ในเช้าวันที่อากาศเริ่มจะสดใส หิมะที่โปรยปรายมาอย่างยาวนานหยุดตกไปได้หลายวันแล้ว ลำแสงแรกแห่งการผลัดเปลี่ยนฤดูสาดส่องลงมากระทบยอดหญ้าที่แตกยอดใหม่ดูงดงามจับตา
และในเช้าวันนี้ก็มีเรื่องที่ทำให้จ้าวหลี่เชี่ยนต้องแปลกใจ เมื่อมีคำสั่งจากบิดาให้นางย้ายออกจากเรือนร้างท้ายจวนแห่งนี้ไปยังเรือนเหลียนฮวาที่กว้างขวางและงดงาม อีกทั้งยังมอบอาภรณ์และเครื่องประดับล้ำค่ามาให้นางมากมาย ให้อิสระในการออกนอกจวนกับนาง บ่าวรับใช้ของมารดาถูกส่งกลับมาให้รับใช้นาง รวมถึงส่งบ่าวรับใช้อีกหลายคนมาคอยปรนนิบัติรับใช้นางเทียบเท่ากับบุตรคนอื่นๆ แต่นางคิดว่าส่งมาเพื่อจับตาและควบคุมนางต่างหาก
"เกิดอะไรขึ้น"
เสียงหวานเอ่ยขึ้นแผ่วเบาคล้ายดังจะถามตัวเองเสียมากกว่า
ถิงถิงสบสายตากับผู้เป็นนายแล้วส่ายหน้าน้อยๆ อย่างจนปัญญา คาดเดาไม่ถูกถึงการกระทำทั้งหมดของท่านเสนาบดีผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของผู้เป็นนาย นางที่เติบโตมาพร้อมกับคุณหนู อยู่ข้างกายคุณหนูตลอดเวลาย่อมรับรู้สิ่งที่ผู้เป็นนายต้องเผชิญ รับรู้ได้ว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง มันผิดปกติและไม่ชอบมาพากลอย่างรุนแรง
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนางก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณหนู ปกป้องคุณหนูจากภัยอันตรายทั้งปวง
จ้าวหลี่เชี่ยนได้แต่มองทุกอย่างอย่างมึนงง เมื่อผู้ที่ไม่เคยสนใจไยดีนางมาก่อนกลับมาเอาใจใส่นางอย่างน่าแปลกใจ แม้แต่พิธีปักปิ่นของนางที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้าก็ยังถูกจัดเตรียมขึ้นเป็นอย่างดี จากที่คิดว่ามันจะผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่าย มีแม่นมผิงที่เป็นผู้ปักปิ่นให้นางแต่ทุกอย่างกลับผิดคาดไปเสียหมด ผู้เป็นบิดาให้ความสำคัญกับพิธีปักปิ่นของนางถึงขนาดจัดเตรียมพิธีเอาไว้อย่างใหญ่โตและครบถ้วนสมบูรณ์ นั่นเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายสำหรับนางมาก
เรื่องที่เกิดขึ้น แม้จะมั่นใจว่ามีบางอย่างแอบซ่อนอยู่ แต่นางก็รู้สึกยินดีอยู่บ้างกับเรื่องนี้ อย่างน้อยคนของนางจะได้ไม่ต้องลำบาก ระยะนี้แม่นมผิงที่แก่ชราลงเริ่มเจ็บป่วยบ่อยๆ หากได้อาศัยอยู่ในเรือนที่สะดวกสบายย่อมที่จะดีกว่าอยู่ในเรือนที่ผุพังจนแทบจะไม่สามารถกันลมกันฝนได้แห่งนี้ อีกทั้งบิดายังอนุญาตให้ท่านหมอมาดูอาการของอีกฝ่ายและยังมอบของบำรุงร่างกายให้มากมาย เป็นเช่นนี้แม่นมผิงคงจะแข็งแรงและหายป่วยในเร็ววัน
แต่เมื่อถึงวันปักปิ่นในวันนี้ นางถึงได้รู้แจ้งแก่ใจแล้วว่าเหตุใดนางจึงได้รับความเมตตาและการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากบิดา เมื่อได้เห็นสายตาของบรรดาแขกที่บิดาเชิญมาร่วมในวันพิธี ทุกคนล้วนเป็นคนจากตระกูลใหญ่ ทั้งจากตระกูลขุนนางและคหบดีที่มีอำนาจและร่ำรวย หากเกี่ยวดองด้วยย่อมส่งเสริมให้ผู้เป็นบิดายิ่งแข็งแกร่ง
