บทที่ 4
อัญญานั่งเหม่อลอยมาตลอดทางกลับบ้าน คำพูดของรัลยายังคงตราตรึงในหู เหมือนกระซิบบอกเธออยู่ตลอดเวลา “แกจะได้ตายไว ๆ สักที!” ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่ารัลยาเกลียดขี้หน้าเธอมากแค่ไหน แต่คนตัวเล็กไม่คิดว่าจะเกลียดถึงขนาดที่อยากให้เธอตายจากไปถึงเพียงนี้ ไม่แปลกใจ ที่ผ่านมาเธอมักจะถูกรัลยาชี้หน้าด่าอยู่บ่อยครั้ง ทำอะไรผิดพลาดแม้จะเล็กน้อยแค่ไหน เธอก็จะได้รับคำพูดไม่ดีกลับมาเสมอ ยิ่งเวลาที่เสกสรร พ่อของเธอซื้อของให้ รัลยาจะยิ่งมีท่าทีไม่ชอบใจมากกว่าเดิมเกือบร้อยเท่า อัญญาเป็นเพียงลูกเมียน้อย แม่ของเธอสร้างความเจ็บปวดให้กับรัลยาไว้มาก แต่ก็ยังอุตส่าห์ให้เธออาศัยอยู่ที่ชายคาบ้านจนเติบใหญ่ ถึงจะเป็นลูกของผู้หญิงที่เธอเกลียดแต่ก็ยังมีความใจบุญอยู่บ้าง แต่อัญญากลับโกรธจนลืมบุญคุณอันใหญ่หลวง มีหน้าไปว่าให้สำนึกผิดต่อแม่ของตน ทั้งที่ความผิดไม่ได้น้อยกว่ารัลยาเลย อัญญาเสียแม่ที่แย่งความรักของเสกสรรมาจากรัลยา ส่วนรัลยาเองก็ต้องทนอยู่กับความทรงจำแสนเจ็บปวดจนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป ยิ่งเห็นอัญญาโตมาพร้อมกับความรักที่เสกสรรมอบให้ มันยิ่งตอกย้ำความเจ็บช้ำว่าเสกสรรไม่เคยลืมแม่ของอัญญาได้เลย อัญญาเดินลงจากรถโดยที่ไม่ลืมหันไปขอบคุณกลัฟ คนขับรถที่อุตส่าห์พาเธอออกไปข้างนอก มือขาวยกโทรศัพท์ขึ้นดูเวลา อีกยี่สิบนาทีก็เที่ยงตรง เธอจึงรีบสาวเท้าเดินเข้าไปยังตัวบ้าน เพื่อที่จะเปลี่ยนชุดให้เหมาะสม แต่ยังไม่ทันที่จะเดินพ้นโถงของตัวบ้าน ชายร่างสูงหน้าตาคมดุก็เดินเข้ามากระชากแขนของเธอให้เดินตามไปอย่างรุนแรงเสียก่อน ศิลาลากตัวเธอมายังข้างสวนหลังบ้าน ที่ซึ่งปราศจากพ่อบ้านแม่บ้านและสาวใช้ เขาปล่อยข้อมือของเธอให้เป็นอิสระ อัญญารีบยกมือขึ้นมาดู เพราะในตอนแรกเขาจับกระชากที่มือของเธอ บริเวณที่มีรอยช้ำจ้ำจากการโดนประตูหนีบเมื่อคืน “อะไร แตะแค่นี้ทำสำออยรึไง” คำพูดถากถางหลุดจากปากสีดำคล้ำ ตาคมจ้องมองหน้าหวานอย่างหงุดหงิด “คือ… เมื่อคืนตอนไปเคาะห้องพี่ อัญโดนประตูหนีบมือน่ะค่ะ” “ช่าง