หลังจากซ่งฟู่หลงฝึกกระบี่เรียบร้อย เขาหย่อนกายนั่งพักตรงโต๊ะด้านข้างลานภายในสวน เขาหยิบผ้าขาวขึ้นซับเหงื่อที่ไหลชโลมกายไปทั่ว พ่อบ้านเดินนำขนมที่จัดใส่จานมาวางตรงหน้าซ่งฟู่หลง
ซ่งฟู่หลงหยิบขนมเข้าปากในทันทีด้วยความหิว เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างรู้สึกชอบใจในรสชาติดังกล่าว
“เรียนนายท่าน นี่เป็นขนมเซาปิ่งที่คุณหนูรองสกุลจางนำมามอบให้ท่านขอรับ” ซ่งฟู่หลงชะงักมือค้างไปชั่วขณะ คิ้วหนาเลิกขึ้นก่อนจะขมวดกันจนเป็นปม สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลงไปในทันที ขนมครึ่งชิ้นที่ยังจดจ่ออยู่ตรงปากถูกเขาวางลงบนจานอย่างหมดความสนใจ
“นางมีธุระอันใด”
“คุณหนูรองเพียงนำขนมมาฝากให้นายท่านขอรับ”
“ต่อไปเจ้าอย่าได้รับของจากคนแปลกหน้าอีก” ซ่งฟู่หลงกล่าวตำหนิออกมา “แล้วก็..อย่าได้รายงานเรื่องนี้กับผู้ใดด้วย” ซ่งฟู่หลงพูดทิ้งท้ายพร้อมปรายตามองอย่างรู้ทัน เขารีบดักคอพ่อบ้านก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับเรือนอย่างไม่พอใจนัก
พ่อบ้านหน้าเสียลงไปในทันที เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ
ในวันต่อมาจางหมินเย่วยังคงมุ่งมั่นออกไปพบซ่งฟู่หลงอีกครั้ง นางยังคงลุกขึ้นแต่เช้าเพื่อลงมือทำขนมเซาปิ่งให้กับชายหนุ่มอีกหน
เมื่อจางหมินเย่วเดินทางไปถึงที่หน้าจวนสกุลซ่ง พ่อบ้านคนเดิมยังคงออกมาต้อนรับเช่นเดิม “เรียนคุณหนู นายท่านมีธุระต้องออกไปด้านนอก มิสะดวกให้คุณหนูเข้าพบขอรับ”
เล่อจิ้นทำท่าฮึดฮัดอย่างขัดเคือง ในขณะที่จางหมินเย่วได้แต่เม้มปากแน่นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว ข้าขอฝากขนมนี้ให้ใต้เท้าซ่งที” จางหมินเย่วยื่นตะกร้าขนมให้พ่อบ้าน แต่พ่อบ้านกลับยืนนิ่งไม่ยอมรับเช่นเมื่อวาน
“รบกวนคุณหนูนำกลับไปเถิด นายท่าน...เอ่อ...ไม่ชอบทานของหวานขอรับ” พ่อบ้านคิดคำแก้ตัวในการปฏิเสธออกไป
จางหมินเย่วยืนตะลึงไปชั่วขณะ สองมือยังคงนิ่งค้างกลางอากาศราวกับถูกสาปเป็นรูปปั้นหิน เล่อจิ้นรีบเข้ามาหยิบตะกร้ากลับไปถือพร้อมมองหน้านายหญิงของตนอย่างนึกเห็นใจ
“คุณหนู พวกเรากลับก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
จางหมินเย่วพยักหน้ารับด้วยอาการที่เลื่อนลอย ใบหน้าหงิกงุ้มฉายแววความผิดหวังออกมามากมาย
ในขณะที่จางหมินเย่วกำลังจะก้าวขึ้นรถม้า พลันนางก็ฉุกนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ “เล่อจิ้นช้าก่อน...เจ้าเอาตะกร้าขนมมาให้ข้า”
“คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ”
“พ่อบ้านบอกว่าใต้เท้าซ่งกำลังจะออกไปด้านนอก ข้าจะรอพบเขาเสียก่อน” จางหมินเย่วพูดพลางยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีความหวังอีกครั้ง
“คุณหนู....” เล่อจิ้นได้แต่ร้องออกมาอย่างโอดครวญ แต่จางหมินเย่วมีนิสัยดื้อดึงมากนัก นางจึงได้แต่บ่นอุบในใจ
จางหมินเย่วรออยู่สักพัก ร่างสูงใหญ่ที่ติดตรึงในความคิดก็ก้าวเดินออกมาด้านนอกจวน จางหมินเย่วยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ
