ลังเล และผลที่ตามมาก็คือเขาเมาปลิ้นจนหลับคาที่
ว่าแต่...ตกลงแล้วการที่เขาเกือบปลุกปล้ำพราวนภานั้นเป็นความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางนวดขมับเบา ๆ คิดในใจว่าคงต้องลองตะล่อมถามหญิงสาวดูว่าเมื่อวานเขาเผลอทำอะไรเกินเลยไปบ้างหรือเปล่า
นฤบดินทร์เดินขึ้นไปบนห้องของตนเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย ตั้งใจว่าหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วจะลองเดินไปบ้านโน้นเพื่อฝากท้องสักมื้อ และจะได้คุยกับพราวนภาถึงเรื่องเมื่อวานนี้ด้วย
ทว่าพอเขามองเงาของตัวเองบนกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นสภาพของตัวเองที่สะท้อนออกมา
บนหน้าผากของเขามีสีน้ำตาลเขียนเอาไว้ว่า “คนขี้เมา” และบริเวณรอบปากของเขาก็ถูกวาดให้เป็นยักษ์เหมือนในละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ของไทย แถมยังมีรอยเลือดตรงมุมปากที่วาดจากลิปสติกอีกด้วย
...ฝีมือใคร ไม่ต้องเดาก็รู้
“ยายหนูพราว!”
นฤบดินทร์นิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่ออาการปวดศีรษะกำเริบขึ้นอีกครั้งแม้ว่าจะกินยาแก้ปวดไปแล้วก็ตาม คิดในใจว่าหลังจากกินข้าวที่บ้านของพราวนภาเสร็จแล้วคงต้องกลับมานอนพักสักครู่
ชายหนุ่มเดินเข้าไปในบ้านอีกหลังอย่างคุ้นเคยโดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้าน เขาเข้าไปในห้องนั่งเล่นก่อนเป็นที่แรกเพราะรู้ดีว่าผู้อาวุโสของบ้านจะนั่งดูโทรทัศน์กันอยู่ในนั้น ส่วนบิดามารดาของคู่แฝดก็ออกไปทำงานกันแล้ว
“อ้าวตาดิน มาหาข้าวกินล่ะสิ” พิทยา ผู้เป็นปู่ของพราวนภากับสองฝาแฝดเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นเขาเดินเข้าไปพร้อมกับยกมือไหว้
“ครับ” ชายหนุ่มตอบสั้น ๆ ก่อนจะผงกศีรษะเป็นเชิงขออนุญาตแล้วเดินไปอีกทาง
เมื่อใกล้ถึงห้องครัว นฤบดินทร์ก็ได้ยินเสียงภัทร์นรินท์กับภานุภัทร์กำลังคุยกันด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นอยู่ตรงลานซักล้างด้านหลังห้องครัวจึงเดินเข้าไปหา เขาเห็นทั้งคู่นั่งยอง ๆ ก้มมองอะไรบางอย่างจนศีรษะแทบชนกันจึงชะโงกไปดูบ้าง และสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาก็คือลูกแมวสามสีตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่บนพื้นหญ้าพร้อมกับส่งเสียงเล็ก ๆ ขู่ไม่ให้ใครเข้าใกล้
“ทำอะไรกันน่ะ” ชายหนุ่มถามหลานตัวแสบทั้งสองคน ภานุภัทร์เป็นฝ่ายชิงตอบก่อน
“ลูกแมวจากไหนก็ไม่รู้น้าดิน พีทได้ยินเสียงเมี้ยว ๆ ก็เลยลองเดินหาดู มัน...” ยังพูดไม่จบ ภัทร์นรินท์ก็ชิงพูดขึ้นมาบ้าง
“มันมีเลือดไหลที่ขาด้วยละน้าดิน สงสัยโดนหมาไล่กัดมาแน่เลยน่าสงสาร พายจะอุ้มไปหาคุณย่าให้พามันไปหาหมอแต่มันก็ไม่ยอมให้จับเลยละ มันข่วนพายด้วย” พูดจบก็โชว์แขนที่มีรอยข่วนเป็นทางยาวให้ดู
