“ฟู่หลง...เจ้าแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ...” หนิงเว่ยเจี้ยนอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงอันดัง ท่าทางทั้งตกใจและแปลกใจในคราวเดียวกัน สายตาจ้องมองไปยังซ่งฟู่หลงอย่างเอาผิด หากแต่ซ่งฟู่หลงกลับยืนนิ่งเฉยอย่างไม่หวั่นเกรง
หนิงเว่ยเจี้ยนหันไปหาขันทีข้างกายในทันที สายตาตำหนิส่งไปยังขันทีอย่างต้องการเอาเรื่อง ขันทีได้แต่หน้าเจื่อนพลางส่ายหน้าให้เป็นสัญญาณว่าอย่าได้ทรงกังวลใจไปนัก หนิงเว่ยเจี้ยนเห็นเช่นนั้นจึงได้ผ่อนอารมณ์ลง ความคิดแปรเปลี่ยนไปอีกครั้งพร้อมมองภาพเบื้องหน้าของคนทั้งสองอย่างนึกสนุกขึ้นมา
จางเหวิ่นชิงเองก็ตกตะลึงกับคำกล่าวของซ่งฟู่หลงไม่ต่างกันมากนัก แต่เขาก็อดนึกแปลกใจในปฏิกิริยาของหนิงเว่ยเจี้ยนที่ดูจะร้อนรนใจมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำอย่างช่วยไม่ได้ แต่เพราะตอนนี้จิตใจของจางเหวิ่นชิงเอาแต่จดจ่ออยู่เพียงกับบุตรสาวเท่านั้น ทำให้จางเหวิ่นชิงละความสนใจในท่าทีดังกล่าวไปเสียสิ้น
“ใต้เท้าซ่ง...เหตุใดข้าไม่เคยรู้ว่าท่านแต่งงานแล้ว” จางเหวิ่นชิงหันความสนใจกลับมายังซ่งฟู่หลง ตอนนี้ในใจเขาได้แต่กังวลใจเกี่ยวกับจางหมินเย่ว จางเหวิ่นชิงไม่อยากจะจินตนาการว่าหากบุตรสาวของตนรู้เรื่องนี้ นางจะเป็นเช่นใดกัน
“ข้าไม่คิดว่าเรื่องการแต่งงานของข้าจะสำคัญมากนัก หากเรื่องนี้ได้ล่วงเกินใต้เท้าจาง...ข้าก็ต้องขอโทษด้วย” แม้คำพูดจะดูเป็นการขอโทษแต่ท่าทางที่แสดงออกกลับเหมือนกับการดูแคลนอยู่ในทีก็ไม่ปาน
“เจ้า...เจ้าช่างสามหาวนัก...หากเจ้าแต่งงานแล้ว เหตุใดเจ้าจึงจงใจล่อลวงบุตรสาวของข้ากัน”
ซ่งฟู่หลงเลิกคิ้วขึ้นมองอย่างท้าทาย เขาไม่เคยพบปะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับจางหมินเย่ว ทั้งยังไม่เคยแสดงท่าทีอันใดให้นางเข้าใจผิด เหตุใดจึงได้กล่าวโทษเขาอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนี้กันเล่า
ท่าทีของจางเหวิ่นชิงทำให้ซ่งฟู่หลงรู้สึกขุ่นเคืองใจขึ้นมาในทันที บุตรสาวของตัวเองกลับห้ามปรามไม่ได้ยังมาสร้างความเดือดร้อนให้เขาอยู่ร่ำไป ด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งความถือดีที่มีอยู่ในตัวทำให้ซ่งฟู่หลงพลั้งปากออกไปอย่างต้องการยั่วโทสะของจางเหวิ่นชิง “ใต้เท้าจาง...ข้าได้บอกท่านก่อนหน้านี้ว่าข้าแต่งงานแล้ว...หากบุตรสาวของท่านยังคงดื้อรั้นต้องการตบแต่งกับข้า...ตำแหน่งเดียวในจวนที่ข้ามีให้ก็คือ...ตำแหน่งอนุเท่านั้น”
จางเหวิ่นชิงได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับเต้นผางออกมา คำพูดเช่นนี้มิเท่ากับเป็นการดูถูกบุตรสาวของตน ทั้งยังแสดงถึงความไม่เห็นหัวคนสกุลจางอีกด้วย หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปชื่อเสียงของจางหมินเย่วจะเสียหายมากขนาดไหนกัน แค่เพียงขุนนางขั้นเจ็ดกลับกล้ายื่นข้อเสนอที่แสนน่ารังเกียจเช่นนี้ออกมาได้ “เจ้า...เจ้า...”