ฉันไม่ได้อยากรู้” ปากสวยเม้มแน่นเข้าหากัน “ถ้าพ่อฉันพูดอะไรให้ปฏิเสธไปให้หมด” “คะ?” “หูหนวกหรอ” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เขาก้าวเท้าเข้าหาเธอมากขึ้น “วันนี้ตอนกินข้าวรวมกัน” “…” “ถ้าพ่อฉันเอ่ยปากบอกอะไรไป ให้เธอปฏิเสธทั้งหมด” “หมายถึงยังไงคะ” ศิลาจิปากอย่างหงุดหงิด “หมายถึงทุกอย่างที่พ่อบอกให้ทำ ถ้าบอกให้ไปฮันนีมูนก็รีบปฏิเสธซะ” “ทำไมล่ะคะ เราแต่งงานกันแล้วก็ควรไปเที่ยวด้วยกันเพื่อทำความสนิทสนมกันไว้ไม่ดีหรอคะ” อัญญาถามยาว เธอคิดอย่างที่พูดออกไปจริง ๆ ทั้งเขาและเธอควรทำความรู้จักกันมากกว่านี้ เพราะที่ผ่านมามีแค่เธอที่ได้รู้จักเขา “ลืมอะไรไหม เธอไม่ใช่เจ้าสาวตัวจริงของฉันสักหน่อย” “แต่ยังไงทางกฎหมายอัญก็เป็นภรรยาของพี่” “อินขนาดนั้นเลยหรอ” “…” “ฉันไม่ได้อยากได้เธอเป็นเมียเลยด้วยซ้ำอัญญา กฎหมายใช้กับฉันไม่ได้หรอกนะ” “แต่…” “คิดว่าฉันจะพิศวาทลูกเมียน้อยอย่างเธอหรอ” “…” อัญญาเงียบลงเมื่อคนตรงหน้าพูดประโยคเมื่อกี้ “แค่หน้ายังไม่อยากจะมอง” “…” “ทำตามที่สั่ง ฉันไม่อยากอยู่ร่วมกับเธอขนาดนั้น อะไรที่ควรปฏิเสธให้รีบพูดทันที อย่ามัวแต่อมน้ำลายไว้ในปาก” อัญญายืนฟังเงียบ ๆ ปากสวยยังคงเม้มแน่นเข้าหากัน “ตอบ!” “ค่ะ อัญเข้าใจแล้ว” ศิลาไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาหันหลังกลับเข้าบ้านไป ปล่อยให้เธอยืนอยู่เพียงลำพัง อัญญามองตามแผ่นหลังหนาที่ค่อย ๆ หายไปจากสายตา เธอเสียใจเล็กน้อยที่ถูกพูดจาไม่ดีใส่ แต่ก็ยังคงปลอบใจตัวเองเหมือนเดิมว่าศิลายังเข้าใจในตัวเธอผิดอยู่ “อยากไปเที่ยวที่ไหนล่ะอัญญา” อัคคีเอ่ยปากถามลูกสะใภ้ของตัวเอง “คือ…” “ญี่ปุ่นไหม ที่เที่ยวเยอะเลยนะ” น้ำเสียงที่ดูอ่อนโยนต่างจากลูกชายทำให้อัญญายิ้มหวานส่งให้กับเขา บนโต๊ะอาหารมื้อกลางวันเต็มไปด้วยอาหารมากมาย แต่ละจานถูกจัดเรียงอย่างสวยงามและมีสีสันน่ารับประทานจนอัญญาแปลกใจ เธอคิดว่าจ้างเชฟมือดีมาทำให้ถึงที่บ้านเสียอีก ปานวาด ศิลาและน้องชายอีกสองคน นั่งทานอาหารเงียบ ๆ ไม่มีใครเอ่ยปากพูดหรือทักทายอัญญาเลยสักคน