“รีบไปล้างแขนแล้วให้คุณย่าทายาให้เลยเร็วเข้า หรือไม่ก็ให้พี่พราวทาให้ ถ้าชักช้าแล้วเล็บแมวมันมีเชื้อโรคขึ้นมา ระวังเถอะแขนจะเน่า”
นฤบดินทร์เคยได้ยินณวัฒน์เล่าให้ฟังอยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับโรคต่าง ๆ ที่มากับสัตว์เลี้ยง และหลายโรคก็สามารถแพร่สู่คนได้จึงไม่อยากชะล่าใจ
ภัทร์นรินท์เบิกตากว้างด้วยความตกใจทันที เด็กหญิงก้มมองแขนตัวเองครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังกลับวิ่งเข้าไปในบ้านพร้อมกับตะโกนเรียกผู้เป็นย่าเสียงดังลั่น
เปิดเรียนวันแรก พราวนภาตื่นแต่เช้าตรู่เพราะตื่นเต้นที่จะได้ไปเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย และเป็นเพราะเพื่อนสนิทในกลุ่ม หรือเพื่อนร่วมชั้นที่เคยเรียนห้องเดียวกัน ไม่มีใครเลือกเรียนภาคอินเตอร์เหมือนเธอสักคน ดังนั้นหญิงสาวจึงรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูกพราวนภาเปิดลิ้นชักเพื่อหยิบนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่ล่าสุดที่ได้เป็นของขวัญมาจากลุงชินดนัยกับแม่จันทร์เจ้า แต่พอเอามาใส่ข้อมือแล้วหญิงสาวกลับเพิ่งนึกได้ว่านาฬิกาแบรนด์หรูที่ราคาเกือบครึ่งล้านเรือนนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งหากจะใส่ไปเรียนวันแรกเพราะอาจถูกเพื่อนหรือรุ่นพี่เขม่นเอาได้ โทษฐานที่อวดรวยมากเกินไปแต่สำหรับเธอแล้ว นาฬิกายี่ห้อหรูราคาแสนแพงเหล่านี้ เธอเห็นมาตั้งแต่เด็กจนแทบลืมไปว่าราคาค่างวดของมันไม่ใช่คนธรรมดาจะหาซื้อได้ เพราะลุงชินดนัยเป็นเจ้าของบริษัทที่นำเข้านาฬิกาแบรนด์นี้แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา คุณปู่คุณย่า หรือแม้กระทั่งนฤบดินทร์ต่างก็มีนาฬิกายี่ห้อนี้คนละหนึ่งเรือนเป็นอย่างต่ำพราวนภาถอดนาฬิกาเก็บไว้ในกล่องตามเดิมแล้วหยิบนาฬิกาแฟชั่นมาใส่แทน หลังจากเช็กความเรียบร้อยขอ
พราวนภาเผลอยิ้มออกมาจนต้องเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้มเอาไว้เมื่อได้ยินว่านฤบดินทร์ไม่ค่อยโทรศัพท์กลับมาที่บ้านเพราะไม่มีเรื่องจะคุย แต่กับเธอ เขาโทร. หามาทุกวันไม่เคยขาด บางวันโทร. มาสองครั้งด้วยซ้ำ จนเธอยังแปลกใจตัวเองว่ามีเรื่องอะไรคุยกับเขานักหนาและดูเหมือนว่าความคิดถึงของพราวนภาจะถูกส่งไปถึงนฤบดินทร์ เพราะชายหนุ่มวิดีโอคอลเข้ามาที่เครื่องพอดี หญิงสาวจึงต้องหลบออกไปจากห้องรับแขกเพื่อหาที่คุยกับเขาเงียบ ๆ“ตื่นเช้าอีกแล้วนะพี่ดิน” พราวนภาทักทายเขาด้วยน้ำเสียงสดใส ตอนนี้เธอเชี่ยวชาญเรื่องเวลาของเมืองไทยกับบอสตันเป็นอย่างดี เช่นตอนนี้เมืองไทยประมาณสิบเจ็ดนาฬิกา