“ใต้เท้าซ่ง...ใต้เท้าซ่งเจ้าคะ” จางหมินเย่วร้องตะโกนเรียกก่อนจะรีบเดินกึ่งวิ่งเข้าไปดักด้านหน้าซ่งฟู่หลงในทันที
ซ่งฟู่หลงขมวดคิ้วจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่คุ้นเคย เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างมีคำถามโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา
“คำนับใต้เท้าซ่ง ข้าน้อยจางหมินเย่ว บุตรสาวคนรองของจวนสกุลจางเจ้าค่ะ” ซ่งฟู่หลงเพ่งมองจางหมินเย่วที่เวลานี้เอาแต่จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ ดวงหน้าอ่อนหวานรับกับดวงตากลมโตที่เวลานี้ระยิบระยับราวกับรวบรวมหมู่ดวงดาวมาไว้ในก้อนกลมเล็กตรงหน้า
ซ่งฟู่หลงถึงกับกระแอมออกมาอย่างทำตัวไม่ถูก เขาเบือนหน้าหนีใบหน้างามตรงหน้าอย่างต้องการหลีกเลี่ยง “ท่านมีธุระอันใดกับข้าหรือคุณหนูรองสกุลจาง”
คำพูดที่ดูเย็นชาและเหินห่างทำเอาจางหมินเย่วถึงกับหน้าเจื่อนลงไป นางยังคงฝืนยิ้มออกมาอย่างต้องการให้กำลังใจตนเอง
“ช่วงนี้ข้ากำลังฝึกทำขนมที่จวน ข้าจึงอยากนำมามอบให้ท่านได้ชิมเจ้าค่ะ”
ซ่งฟู่หลงหันมามองหน้าจางหมินเย่วอย่างต้องการพิจารณา ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ขอบคุณเจ้ามาก แต่ข้าขอมิรบกวนจะดีกว่า”
ซ่งฟู่หลงพูดจบก็หันกายเตรียมเดินจากไป แต่ในจังหวะที่จางหมินเย่วกำลังก้าวเท้าเข้ามาจะขวางหน้าของเขา มือใหญ่ก็สะบัดไปโดนตะกร้าในมือของจางหมินเย่วจนหล่นลงพื้น ขนมกระเด็นออกมาตกกระจายไปทั่วพื้นถนน
จางหมินเย่วตกตะลึงไม่ต่างจากซ่งฟู่หลงมากนัก “ข้าขอโทษเจ้าด้วย แต่ข้ามีธุระสำคัญต้องเร่งเดินทาง วันหลังเจ้าก็อย่ามาที่นี่อีกเลย” ซ่งฟู่หลงกล่าวตัดรอนออกไปอย่างไม่มีเยื่อใย ก่อนจะเดินตรงไปยังรถม้าที่พ่อบ้านเตรียมไว้
เล่อจิ้นเข้ามาประคองจางหมินเย่ว “คุณหนูเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
จางหมินเย่วได้สติ นางรีบก้มลงเก็บขนมกลับเข้าไปในตะกร้าด้วยท่าทางที่ลนลานจากคำพูดที่กระทบจิตใจอย่างรุนแรง
“คุณหนู ขนมตกพื้นหมดแล้วอย่าเก็บเลยเจ้าค่ะ” เล่อจิ้นรีบร้องปรามออกมาเมื่อสองมืออันบอบบางเลอะไปด้วยเศษขนมและเศษดิน
“ข้าไม่เป็นอันใด ขนมพวกนี้คงไม่ถูกปากใต้เท้าซ่ง ไว้วันหน้าข้าจะลองทำอย่างอื่นมาแล้วกัน” คำพูดที่คล้ายคนกำลังละเมอ ทำเอาเล่อจิ้นอดนึกเป็นห่วงไม่ได้ นางรีบช่วยเก็บขนมส่วนที่เหลือกลับเข้าไปในตะกร้าด้วยอีกคน
ซ่งฟู่หลงที่กำลังก้าวเท้าขึ้นรถม้า เขาปรายตากลับมามองจางหมินเย่วอีกครั้งอย่างลืมตัว ภาพของหญิงสาวที่กำลังเก็บขนมที่กระจัดกระจายอยู่กับพื้นด้วยมือบางที่สั่นเทา สีหน้าที่ดูเศร้าหมองราวกับโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมากับพื้น พร้อมหยดน้ำที่ร่วงหล่นอาบสองแก้ม ทำเอาเขารู้สึกผิดต่อจางหมินเย่วไปชั่วขณะ เขาหยุดชะงักพร้อมสองมือที่กำหมัดแน่น สีหน้าครุ่นคิดอย่างหนักสักครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดใจก้าวเข้าไปในรถม้าพร้อมเดินทางออกไปในทันที
จางหมินเย่วปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ตั้งใจ สองมือลูบถูแก้มขาวนวลนั้นไปมาจนแดงช้ำ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษขนมและดินที่ติดเลอะมือให้ดูน่าสงสารยิ่งนัก
เล่อจิ้นเก็บขนมเรียบร้อยก็รีบเข้ามาประคองจางหมินเย่วเอาไว้แน่น “คุณหนูพวกเรากลับกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ” เล่อจิ้นประคองจางหมินเย่วลุกขึ้นกลับไปยังรถม้า
จางหมินเย่วนั่งเหม่อลอยด้วยความผิดหวัง เล่อจิ้นอดรนทนไม่ไหว นางถึงกับตัดพ้อออกมาด้วยความรู้สึกคับแน่นในอก “คุณหนู ใต้เท้าซ่งช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก คุณหนูเป็นถึงบุตรของใต้เท้าเสนาบดี เขาเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ดกลับกล้าล่วงเกินคุณหนูถึงเพียงนี้”
จางหมินเย่วหันไปมองเล่อจิ้นอย่างขัดเคือง “ใต้เท้าซ่งมิได้สนใจในฐานะของข้า เช่นนั้นหากใต้เท้ารักข้าย่อมหมายถึงรักในตัวข้าอย่างแท้จริง...เล่อจิ้น...พ่อบ้านบอกว่าใต้เท้าซ่งไม่ชอบทานของหวาน เช่นนั้นวันหน้าข้าทำอาหารคาวมาให้ใต้เท้าดีหรือไม่”
เล่อจิ้นมองหน้านายหญิงอย่างอ่อนใจในความโลกสวยของนาง “คุณหนู...”
บทที่ 68 ฟ้าหลังฝน“โยวเอ๋อร์....โยวเอ๋อร์...ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษ” เสียงร้องตะโกนเรียกบุตรสาวของเซี่ยเหมยดังก้องไปทั่วห้องขัง นางทรุดตัวลงกับพื้นด้วยน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มพร้อมหันหลังให้กับจางหมินเย่วอย่างหมดอาลัยตายอยาก นางอ่อนล้าและอ่อนแรงจนไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวอันใดกับจางหมินเย่วให้ตนเองต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว“ท่านแม่...ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าได้แต่นึกขอบคุณท่านที่รักและเอาใจใส่ข้ามาโดยตลอดแม้ว่าท่านจะเกลียดชังข้ามากเพียงใด...แต่ว่า...ท่านแม่...จะมีสักครั้งหรือไม่ที่ท่านจริงใจต่อข้าแม้เสียงสักเสี้ยวนาที”เซี่ยเหมยกัดฟันแน่นข่มความอาดูรเอาไว้ในใจ ภาพแต่หนหลังผุดขึ้นมาในความนึกคิดของนางอีกครั้ง แม้นางจะนึกเกลียดชังสองแม่ลูกมากสักเพียงใดแต่ความผูกพันที่มีมาเนิ่นนานก็เป็นสิ่งที่นางมิอาจปฏิเสธได้ “นับแต่นี้ต่อไป...เจ้าอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก” เซี่ยเหมยกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่สงบและจริงจัง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งหันหลังที่มุมห้องขังอย่างไม่ต้องการเสวนากับจางหมินเย่วอีกต่อไปจางหมินเย่วสะอื้นไห้ในลำคอ ก่อนจะยกยิ้มบางขึ้นมาอีกหน “ขอท่านแม่โปรดรักษาตัวด้วย” นางคุกเข่าลงพร้อมโขกศีรษะกับพื้นเ
บทที่ 67 ท่านยอมรับความจริงเถิดข่าวคราวเรื่องของหนิงอันอวี้ที่มีสภาพไม่ต่างจากตุ๊กตามีชีวิตแพร่สะพัดไปทั่วแคว้น “ไม่จริง...อันอวี้ต้องไม่เป็นอันใด...ไม่จริง...” หยางกุยฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับคลุ้มคลั่งอาละวาด ก่อนจะเป็นลมจนสิ้นสติไปในทันทีในขณะที่ซ่งฟู่หลงและจางหมินเย่วได้ยินเรื่องดังกล่าวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างนึกสังเวชใจ “เวรกรรมจริงๆ”จางหมินเย่วหันไปมองซ่งฟู่หลงก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความประหม่า “ใต้เท้า...