ทำเอาเจ้าตัวนั่งเกร็งไม่กล้าหยิบจับอาหารเข้าปาก แต่พอเห็นท่าทีสบายของคนอื่น ๆ ก็เริ่มตักข้าวทานเหมือนคนอื่นบ้าง ศิลาเงยหน้าสบตากับเธอ เมื่ออัคคีพูดถึงสถานที่เที่ยว เขาใช้เท้าเตะสะกิดปลายเท้าของเธออย่างแรงจนอัญญาสะดุ้ง ศิลาพยักเพยิดหน้าให้เธอหันไปปฏิเสธผู้เป็นพ่อ “ถ้าอยากไป ลองไปที่ยามากุจิดูสิ ที่นั่นมีศาลเจ้าทะเลด้วยนะ ศักดิ์สิทธิ์มากเลย” “อ๋อ… ค่ะ” อัญญาพยักหน้ารับ ไม่รู้ว่าต้องพูดคุยอะไรบ้าง “เรื่องขอพรที่นี่ที่หนึ่งเลย รู้ไหมว่าฉันเองก็ไปขอให้ได้ลูกชายเพิ่มอีกสองคนจากที่นี่” “จริงหรอคะ” “จริงสิ เจ้าศิลาฉันไปขอคนแรกให้ได้ลูกชาย แล้วก็ได้จริง ๆ เลยไปขอเพิ่มอีกสองคน ได้เจ้าอาโปกับเจ้าพีมาอีก” “ศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ด้วยค่ะ” อัญญาตอบกลับอย่างตื่นเต้น แต่พอหันไปสบตากับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน รอยยิ้มที่มีอยู่ก็เหือดหายไปแทบจะทันที สายตาคมดุกำลังจ้องมองมาที่เธออย่างไม่พอใจสุด ๆ เขาไม่ได้ต้องการให้เธอพูดคุยเล่นกับพ่อแต่ต้องการให้เธอปฏิเสธการไปเที่ยวฮันนีมูนหลังแต่งงาน “งั้นไปที่ญี่ปุ่นแล้วกันนะ ไปที่เดียวกันกับฉันแล้วขอพรให้ได้ลูกชายนะ” “คะ?” “ไปถึงที่นั่นก็พากันไปขอพร เสร็จแล้วก็ปั๊มลูกเลย ยังไงก็สมหวัง” “พูดอะไรไร้สาระ” ศิลาพูดขัด “พ่ออย่าเอาเรื่งแบบนี้มากรอกหูคนอื่นเลย” “จริงค่ะคุณ ที่เราได้ลูกชายก็เพราะเราทำตามคำแนะนำของคุณหมอต่างหากค่ะ” ปานวาดพูดเสริมด้วยอีกคน “แล้วยังไง ผมจะเชื่อของผมแบบนี้แล้วทำไม” อัคคีตอบกลับภรรยาและลูกชายคนโต “แกมีปัญหาหรอศิลา” “เปล่าครับ” “เปล่าก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นซะ แล้วก็ไปขอพรจากที่นั่น ขอเสร็จให้รีบกลับมาทำกิจกรรมกันไว ๆ” “พูดอะไของพ่อ ผมไม่มีเวลาว่างขนาดที่จะออกไปเที่ยวได้หรอกนะครับ” “ฉันสั่งให้หยุดงานเองก็ได้” “พ่อ…” “อย่าคิดว่าจะหาข้ออ้างอะไรมาได้ เพราะยังไงฉันก็มีทางออกให้เสมอ” โทรศัพท์เครื่องหรูถูกยกขึ้นมาพิมพ์อะไรสัอย่าง “ทำอะไร” ศิลาเอ่ยปากถาม “ฉันสั่งให้เลขาจองตั๋วไว้ให้เรียบร้อย” “พ่อ!” ศิลาขมวดคิ้วหมุ่น “งานที่บริษัทมีเยอะแยะหมด ถ้ามัวแต่เอาเวลาไปเที่ยวงานจะเสร็จเมื่อไร” “ให้อาโปมันเข้ามาดูแลแทนสิ แค่สามวันเอง” “ตั้งสามวัน!” “เฮียอย่าใจร้อน แค่สามวันเองผมโอเค ผมดูแลบริษัทเฮียได้” อาโปพูดขึ้นหลังจากนั่งเงียบมานาน แต่เพราะบุคคลิกของเขาเป็นคนเงียบ ๆ ใจเย็นเกินเหตุทำให้ศิลาไม่ค่อยอยากให้ทำงานแทนสักเท่าไร เพราะความอะไรก็ได้ของอาโปทำให้คนส่วนน้อยที่จะตั้งใจทำงานให้เขาอย่างดี หากเป็นงานที่ศิลาสั่งเขาต้องได้ในทันที เป็นเพราะใบหน้าที่ดุ เสียงแข็งและความเด็ดขาดที่มีในตัวของเขาความเกรงกลัวจึงต่างกัน อาโปเป็นคนใจเย็นดั่งภูเขาน้ำแข็ง ส่วนศิลาใจร้อนดั่งไฟนรก ส่วนอีกคนก็ราวกับทอร์นาโด อารมณ์สวิงซะจนไม่มีใครเดาออก “ผมไม่ไป” ศิลายืนกราน “อัญญาก็ไม่ไป” เขาพูดพร้อมกับหันมาสบตากับเธอ “ใช่ไหม?” “คือ…” เสียงหวานลากยาว เธอไม่อยากปฏิเสธความจริงใจของอัคคี แต่ก็ไม่กล้าตอบไปอย่างที่ศิลาต้องการ “ยังไงก็ต้องไป” อัคคีพูดแทรกประโยคของคนอื่น “ถ้าแกไม่มีความกล้ามองพอก็นอนอยู่บ้านเฉย ๆ สามวันซะ” “อะไรนะ” “ฉันสั่งหยุดงานแกไปแล้วสามวัน แกต้องเลือกระหว่างไปฮันนีมูนกับนอนอยู่บ้านเฉย ๆ แกจะเลือกแบบไหนล่ะ” “นอน” ศิลาตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะเขาไม่ได้อยากไปไหนกับอัญญาเป็นเดิมทีอยู่แล้ว “แลกกับหุ้นบริษัทที่ถูกหักออกสิบเปอร์เซ็นต์” “ได้ยังไง” “ฉันเป็นเจ้าของบริษัท ฉันทำอะไรก็ได้” “พ่อ” “ถ้าแกมีสมองมากพอ แกก็น่าจะรู้นะว่าควรจะเลือกอะไร” “…” ศิลานั่งกุมขมับ หัวคิ้วขมวดแทบจะชนกันอยู่แล้ว “แต่ถ้าโง่ ก็เรื่องของคนโง่อย่างแกแล้วกัน” . To be continued.“ไปร์ทอยากกลับบ้านแล้ว” ลูกชายคนเล็กหยุดร้องไห้แล้วก็งอแงอยากกลับบ้านทันที“ไป งั้นเรารีบกลับกันดีกว่าเนอะ” ศิลาพูดแล้วเอื้อมจับมือกับสมายด์จูงมือกันเดินไปที่รถ ส่วนอีกข้างยังคงอุ้มสไปร์ทเอาไว้ด้วยอัญญาเดินตามมาติด ๆพาเด็ก ๆขึ้นนั่งรถประจำที่ สไปร์ทจะนั่งข้างหน้ากับพ่อของเขาตลอด ส่วนสมายด์จะนั่งกับอัญญาเป็นประจำ“เมื่อกี้เขาผลักพี่มายด์แล้วก็มาผลักไปร์ทด้วย” เด็กแสบฟ้องพ่ออีกรอบ “ดูเข่าไปร์ทสิ เป็นแผลเลย”“เข่าพี่ก็เป็น” สมายด์ชี้บอกบ้าง“ของพี่มายด์เป็นนิดเดียว ของไปร์ทเลือดไหลถึงตรงนี้เลย เจ็บมาก”“พี่ก็เจ็บ”“พี่ไม่สู้เขาอะ ไปร์ทเลยต้องสู้แทน” เด็กทั้งสองคุยกัน “ถ้าเขามาแกล้งพี่มายด์อีกบอกไปร์ทเลยนะ”“จะไปทำอะไรเขาฮะ” ศิลาหัวเราะชอบใจเอื้อมมือขยี้หัวลูกชายตัวเอง“ไปร์ทจะต่อยหน้าเขาเลย”“ทำแบบนั้นไม่ได้สิ” อัญญารีบพูดแทรก “ถ้าเขาแกล้งก็ให้ไปบอกครูไม่ก็มาบอกพ่อกับแม่สิ”“แม่มาช้า ครูตรงนั้นก็ไม่มีนี่นา ไปร์ทเลยทำเอง”“รอบหน้าก็อย่าทำแบบนี้นะ ถ้าเจ็บตัวมากกว่านี้ขึ้นมาจะทำยังไง ไม่กลัวพ่อกับแม่เสียใจเหรอ”“ไม่ทำก็ได้” ไปร์ทเบะปากคว่ำลง “ไหนลูกอมไปร์ท”“ย่าไม่ให้กิน” เด็กแสบแบมือขอลูกอ
ตอนพิเศษ #เด็กแสบ “เอามาเดี๋ยวนี้เลย!” เสียงของเด็กผู้หญิงวัยเจ็ดปีกำลังตะคอกใส่เด็กผู้ชายอีกคนหนึ่ง เด็กผู้หญิงผมยาวที่ถูกมัดรวบไว้ทั้งสองข้าง กำลังยืนเท้าเอวหน้าตาบึ้งตึง เพราะถูกเด็กตรงหน้าขโมยเอากระเป๋าดินสอของตัวเองไป พอตามมาเอาคืนก็ไม่ยอมคืนให้เสียอย่างนั้น “เอามาสิ!” เธอพูดอีกรอบคิ้วขมวดหมุ่น “ไม่ให้!” แต่เด็กผู้ชายคนนั้นตอบกลับมาเสียงดังทั้งยังผลักตัวเธอจนล้มลงหงายหลัง “โอ๊ย!” สมายด์ล้มลงก้นกระแทกพื้น ความเจ็บแล่นแปลบขึ้นมา น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสอง ส่งเสียงร้องไห้เสียงดัง แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะเยาะชอบใจ “ทำอะไรน่ะ!!” เด็กผู้ชายวัยห้าขวบวิ่งเข้ามาหาพี่สาวที่นั่งร้องไห้อยู่กับพื้น จับมือที่ถลอกและมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อยขึ้นดู จากที่ปกติมีสีหน้าบึ้งตึงอยู่แล้ว ตอนนี้คิ้วเข้มทั้งสองขมวดเข้าหากันแน่น ลุกขึ้นจ้องหน้าคนที่แกล้งพี่สาวตัวเองเขม็ง “แกล้งพี่มายด์ทำไม!!” “ไปร์ทไม่ต้อง ฮึก” พี่สาวเอ่ยบอกน้องชายตัวเองที่ยืนประจันหน้าเด็กโต แม้ตัวเองจะโกรธที่ถูกรังแกแต่ไม่อยากให้น้องโดนไปด้วย “ทำพี่มายด์ทำไม!” สไปร์ทยืนกอดอกจ้องหน้าอีกคน “นายใช่ไหมที่ขโมยของพี่เราไป!!”