นางได้กลายเป็นตัวแลกเปลี่ยนอำนาจของบิดาไปเสียแล้ว กลายเป็นหมากที่ใช้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของผู้เป็นบิดา เป็นเช่นดังสินค้าที่บิดาเตรียมจะขายให้กับผู้ที่ให้ราคามากที่สุด
ชีวิตสตรีเช่นนางคล้ายดังเรือลำน้อยกลางท้องมหาสมุทร ที่ลอยเคว้งคว้าง แล้วแต่คลื่นจะซัดสาดให้ลอยไปในทิศทางใด มันช่างน่าเศร้าและน่าเจ็บปวดใจอย่างที่สุดที่นางไม่สามารถเดินไปตามเส้นทางชีวิตที่ตนปรารถนาได้
"คุณหนูเจ้าคะ"
ถิงถิงเอ่ยเรียกนายของตน ตั้งแต่เสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นคุณหนูของนางก็เอาแต่เหม่อลอย เพราะรู้สึกเจ็บช้ำกับการกระทำของผู้เป็นบิดา
"คุณชายมู่ส่งของขวัญมาให้คุณหนูเจ้าค่ะ"
ถิงถิงยื่นถุงผ้าปักลวดลายดอกหลานฮวา [1] งดงามให้ผู้เป็นนาย บ่าวผู้ซื่อสัตย์ระบายยิ้มออกมาอย่างยินดีเมื่อเห็นคุณหนูของตนยิ้มออกมาได้
จ้าวหลี่เชี่ยนรับเอาถุงผ้านั้นมาถือไว้ รอยยิ้มกว้างปรากฏบนดวงหน้าหวานละมุน คิดไปถึงผู้เป็นเจ้าของ มองลายปักดอกหลานฮวาที่สื่อถึงมิตรภาพ อย่างน้อยท่ามกลางความเศร้าโศกและเจ็บปวด นางก็ยังมีโอกาสได้พบเจอคนดีๆ คนผู้นั้นเป็นอีกผู้หนึ่งที่นางยอมทำความรู้จักและพูดคุยด้วยได้อย่างสนิทใจ
ตั้งแต่วันนั้นที่เขาได้ช่วยเหลือนางเอาไว้ ทั้งสองก็สนิทสนมกันมากขึ้น เขามักจะบังเอิญ พบเจอนางเสมอ ถึงแม้จะรู้ว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง แต่นางก็ไม่เคยคิดที่จะเปิดโปงอีกฝ่าย
ความสัมพันธ์ของนางกับคุณชายมู่นั้นพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต เขากลายมาเป็นดั่งพี่ชาย เป็นดั่งมิตรสหายที่น่าคบหา เขาเป็นบุรุษที่ดีมากและน่านับถือมากผู้หนึ่ง นางรู้สึกคุ้นเคย และผูกพันกับคนผู้นี้อย่างประหลาดทั้งๆ ที่พึ่งจะรู้จักกัน แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างเอาไว้ นางไม่อาจบอกได้ว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้จะพัฒนาไปมากกว่านี้ได้หรือไม่ รู้เพียงว่าตอนนี้การมีอีกคนคอยห่วงใย ให้คำปรึกษา และถามไถ่ทุกข์สุข ความสัมพันธ์เช่นนี้มันดีเหลือเกิน
"เปิดเลยเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวอยากรู้ว่ากำไลข้อมือของคุณชายมู่งดงามเพียงใด"
ถิงถิงเอ่ยบอกผู้เป็นนายพร้อมกับมองใบหน้างามด้วยสายตาล้อเลียน นางถือถุงผ้าใบเล็กนั้นเอาไว้ในมือก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือกำไลข้อมือ
จ้าวหลี่เชี่ยนมิได้กล่าวอันใด เพียงส่ายหน้าอย่างอ่อนใจให้บ่าวคนสนิทของตน เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะผูกวาสนาให้นางกับคุณชายมู่
เมื่อเปิดออกดูปรากฏว่าด้านในนั้นเป็นกำไลหยกสีแดงเนื้อเนียนละเอียด มันงดงามมากและคงจะมีราคาแพงมากด้วย นั่นทำให้นางไม่ใคร่จะสบายใจนักที่อีกฝ่ายมอบของมีราคามากจนเกินไปเช่นนี้ให้นาง