จางเหวิ่นชิงที่มิอาจทำอะไรซ่งฟู่หลงได้ในเวลานี้ เขาจึงหันไปหาหนิงเว่ยเจี้ยนในทันทีอย่างต้องการให้หนิงเว่ยเจี้ยนลงโทษซ่งฟู่หลงสถานหนัก “ฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมแก่ข้าและสกุลจางด้วย”
หนิงเว่ยเจี้ยนเพ่งมองซ่งฟู่หลงที่ตอนนี้ยังคงยืนนิ่งด้วยสายตามาดมั่นก็ทำให้เขาอดนึกหมั่นไส้และอยากกลั่นแกล้งซ่งฟู่หลงขึ้นมาอย่างเสียมิได้ เขานึกอยากเห็นท่าทางร้อนรนของซ่งฟู่หลงยิ่งนัก
หนิงเว่ยเจี้ยนกระแอมออกมาอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ “ในเมื่อใต้เท้าซ่งยืนกรานเช่นนั้น...ใต้เท้าจางก็ลองไปตรองดูเถิด หากบุตรสาวของท่านยังคงต้องการตบแต่งเข้าจวนสกุลซ่ง...ข้าจะเป็นเจ้าภาพจัดงานแต่งครั้งนี้ให้อย่างมิให้น้อยหน้าผู้ใด”
“ฝ่าบาท...ฝ่าบาท” เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมกัน เสียงหนึ่งเป็นเสียงของจางเหวิ่นชิงที่ไม่คาดคิดว่าหนิงเว่ยเจี้ยนจะตัดสินใจเช่นนี้ ในขณะที่อีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงของซ่งฟู่หลงที่นึกขัดเคืองทั้งกับสิ่งที่ตนเองเอ่ยออกไปอย่างไม่ยั้งคิด และขัดเคืองกับท่าทีของหนิงเว่ยเจี้ยนที่เขาเดาได้ว่าต้องการกลั่นแกล้งตน
“เอาละๆ...พวกเจ้าสองคนทำให้ข้าปวดหัวยิ่งนัก พวกเจ้าออกไปได้แล้วข้าต้องการพักผ่อน” หนิงเว่ยเจี้ยนมิรอให้ทั้งสองทัดทานอันใด เขากล่าวตัดบทออกไปพร้อมเดินออกจากท้องพระโรงอย่างนึกอารมณ์ดี
เมื่อหนิงเว่ยเจี้ยนเดินออกมาภายนอก ขันทีรีบปรี่เข้ามากระซิบถามด้วยความสงสัย “ฝ่าบาทเหตุใดพระองค์จึงกล่าวเช่นนี้ พระองค์ไม่กลัวท่าน....เอ่อ...ไม่กลัวใต้เท้าซ่งจะเคืองโกรธเอาได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงเว่ยเจี้ยนได้ยินก็หัวเราะเสียงดังออกมาอย่างอารมณ์ดี “ฟู่หลงกล้าพูดปดต่อหน้าข้า แล้วในเมื่อเขาเป็นคนเอ่ยปากเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง ข้าก็เพียงทำตามความต้องการของเขาเท่านั้น แล้วเขาจะมีสิทธิ์อันใดมาขุ่นเคืองข้าได้เล่า หากคุณหนูสกุลจางตบแต่งเข้าไปในจวนสกุลซ่งจริง บางทีข้าอาจได้รับข่าวดีเร็วๆ นี้ก็เป็นได้”
หนิงเว่ยเจี้ยนพูดพลางหัวเราะชอบใจไปพลาง ก่อนจะฉุกคิดบางเรื่องขึ้นมาได้ “เจ้าไปสืบเรื่องคุณหนูรองสกุลจางมาให้ข้า ข้าต้องการรู้เกี่ยวกับตัวนางทุกเรื่อง”
ในขณะที่ภายในท้องพระโรง เมื่อหนิงเว่ยเจี้ยนเดินออกจากห้องโถงไปบรรยากาศก็กลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง จางเหวิ่นชิงหันมาจ้องหน้าซ่งฟู่หลงอย่างต้องการกินเลือดกินเนื้อ
ซ่งฟู่หลงถอนหายใจออกมาเมื่อนึกถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เขาหันไปหาจางเหวิ่นชิงก่อนจะโค้งตัวคำนับ “ใต้เท้าจาง...ข้าเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ด มิได้คู่ควรกับคนสกุลจางแม้แต่น้อย...คำพูดพลั้งปากของข้าก่อนหน้า...ขอให้ใต้เท้าจางถือเสียว่าข้าไม่เคยพูดก็แล้วกัน”