ตอนแรกเขาคิดว่าคงไม่มีวันที่ทั้งสองคนจะได้กลับมารักกันอีกครั้งเสียแล้ว พอมาลองนึกถึงการกระทำต่าง ๆของตัวเอง เขาไม่น่าให้อภัยจริง ๆนั่นแหละ หวั่นใจและเกือบถอกใจนับครั้งไม่ถ้วนแต่เพราะไม่อยากให้เธอต้องกลายเป็นคนของคนอื่น ไม่อยากให้ใครเข้ามาดูแลเธอแทนเขา ไม่อยากให้ใครเข้ามาทำหน้าที่พ่อ ไม่อยากให้ลูกเอ่ยเรียกคนอื่นว่าพ่อเขาเลยพยายามลองมันอีกครั้ง ทั้งที่ที่ผ่านมาใจกล้าที่จะทำร้ายและพูดจาด่าทอไล่เธอสารพัด แต่พอถึงเวลาตามง้อจริง ๆความกล้าในใจกลับไม่หลงเหลืออยู่กลัวไปหมดซะทุกอย่างแต่วันนี้เขาได้มาอยู่ข้างเธอแล้ว เพราะเขากล้าที่จะปกป้องอัญญา กล้าที่จะใช้ชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อให้เธอและลูกในท้องปลอดภัย ถึงแม้ว่าเขาควรจะได้รับการลงโทษที่มากกว่านี้ เพราะทำกับอัญญาไว้เยอะมากแต่เธอก็พร้อมที่จะให้อภัย เพียงเพราะคำว่ารักเพียงคำเดียวอัญญารักเขาสุดหัวใจ รักครั้งแรกและพวงด้วยตำแหน่งพ่อของลูก มันเลยทำให้เธอตัดใจจากเขาไม่ได้สักที นอกจากหลอกตัวเองว่าไม่รักเขาแล้วก็เท่านั้น พยายามลองเปิดใจให้เลย์มากเท่าไรก็เหมือนว่ายิ่งปิดกั้นหัวใจตัวเองแต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริง ว่าหัวใจของเธอไม่เคยกลายเป็นของใครน
บทที่ 67 “เจ็บไหม” ศิลาเอ่ยถามภรรยาตัวเองที่นอนสบตากับเขาอยู่บนเตียง อัญญายิ้มให้พลางส่ายหน้า ตั้งแต่ตื่นมาเห็นก็เห็นศิลานั่งอยู่ข้างกายแล้ว เขาคอยถามเธอเสมอว่าเจ็บตรงไหน ต้องการอะไรให้บอกเขาได้เลย ดูเป็นห่วงเธอไปหมดซะทุกอย่าง มือหนากอบกุมมือเล็กของเธอเอาไว้ เขาจับมันขึ้นมาแนบที่หน้า เอียงคอซบมันไว้ราวกับว่ามันคือหมอนใบโตที่ทำให้เขาหลับสบายเสียงอย่างนั้น “อีกนานไหมคะกว่าลูกเราจะออกมา” อัญญาถามเสียงเบา เธออยากเจอลูกใจจะขาด “ไม่นานหรอก พอเขาแข็งแรงเดี๋ยวพยาบาลก็พามา อดทนรออีกหน่อย’ “แต่ลูกยังไม่ได้กินนม” “ยังไม่ถึงเวลาเลย ใจเย็น ๆนะ ไม่ต้องคิดมาก” อัญญาพยักหน้ารับเธอฉีกยิ้มออกมาให้กับเขา ถึงยังไม่เจอหน้าลูกแต่ก็อุ่นในที่มีศิลาอยู่ข้างกาย ครืด~ “ขออนุญาตนะคะ พาน้องมากินนมคุณแม่ค่ะ” เสียงพยาบาลดังขึ้นทันทีที่ประตูเปิด อัญญาทำตาโตสบตากับศิลาด้วยความดีใจ ศิลาลุกขึ้นยืนมองรถเด็กน้อยที่มีลูกของตัวเองนอนอยู่ในนั้น เขาขยับกายดีดดิ้น ลืมตามองไปมา ดูแข็งแรงไม่เหมือนเด็กที่ควรอยู่ในตู้อบ เพียงแค่ตัวเล็กมากเกินไปแค่นั้น พยาบาลอุ้มตัวเด็กขึ้นแล้วส่งให้กับอัญญา ความรู้สึกของ