"งดงามมากเลยเจ้าค่ะคุณหนู คุณชายมู่ช่างใส่ใจคุณหนูนัก มันเหมาะกับคุณหนูมากเลยเจ้าค่ะ"
จ้าวหลี่เชี่ยนเก็บกำไลวงนั้นเอาไว้ในถุงผ้าเช่นเดิม หันไปมองบ่าวตัวน้อยของตนที่ตอนนี้หลับตาพริ้ม ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นแสดงออกว่ากำลังเคลิ้มฝัน จนนางอยากจะบิดเนื้อขาวๆ ของอีกฝ่ายให้หลุดติดมือมาเสียเหลือเกิน ก่อนสายตาจะไปสะดุดเข้ากับกล่องไม้ในมือของอีกฝ่าย
"แล้วนั่นกล่องอันใดเล่า"
ถิงถิงมองตามสายตาผู้เป็นนาย เมื่อเห็นกล่องในมือของตนจึงนึกขึ้นมาได้
"อ้อ บ่าวเกือบจะลืมไปเลยเจ้าค่ะ"
ถิงถิงยื่นกล่องไม้ในมือให้ผู้เป็นนาย เอ่ยบอกด้วยสีหน้าฉงน
"มีคนผู้หนึ่งนำมาให้บ่าวเจ้าค่ะ บอกว่าเป็นของขวัญที่ผู้เป็นนายของเขามอบให้คุณหนู แต่กลับไม่ยอมบอกว่านายของตนนั้นเป็นใคร"
ซึ่งนางคิดว่าคงจะเป็นเหล่าคุณชายทั้งหลายที่ชมชอบคุณหนูของนาง แต่ไม่ปรารถนาที่จะส่งมอบของขวัญผ่านฮูหยินใหญ่จึงได้ส่งผ่านมาทางนาง
จ้าวหลี่เชี่ยนมองพิจารณากล่องไม้ใบนั้น มือเรียวลูบไล้ลงบนรูปแกะสลักดอกหลานฮวาอ่อนช้อยงดงาม มันคือดอกหลานฮวาเช่นเดียวกับลายปักบนถุงผ้าของคุณชายมู่ แต่เป็นดอกหลานฮวาที่เลื้อยเกี่ยวพันกัน ซึ่งความหมายของมันนั้นแตกต่างออกไป ลวดลายบนกล่องใบนี้ทำให้คิ้วเรียวบนใบหน้างามขมวดมุ่นปรากฏร่องรอยครุ่นคิด เพราะความหมายของมันคือ ความรักใคร่ พอใจซึ่งกันและกัน
เป็นผู้ใดที่มอบให้นางกัน
มือขาวนุ่มนิ่มเปิดฝากล่องไม้นั้นออก อยากจะรู้ว่าด้านในนั้นคือสิ่งใด ปรากฏว่ามันคือปิ่นปักผมสีทองอร่าม นิ้วเรียวยื่นไปสัมผัสปิ่นอันนั้นแผ่วเบาก่อนจะหยิบมันขึ้นมาถือเอาไว้ ลวดลายของปิ่นคือลวดลายเดียวกันกับกล่องใบนั้น มีไข่มุกและอัญมณีประดับเอาไว้อย่างงดงาม มันงดงามมากและนางก็ชื่นชอบมากด้วยเช่นกัน
"งดงามเหลือเกินเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวไม่เคยเห็นปิ่นที่งดงามเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ"
นางเห็นด้วยกับถิงถิง แต่ผู้ที่มอบให้นางต้องการจะสื่อสิ่งใดกัน
ความรักใคร่ พอใจซึ่งกันและกันเช่นนั้นหรือ
จ้าวหลี่เชี่ยนคิดไม่ตกสำหรับเรื่องนี้ นางไม่เคยมีคนรัก ไม่เคยแม้กระทั่งมีความรู้สึกเช่นนั้นให้กับผู้ใด แล้วใครกันเล่าช่างใจกล้ามอบปิ่นความหมายเช่นนี้ให้กับนาง
แล้วอยู่ๆ ก็คิดถึงคำถามที่ถิงถิงเคยเอ่ยถามนาง
"คุณหนู ยามได้อยู่ใกล้กับคุณชายมู่เฉินอี้หัวใจของคุณหนูเต้นแรงหรือไม่เจ้าคะ"
"เหตุใดจึงได้ถามข้าเช่นนี้เล่าถิงถิง"
ใบหน้างามปรากฏร่องรอยฉงนไม่เข้าใจคำถามของบ่าวของตนที่ดูกระตือรือร้นที่จะทราบคำตอบ
"ก็เพราะว่ายามเมื่อเราอยู่ใกล้ๆ บุรุษที่เราพึงใจ หัวใจของเราก็จะเต้นแรงอย่างไรเล่าเจ้าคะ หรือเพียงแค่ได้สบตากับเขาหัวใจของเราก็จะเต้นแรงเช่นกัน ข้าอยากรู้ว่าคุณหนูมีใจชอบพอคุณชายมู่หรือไม่"