จางเหวิ่นชิงไม่แม้แต่จะรับคำใด เขาปรายตามองซ่งฟู่หลงด้วยความอาฆาตแค้น ก่อนจะสะบัดกายเดินออกจากท้องพระโรงไปด้วยความแค้นเคืองเป็นอย่างยิ่ง
ซ่งฟู่หลงที่ยืนอยู่เพียงลำพังภายในท้องพระโรงก็ถอนหายใจหนักขึ้นมาอีกครั้ง เขาหันไปมองบัลลังก์ทองตรงหน้า สายตาทอดมองไปอย่างเหม่อลอย ก่อนจะบ่นพึมพำออกมา “ท่านคิดจะเล่นสนุกอันใดกันแน่”
บทที่ 68 ฟ้าหลังฝน“โยวเอ๋อร์....โยวเอ๋อร์...ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษ” เสียงร้องตะโกนเรียกบุตรสาวของเซี่ยเหมยดังก้องไปทั่วห้องขัง นางทรุดตัวลงกับพื้นด้วยน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มพร้อมหันหลังให้กับจางหมินเย่วอย่างหมดอาลัยตายอยาก นางอ่อนล้าและอ่อนแรงจนไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวอันใดกับจางหมินเย่วให้ตนเองต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว“ท่านแม่...ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าได้แต่นึกขอบคุณท่านที่รักและเอาใจใส่ข้ามาโดยตลอดแม้ว่าท่านจะเกลียดชังข้ามากเพียงใด...แต่ว่า...ท่านแม่...จะมีสักครั้งหรือไม่ที่ท่านจริงใจต่อข้าแม้เสียงสักเสี้ยวนาที”เซี่ยเหมยกัดฟันแน่นข่มความอาดูรเอาไว้ในใจ ภาพแต่หนหลังผุดขึ้นมาในความนึกคิดของนางอีกครั้ง แม้นางจะนึกเกลียดชังสองแม่ลูกมากสักเพียงใดแต่ความผูกพันที่มีมาเนิ่นนานก็เป็นสิ่งที่นางมิอาจปฏิเสธได้ “นับแต่นี้ต่อไป...เจ้าอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก” เซี่ยเหมยกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่สงบและจริงจัง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งหันหลังที่มุมห้องขังอย่างไม่ต้องการเสวนากับจางหมินเย่วอีกต่อไปจางหมินเย่วสะอื้นไห้ในลำคอ ก่อนจะยกยิ้มบางขึ้นมาอีกหน “ขอท่านแม่โปรดรักษาตัวด้วย” นางคุกเข่าลงพร้อมโขกศีรษะกับพื้นเ
บทที่ 67 ท่านยอมรับความจริงเถิดข่าวคราวเรื่องของหนิงอันอวี้ที่มีสภาพไม่ต่างจากตุ๊กตามีชีวิตแพร่สะพัดไปทั่วแคว้น “ไม่จริง...อันอวี้ต้องไม่เป็นอันใด...ไม่จริง...” หยางกุยฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับคลุ้มคลั่งอาละวาด ก่อนจะเป็นลมจนสิ้นสติไปในทันทีในขณะที่ซ่งฟู่หลงและจางหมินเย่วได้ยินเรื่องดังกล่าวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างนึกสังเวชใจ “เวรกรรมจริงๆ”จางหมินเย่วหันไปมองซ่งฟู่หลงก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความประหม่า “ใต้เท้า...ข้ามีเรื่องอยากขอร้อง”ซ่งฟู่หลงหรี่ตามองจางหมินเย่ว “เจ้าว่ามาสิ”“ข้าอยากไปเยี่ยมท่านแม่สักครั้ง...ท่านให้ข้าไปได้หรือไม่” จางหมินเย่วกล่าวออกมาในที่สุดแววตาที่อ้อนวอนทอดมองมาที่ซ่งฟู่หลง เขาได้แต่พยักหน้ารับพร้อมกำชับให้องครักษ์คอยคุ้มกันนางเอาไว้อย่างใกล้ชิดจางหมินเย่วพร้อมเล่อจิ้นและองครักษ์อีกสองนายขึ้นรถม้าพร้อมมุ่งหน้าตรงไปยังคุกอาญาในทันทีเซี่ยเหมยถูกกักขังอยู่ในห้องขังตามลำพัง ใบหน้าเหม่อลอย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงอย่างทอดอาลัยตายอยาก นางรู้สึกอับจนและสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่งในทันทีที่เซี่ยเหมยเห็นจางหมินเย่วตรงหน้า นางก็ปรี่เข้ามาพร้อมยื่นแขน ออกมาด้านนอกกรงขังหวั