ข้ามีเรื่องอยากขอร้อง”ซ่งฟู่หลงหรี่ตามองจางหมินเย่ว “เจ้าว่ามาสิ”“ข้าอยากไปเยี่ยมท่านแม่สักครั้ง...ท่านให้ข้าไปได้หรือไม่” จางหมินเย่วกล่าวออกมาในที่สุดแววตาที่อ้อนวอนทอดมองมาที่ซ่งฟู่หลง เขาได้แต่พยักหน้ารับพร้อมกำชับให้องครักษ์คอยคุ้มกันนางเอาไว้อย่างใกล้ชิดจางหมินเย่วพร้อมเล่อจิ้นและองครักษ์อีกสองนายขึ้นรถม้าพร้อมมุ่งหน้าตรงไปยังคุกอาญาในทันทีเซี่ยเหมยถูกกักขังอยู่ในห้องขังตามลำพัง ใบหน้าเหม่อลอย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงอย่างทอดอาลัยตายอยาก นางรู้สึกอับจนและสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่งในทันทีที่เซี่ยเหมยเห็นจางหมินเย่วตรงหน้า นางก็ปรี่เข้ามาพร้อมยื่นแขน ออกมาด้านนอกกรงขังหวั
บทที่ 66 ข้ามิอาจให้ท่านทำร้ายได้อีกจางเซี่ยโยวประคองหนิงอันอวี้เข้ามาภายในห้องนอนด้วยท่าทางที่เป็นปกติ แม้ว่าภายในใจนั้นกลับตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นไปพร้อมกัน สุราและอาหารถูกจัดเรียงไว้อย่างพร้อมสรรพหนิงอันอวี้เข้ามาภายในห้องนอน เขามิได้ใส่ใจกับสิ่งใดตรงหน้า หนิงอันอวี้กระชากร่างของจางเซี่ยโยวเข้าหาตัวพร้อมบดขย้ำนางด้วยความอัดอั้นในอารมณ์ ริมฝีปากหนาบดขยี้ริมฝีปากบางอย่างดุนดันและตะกละตะกลามจางเซี่ยโยวร้องอู้อี้ออกมา นางพยายามดิ้นรนขัดขืนก่อนจะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมได้ในที่สุด การกระทำดังกล่าวส่งผลให้หนิงอันอวี้มีท่าทางฉุนเฉียวและหงุดหงิดใจขึ้นมาในทันทีจางเซี่ยโยวรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างหวานเยิ้มออกมาพร้อมเดินเข้าไปคล้องลำแขนของเขาอย่างประจบเอาใจ “องค์ชาย...ข้าตระเตรียมสุราชั้นดีเอาไว้สำหรับดื่มด่ำในค่ำคืนนี้ หากท่านใจร้อนเช่นนี้จะมิทำให้เสียบรรยากาศหรอกหรือเจ้าคะ”จางเซี่ยโยวกล่าวพลางดึงรั้งหนิงอันอวี้ลงนั่งที่โต๊ะ ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งบนตักเขา มือข้างหนึ่งวาดแขนโอบรอบลำคอ ในขณะที่อีกมือหนึ่งก็ยกสุรารินลงในจอกด้วยท่าทางที่เชื่องช้าแต่เย้ายวนในที จางเซี
บทที่ 65 น้อยเนื้อต่ำใจจางเซี่ยโยวโขกศีรษะขอบคุณหนิงเว่ยเจี้ยนอีกครั้ง เมื่อนางได้รับอนุญาตตามที่หนิงเว่ยเจี้ยนได้ให้คำมั่นไว้ นางก็ขอตัวลากลับไปในทันที นางหันหลังเดินออกไปโดยมิได้มองจางหมินเย่วที่อยู่ด้านข้างเลยแม้แต่น้อย“เช่นนั้นลูกก็ขอตัวเช่นกัน” ซ่งฟู่หลงโค้งตัวลาหนิงเว่ยเจี้ยนในทันที พร้อมกระชับร่างของจางหมินเย่วที่ยังคงยืนนิ่งราวกับกำลังอยู่ในความฝัน เหตุการณ์ตรงหน้าซับซ้อนเกินกว่าที่จางหมินเย่วจะสามารถคาดเดาอันใดได้“ฟู่หลง...ต่อไปเจ้าก็ดูแลเย่วเอ๋อร์ให้ดีเล่า” หนิงเว่ยเจี้ยนกล่าวกำชับซ่งฟู่หลงอีกครั้งอย่างนึกเป็นห่วงและเอ็นดู“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ...ชายาของข้านั้นดื้อรั้นและโง่เขลา...ต่อไปข้าคงมิอาจให้นางคลาดสายตาไปได้อีก” ซ่งฟู่หลงกล่าวตอบพร้อมปรายตามองจางหมินเย่วอย่างหยอกเย้าจางหมินเย่วได้แต่ยิ้มเจื่อนออกมา พร้อมใบหน้าที่สลดลงไป นางมิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก นางได้แต่นึกเสียใจในความโง่เขลาของตนเองขณะที่อยู่ลำพังภายในเรือนนอน จางหมินเย่วได้แต่นั่งคอตกหวนคิดถึงความผิดพลาดที่ตนเองได้ก่อขึ้น นางได้แต่รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ทั้งความผิดหวัง ความท้อแท้ ความรันทดใจซ่งฟู่หลงเข้ามานั่ง