ที่บอสตันก็จะเป็นเวลาหกโมงเช้า“ตื่นไปวิ่งน่ะ สายหน่อยก็จะไปยิม แล้วตอนนี้ที่บ้านก็กำลังกินเลี้ยงกันอยู่ล่ะสิ”“ใช่ อยู่กันครบเลยละ อาคินยังมาเลย คุณย่าบ่นคิดถึงพี่ดินด้วยนะ” พูดจบหญิงสาวก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อจู่ ๆ คนที่คุยด้วยก็ถอดเสื้อของตัวเองออกจนเปลือยท่อนบนแล้วเดินไปหยิบเสื้อวอร์มในตู้ออกมาถือไว้“มาถอดเสื้อโชว์ทำไมเนี่ย คนนิสัยเสีย” เธอยู่หน้
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าจนในที่สุดก็ถึงวันสอบปลายภาควันสุดท้ายของภาคเรียนที่สอง และเป็นวันสุดท้ายที่พราวนภาจะได้ใช้ชีวิตในฐานะนักเรียนมัธยมปลาย ดังนั้นเธอกับเพื่อนในห้องจึงขออนุญาตอาจารย์จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ กันในห้องเรียนเพื่อเป็นการอำลา โดยก่อนหน้าที่จะมีการสอบปลายภาคนั้น เพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคนได้ประชุมหารือกันแล้วว่ากลุ่มไหนรับผิดชอบอะไร ซึ่งกลุ่มของพราวนภานั้นรับผิดชอบเกี่ยวกับขนมขบเคี้ยว ส่วนเงินที่นำไปซื้อนั้นก็เป็นเงินกองกลางของห้องที่เหลือจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดปีการศึกษาขณะที่พราวนภากับเพื่อนกำลังแกะขนมใส่จานกระดาษนั้น เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาแล้วบอกว่า“พราว บีมที่อยู่ทับห้าบอกว่ามีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ” เพื่อนคนนั้นพูดพลางพยักพเยิดไปทางนอกห้องเรียน ก่อนจะป้องปากพูดต่ออีกประโยคราวกับจะกระซิบ ทว่าระดับเสียงที่พูดนั้นไม่ใช่การกระซิบอย่างที่แสดงออก เพื่อนคนอื่นในห้องจึงได้ยินไปด้วย“มาสารภาพรักแน่เลยว่ะ ว้าย...” เจ้าตัวพูดจบเพื่อนหลายคนก็กรี๊ดกร๊าดจนเสียงดังไปทั้งห้อง“นังอุ้ม เดี๋ยวเถอะ!
“อืม แต่คุณพ่อบอกว่าจะให้พีทกับพายไปเรียนด้วย แล้วก็อาจจะให้คุณแม่ไปอยู่ที่โน่นด้วยล่ะจะได้คอยดูแลเจ้าแฝดน่ะ เห็นคุณพ่อบอกว่าจะหาเช่าบ้านที่นั่นอยู่สักเดือนหนึ่ง” ครั้นพอเธอพูดจบ รอยยิ้มของชายหนุ่มก็หุบลงทันที“เฮ้ย! ไม่เอา จะมาทำไมสามคนนั้นน่ะ ไม่ต้องมา! พราวมาคนเดียวก็พอแล้ว” ชายหนุ่มหน้ามุ่ยจนพราวนภาเห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้“แหม...ไม่คิดถึงพี่สาวกับหลาน ๆ หน่อยหรือพี่ดิน”“ไม่เลยสักนิด! แค่คิดถึงพราวคนเดียวก็ไม่มีเวลาจะไปคิดถึงใครแล้ว”นั่นไง! หยอดมาจนได้ ดีนะที่เธอใส่หูฟังเอาไว้ เพื่อน ๆ ในโต๊ะจึงไม่มีใครได้ยินพราวนภายิ้มอย่างขัดเขินจนหน้าแดงก่ำ สามสาวในโต๊ะเห็นเข้าจึงเปิดปากแซวโดยหวังให้คนปลายสายได้ยิน“เหม็นความรักชะมัด ฉันว่าพวกเรากินกันให้หมดนี่เถอะ พราวมันคงอิ่มคำรักแล้วล่ะ” มนัสนันท์คีบอาหารที่ย่างสุกแล้วจากเตามาใส่จานตัวเองและจานของปวันรัตน์กับภัทรวี โดยเว้นพราวนภาไว้“พราวกินต่อเถอะเดี๋ยวจะแย่งเพื่อนไม่ทัน โทร. มาไม่มีอะไรหรอก พี่แค่อยากเห็นหน้าพราวเฉย ๆ นี่