บทที่ 66 ข้ามิอาจให้ท่านทำร้ายได้อีกจางเซี่ยโยวประคองหนิงอันอวี้เข้ามาภายในห้องนอนด้วยท่าทางที่เป็นปกติ แม้ว่าภายในใจนั้นกลับตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นไปพร้อมกัน สุราและอาหารถูกจัดเรียงไว้อย่างพร้อมสรรพหนิงอันอวี้เข้ามาภายในห้องนอน เขามิได้ใส่ใจกับสิ่งใดตรงหน้า หนิงอันอวี้กระชากร่างของจางเซี่ยโยวเข้าหาตัวพร้อมบดขย้ำนางด้วยความอัดอั้นในอารมณ์ ริมฝีปากหนาบดขยี้ริมฝีปากบางอย่างดุนดันและตะกละตะกลามจางเซี่ยโยวร้องอู้อี้ออกมา นางพยายามดิ้นรนขัดขืนก่อนจะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมได้ในที่สุด การกระทำดังกล่าวส่งผลให้หนิงอันอวี้มีท่าทางฉุนเฉียวและหงุดหงิดใจขึ้นมาในทันทีจางเซี่ยโยวรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างหวานเยิ้มออกมาพร้อมเดินเข้าไปคล้องลำแขนของเขาอย่างประจบเอาใจ “องค์ชาย...ข้าตระเตรียมสุราชั้นดีเอาไว้สำหรับดื่มด่ำในค่ำคืนนี้ หากท่านใจร้อนเช่นนี้จะมิทำให้เสียบรรยากาศหรอกหรือเจ้าคะ”จางเซี่ยโยวกล่าวพลางดึงรั้งหนิงอันอวี้ลงนั่งที่โต๊ะ ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งบนตักเขา มือข้างหนึ่งวาดแขนโอบรอบลำคอ ในขณะที่อีกมือหนึ่งก็ยกสุรารินลงในจอกด้วยท่าทางที่เชื่องช้าแต่เย้ายวนในที จางเซี
บทที่ 65 น้อยเนื้อต่ำใจจางเซี่ยโยวโขกศีรษะขอบคุณหนิงเว่ยเจี้ยนอีกครั้ง เมื่อนางได้รับอนุญาตตามที่หนิงเว่ยเจี้ยนได้ให้คำมั่นไว้ นางก็ขอตัวลากลับไปในทันที นางหันหลังเดินออกไปโดยมิได้มองจางหมินเย่วที่อยู่ด้านข้างเลยแม้แต่น้อย“เช่นนั้นลูกก็ขอตัวเช่นกัน” ซ่งฟู่หลงโค้งตัวลาหนิงเว่ยเจี้ยนในทันที พร้อมกระชับร่างของจางหมินเย่วที่ยังคงยืนนิ่งราวกับกำลังอยู่ในความฝัน เหตุการณ์ตรงหน้าซับซ้อนเกินกว่าที่จางหมินเย่วจะสามารถคาดเดาอันใดได้“ฟู่หลง...ต่อไปเจ้าก็ดูแลเย่วเอ๋อร์ให้ดีเล่า” หนิงเว่ยเจี้ยนกล่าวกำชับซ่งฟู่หลงอีกครั้งอย่างนึกเป็นห่วงและเอ็นดู“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ...ชายาของข้านั้นดื้อรั้นและโง่เขลา...ต่อไปข้าคงมิอาจให้นางคลาดสายตาไปได้อีก” ซ่งฟู่หลงกล่าวตอบพร้อมปรายตามองจางหมินเย่วอย่างหยอกเย้าจางหมินเย่วได้แต่ยิ้มเจื่อนออกมา พร้อมใบหน้าที่สลดลงไป นางมิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก นางได้แต่นึกเสียใจในความโง่เขลาของตนเองขณะที่อยู่ลำพังภายในเรือนนอน จางหมินเย่วได้แต่นั่งคอตกหวนคิดถึงความผิดพลาดที่ตนเองได้ก่อขึ้น นางได้แต่รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ทั้งความผิดหวัง ความท้อแท้ ความรันทดใจซ่งฟู่หลงเข้ามานั่ง