บทที่ 64 ทวงสัญญาหลังจากที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หยางกุยฮวาถึงคุมตัวไปยังตำหนักเย็น ในขณะที่เซี่ยเหมยถูกจับกุมไปยังเรือนจำของศาลอาญาเพื่อรอคำตัดสิน จางเซี่ยโยวก็ได้คุกเข่าลงตรงหน้าหนิงเว่ยเจี้ยน “ทูลฝ่าบาท...ขอพระองค์ทรงทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”จางเซี่ยโยวหวนนึกถึงในวันที่เซี่ยเหมยได้เดินทางมาหาตนที่จวนก่อนหน้านี้“โยวเอ๋อร์...แม่มีเรื่องสำคัญจะบอกกับเจ้า” เซี่ยเหมยกล่าวออกมา ในขณะที่มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง“ท่านแม่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านจึงดูร้อนรนเช่นนี้”เซี่ยเหมยหยิบขวดยาจากแผงเสื้อออกมา ก่อนจะนำมาวางตรงหน้าจางเซี่ยโยว“นี่คือ....”เซี่ยเหมยตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่หยางกุยฮวาได้นัดหมายกับตนให้จางเซี่ยโยวได้ฟังจนสิ้น “โยวเอ๋อร์...หากการนี้ทำสำเร็จ...อนาคตของเจ้าและองค์ชายสามย่อมสว่างสดใส และต่อไปจะมิมีผู้ใดขัดขวางตำแหน่งว่าที่ฮองเฮาของเจ้าไปได้อีกแล้ว” เซี่ยเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง“ท่านแม่...” จางเซี่ยโยวพ้อออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนใจกับความคิดอันเลวร้ายของมารดาของตน “ท่านแม่ องค์ชายสามนั้นมีตำแหน่งรัชทายาทอยู่ก่อนแล้ว ห
บทที่ 63 จนมุมนางกำนัลคนสนิทของหยางกุยฮวาถูกโยนลงมาตรงด้านข้างของเซี่ยเหมยด้วยสภาพบอบช้ำและอิดโรย“เจ้าจงสารภาพออกมาเดี๋ยวนี้” เสียงตวาดของหนิงเว่ยเจี้ยนดังขึ้นอีกครั้งนางกำนัลหันไปมองหยางกุยฮวาอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะโขกศีรษะลงกับพื้นหลายต่อหลายครั้ง “ทูลฝ่าบาท...หม่อมฉันผิดไปแล้ว ขอฝ่าบาทเมตตาด้วย หม่อมฉัน...เอ่อ...เรื่องราวทั้งหมดฮองเฮาเป็นผู้บงการเพคะ”สิ้นเสียงของนางกำนัล หยางกุยฮวาก็ปรี่เข้ามาตบหน้านางอย่างแรง “นางทาสชั้นต่ำ เจ้ากล้าใส่ความข้าอย่างนั้นหรือ” หยางกุยฮวาตวาดออกมาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา โทสะคุกรุ่นด้วยความเจ็บแค้นที่คนสนิทของตนคิดคดทรยศนาง“หยุดเดี๋ยวนี้...” หนิงเว่ยเจี้ยนตะคอกออกมาทำเอาหยางกุยฮวาถึงกับชะงักงันไป นางจ้องมองนางกำนัลด้วยแววตาเดือดดาลและอาฆาตแค้น“เจ้าจงบอกความจริงออกมาให้หมด ข้าจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าเอง”“ทูลฝ่าบาท...ฮองเฮาวางแผนต้องการใส่ความองค์ชายหกจึงได้มอบยาพิษให้ฮูหยินจางเพื่อใส่ร้ายพระชายา หากแผนการสำเร็จก็จะสามารถกำจัดองค์ชายหกได้สำเร็จเพคะ” นางกำนัลกล่าวออกมาด้วยท่าทางลนลาน แม้นางจะซื่อสัตย์ต่อหยางกุยฮวามากเพียงใด แต่เมื่อนางถูกต่อรองด้วยชีวิ