“แล้วแกคุยกับพ่อแม่แกแล้วหรือ พวกท่านอนุญาตจริงหรือไม่อยากเชื่อ” พราวนภาอดสงสัยไม่ได้ เพราะบิดามารดาของปวันรัตน์ดูเหมือนจะเคี่ยวเข็ญยิ่งกว่าเดิมหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น“ก็ลองไม่ให้ไปสิ ฉันยื่นคำขาดไปแล้วว่าถ้าให้ฉันไปเมืองนอก ฉันจะเอาปริญญาและเกรดดี ๆ กลับมาเป็นของขวัญให้ แต่ถ้าไม่ให้ไป ฉันไม่รับประกันว่าถ้าเรียนที่นี่ฉันจะถูกรีไทร์กี่สถาบัน” ปวันรัตน์ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ“โห! นังนี่มันร้าย” มนัสนันท์ชี้หน้าปวันรัตน์แต่ตามองเพื่อนทุกคนในกลุ่มจนเพื่อน ๆ อดหัวเราะไม่ได้“แล้วแกล่ะยายพราว ตกลงจะเอนท์หรือจะบินไปเรียนเมืองนอกตามหนุ่มข้างบ้านยะ” ภัทรวีพูดล้อเลียน ปวันรัตน์จึงพูดเสริมขึ้นมาว่า“ฉันว่าแกบินไปเรียนกับพี่เขาดีกว่า จะได้คุมพฤติกรรมด้วยไง หล่อขนาดนั้นป่านนี้ไม่ใช่ว่าถูกสาวนานาชาติคาบไปกินแล้วหรือแก ผู้ชายน่ะไว้ใจไม่ได้หรอกนะยะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าตลอดสามปีที่อยู่บอสตันเขาจะครองตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่แตะต้องผู้หญิงอื่นเลยน่ะ”“เอ๊าอีเปิ้ล! แกจะมาพูดให้เพื่อนระแวงทำไมเนี่ย ยายพราวม
อันธิกาหันมองตามแล้วก็อดตกใจไม่ได้เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่ตอนที่ตนเปลือยอกอยู่นั้น ผู้ชายต่างชาติคนนี้จะเห็นหรือเปล่า แต่พอเห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของผู้ชายคนนั้นแล้วเธอจึงคิดว่าควรรีบไปจากที่นี่ดีกว่า เพราะดูไปแล้วคนกลุ่มนี้น่าจะเป็นพวกเดียวกับนฤบดินทร์ ถึงได้ช่วยเหลือกันดีอย่างนี้“อีกะหรี่! ฝากไว้ก่อนเถอะ” อันธิกาด่าสองสาวด้วยภาษาไทยก่อนจะผลุนผลันเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้หญิงสาวทั้งสองคนได้แต่มองหน้ากันด้วยความสงสัยครั้นพออันธิกาจากไปแล้ว ประตูห้องของนฤบดินทร์จึงเปิดออก เขามองสองสาวกับหนึ่งหนุ่มด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณมาก”หลังจากที่นฤบดินทร์ลากอันธิกาออกไปจากห้องแล้วเขาก็โทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจากสองสาวเกาหลีใต้ทันที ด้วยความที่รู้จักและสนิทสนมกันในระดับหนึ่งเพราะเป็นเพื่อนบ้านกันมาร่วมสามเดือน ทั้งคู่จึงยินดีช่วยเป็นอย่างยิ่ง และโชคดีที่อดัมส์ หนุ่มไอริชที่อยู่ห้องเยื้องไปเปิดประตูออกมาเห็นพอดี สองสาวจึงให้เขาช่วยไหลตามน้ำไป“พวกเราต้องคิดถึงเธอแน่เลย” หนึ่งในสองสาวเดินเข้ามาสวมกอดนฤบดินทร์อย่างสน