บทที่ 64 ทวงสัญญาหลังจากที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หยางกุยฮวาถึงคุมตัวไปยังตำหนักเย็น ในขณะที่เซี่ยเหมยถูกจับกุมไปยังเรือนจำของศาลอาญาเพื่อรอคำตัดสิน จางเซี่ยโยวก็ได้คุกเข่าลงตรงหน้าหนิงเว่ยเจี้ยน “ทูลฝ่าบาท...ขอพระองค์ทรงทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”จางเซี่ยโยวหวนนึกถึงในวันที่เซี่ยเหมยได้เดินทางมาหาตนที่จวนก่อนหน้านี้“โยวเอ๋อร์...แม่มีเรื่องสำคัญจะบอกกับเจ้า” เซี่ยเหมยกล่าวออกมา ในขณะที่มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง“ท่านแม่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านจึงดูร้อนรนเช่นนี้”เซี่ยเหมยหยิบขวดยาจากแผงเสื้อออกมา ก่อนจะนำมาวางตรงหน้าจางเซี่ยโยว“นี่คือ....”เซี่ยเหมยตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่หยางกุยฮวาได้นัดหมายกับตนให้จางเซี่ยโยวได้ฟังจนสิ้น “โยวเอ๋อร์...หากการนี้ทำสำเร็จ...อนาคตของเจ้าและองค์ชายสามย่อมสว่างสดใส และต่อไปจะมิมีผู้ใดขัดขวางตำแหน่งว่าที่ฮองเฮาของเจ้าไปได้อีกแล้ว” เซี่ยเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง“ท่านแม่...” จางเซี่ยโยวพ้อออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนใจกับความคิดอันเลวร้ายของมารดาของตน “ท่านแม่ องค์ชายสามนั้นมีตำแหน่งรัชทายาทอยู่ก่อนแล้ว ห
บทที่ 63 จนมุมนางกำนัลคนสนิทของหยางกุยฮวาถูกโยนลงมาตรงด้านข้างของเซี่ยเหมยด้วยสภาพบอบช้ำและอิดโรย“เจ้าจงสารภาพออกมาเดี๋ยวนี้” เสียงตวาดของหนิงเว่ยเจี้ยนดังขึ้นอีกครั้งนางกำนัลหันไปมองหยางกุยฮวาอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะโขกศีรษะลงกับพื้นหลายต่อหลายครั้ง “ทูลฝ่าบาท...หม่อมฉันผิดไปแล้ว ขอฝ่าบาทเมตตาด้วย หม่อมฉัน...เอ่อ...เรื่องราวทั้งหมดฮองเฮาเป็นผู้บงการเพคะ”สิ้นเสียงของนางกำนัล หยางกุยฮวาก็ปรี่เข้ามาตบหน้านางอย่างแรง “นางทาสชั้นต่ำ เจ้ากล้าใส่ความข้าอย่างนั้นหรือ” หยางกุยฮวาตวาดออกมาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา โทสะคุกรุ่นด้วยความเจ็บแค้นที่คนสนิทของตนคิดคดทรยศนาง“หยุดเดี๋ยวนี้...” หนิงเว่ยเจี้ยนตะคอกออกมาทำเอาหยางกุยฮวาถึงกับชะงักงันไป นางจ้องมองนางกำนัลด้วยแววตาเดือดดาลและอาฆาตแค้น“เจ้าจงบอกความจริงออกมาให้หมด ข้าจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าเอง”“ทูลฝ่าบาท...ฮองเฮาวางแผนต้องการใส่ความองค์ชายหกจึงได้มอบยาพิษให้ฮูหยินจางเพื่อใส่ร้ายพระชายา หากแผนการสำเร็จก็จะสามารถกำจัดองค์ชายหกได้สำเร็จเพคะ” นางกำนัลกล่าวออกมาด้วยท่าทางลนลาน แม้นางจะซื่อสัตย์ต่อหยางกุยฮวามากเพียงใด แต่เมื่อนางถูกต่อรองด้วยชีวิ