ศิลาวิ่งเข้ามาในโรงพยาบาลหน้าตาตื่น เขาวิ่งอย่างเร็วไม่สนใจใคร เสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วทางเดิน หัวใจเต้นระรัวราวกับมีคนเข้ามาตีกลองอยู่ด้านในปานวาดโทรตามลูกชายทันทีที่พยาบาลแจ้งไปทางเธอ เพราะพยายามติดต่อหาศิลาเท่าไรก็ไม่รับสาย เพราะตอนนั้นกำลังประชุมและมันเป็นเบอร์แปลกเขาจึงปล่อยผ่าน ลืมคิดไปว่าอาจเป็นเบอร์ของโรงพยาบาลเขาวิ่งมาจนถึงห้องที่อัญญากำลังทำการผ่านคลอดอยู่ด้านใน เขารีบวิ่งไปหยุดอยู่หน้าประตู มองลอดผ่านช่องกระจกน้อย ๆเข้าไป เห็นอัญญาถูกใส่เครื่องช่วยหายใจ มีหมอพยาบาลอีกหลายคนยืนล้อมรอบตัวเธอภาพที่เธอนอนหลับตาพริ้มพร้อมกับเครื่องช่วยหายใจ มันบีบรัดหัวใจเขาไปหมด ศิลาน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาเสียดื้อ ๆมือสั่นตัวสั่นไปด้วยความกลัว ลืมความเหนื่อยไปหมดสิ้น“ศิลานั่งก่อนนะลูก” ปานวาดเข้าดึงตัวแขนลูกชาย เขาถอยออกมาตามแรงของแม่ “อัญญาไม่เป็นอะไรหรอก เชื่อแม่สิ”“อัญเป็นอะไรครับ” เขาถามน้ำตาไหลออกมาเรื่อย ๆ“ปากมดลูกเปิดกว้าง หมอบอกว่าอัญได้รับยาระงับการคลอดมากเกินไปแล้ว หากยังต้องใช้ยาอีกมันจะเป็นอันตรายต่อเด็กและตัวแม่เอง”“…”“เลยต้องทำการผ่าคลอดเร่งด่วน”“ทำไมคลอดธรรมชาติไม่ได้” เขาเคย
บทที่ 66 “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้นะคะ” อัญญาเอ่ยบอกศิลาที่กำลังนั่งซักผ้าเช็ดตัวให้เธอในห้องน้ำ “ไม่เป็นไร อัญนอนพักเลย” เขาตอบกลับมาแบบนั้นก่อนจะหันกลับไปทำหน้าที่ต่อ อัญญายิ้มให้กับภาพตรงหน้าก่อนจะนอนหลับตาเพื่อพักผ่อนต่อ มือลูบท้องกลม ๆของตัวเองไปด้วย ศิลานอนเฝ้าเธอทุกวันตั้งแต่วันแรกที่เขาเข้ามาหา ทำความสะอาดร่างกาย เช็ดปัสสาวะและอุจจาระให้เองตลอด อาบน้ำแต่งตัวเขาก็ทำให้เธอทุกอย่าง และทำอย่าสงสม่ำเสมอไม่บกพร่องเลย เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือนนิด ๆอัญญายังคงนอนอยู่ที่โรงพยาบาลเช่นเคย ตอนนี้สามารถขยับร่างกายได้บ้างแล้วแต่ยังเคลื่อนที่เร็ว ๆไม่ได้ เพราะอาจทำให้ปากมดลูกเปิดอีก ศิลาอยู่เป็นเพื่อนคุยเล่นปลอบใจอยู่ตลอด ไม่เคยหายไปไหนนาน ๆ เขาจะบอกตลอดว่าเป็นห่วงอัญญามากขนาดไหน บอกรักเธอทุกวัน ดูแลดีอย่างคาดไม่ถึง ครืด ครืด ครืด อัญญาเหลือบมองตามเสียงโทรศัพท์ หน้าจอโชว์ชื่อของเลขาคนสนิทศิลา “พี่ศิลาคะ โทรศัพท์ค่ะ” เธอร้องบอก ศิลาเดินขมวดคิ้วเข้ามาหา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย สีหน้าเคร่งเครียดนิดหน่อย เขาถอนหายใจเสียงดังก่อนจะตัดสายทิ้ง “มีอะไรหรือเปล่าคะ” อัญญาถามเขา “มีป