จ้าวหลี่เชี่ยนถึงกับหัวเราะออกมากับคำพูดของอีกฝ่าย ดูท่าถิงถิงจะอ่านตำราเกี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหญิงมากเกินไป จึงได้เก็บเอามาคิดเป็นตุเป็นตะเพ้อฝันเช่นนี้
ความรู้สึกยามเมื่อได้สบตาแล้วทำให้หัวใจเต้นแรงเช่นนั้นหรือ
จ้าวหลี่เชี่ยนนึกถึงประโยคนั้นแล้วใบหน้าของคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในความคิด ทำให้หัวใจดวงน้อยของนางเต้นแรงสั่นระรัว ดวงตาคู่งามเปล่งประกายยินดีขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจะหม่นเศร้าลง
"คุณหนูรู้แล้วหรือเจ้าคะว่าเป็นผู้ใดที่มอบให้"
ถิงถิงเอ่ยถามขึ้น นั่นทำให้นางรีบส่ายศีรษะปฏิเสธอีกฝ่ายพัลวัน
"ไม่ ข้าไม่รู้หรอก"
ไม่มีทางที่จะเป็นคนผู้นั้นไปได้ เขาไม่ได้คิดอะไรกับนางเสียหน่อย เป็นนางที่เผลอคิดเข้าข้างตนเองอย่างหน้าไม่อาย
แม้นางจะมีความรู้สึกดีๆ ให้เขาแล้วอย่างไร ในเมื่อนางนั้นรู้ตัวดีว่าไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ เขาคือบุรุษต้องห้ามสำหรับนาง เพียงแค่ได้ชื่นชมอยู่ไกลๆ ก็เพียงพอแล้ว
"อย่ามัวแต่สงสัยอยู่เลย เจ้ามานั่งนี่ดีกว่า"
จ้าวหลี่เชี่ยนกล่าวพร้อมกับวางปิ่นอันนั้นเอาไว้บนโต๊ะ โดยไม่คิดที่จะหันไปมองมันอีก ลุกขึ้นมาจับร่างบอบบางของถิงถิงให้นั่งลงบนตั่งแทนนาง
"คุณหนูทำอันใดเจ้าคะ"
ถิงถิงที่ตกใจกับการกระทำของผู้เป็นนาย รีบดีดตัวลุกขึ้นราวกับนั่งลงบนของร้อน นางไม่อาจตีตัวเสมอนาย
"นั่งลงเถิด"
จ้าวหลี่เชี่ยนกดไหล่เล็กของอีกฝ่ายให้นั่งลงตามเดิม แล้วจึงเปิดกล่องเครื่องประดับของนางหยิบเอาปิ่นเงินลวดลายงดงามออกมา
"ของขวัญจากข้า"
ถิงถิงเองก็ถึงวัยที่ต้องปักปิ่นแล้วเช่นกัน แต่อีกฝ่ายนั้นไร้บิดามารดาและญาติพี่น้อง มีเพียงนางและแม่นมผิงเท่านั้น ตอนนี้แม่นมผิงนั้นล้มป่วยร่างกายไม่ค่อยจะแข็งแรง จึงมีเพียงนางที่จะปักปิ่นให้อีกฝ่าย จ้าวหลี่เชี่ยนหวีผมและเกล้ามวยผมปักปิ่นให้บ่าวตัวน้อยที่นั่งน้ำตาคลออย่างอ่อนโยน
"คุณหนู"
เสียงสั่นเครือเอ่ยเรียกผู้เป็นนาย ดวงตาเรียวแดงระเรื่อมองผู้เป็นนายอย่างซาบซึ้งใจ
"จงมีชีวิตที่ดี"
จ้าวหลี่เชี่ยนส่งยิ้มให้ผู้ที่เปรียบเสมือนสหายของตน อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ น้ำตาที่เอ่อคลอหยดลงมาอย่างมิอาจห้าม
"เจ้าค่ะ คุณหนู"
^(1)ดอกกล้วยไม้
ดวงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า เปล่งแสงสีทองอันอบอุ่นผ่านหน้าต่างห้องนอนของจวนขนาดกลางที่ตั้งอยู่บนเนินเขาอันเงียบสงบ จวนซึ่งมีความทรงจำในวัยเยาว์ของหญิงสาว ขณะที่คู่สามีภรรยานั่งด้วยกันอยู่บนตั่งริมหน้าต่าง ชื่นชมบรรยากาศยามเย็นของธรรมชาติเบื้องหน้า เสียงวิหคที่พากันโบยบินกลับรวงรังร้องขับขานดังเป็นท่วงทำนองอ่อนหวานก้องอยู่บนท้องนภา ช่อดอกไม้สีสันสดใสที่ประดับอยู่ในแจกันส่งกลิ่นหอมหวานไปทั่วห้อง ในสถานที่อันเรียบง่ายแห่งนี้ คือสถานที่อันแสนสุขของทั้งสอง เหอไป๋เหยียนตระกองกอดเรือนร่างหอมกรุ่นของภรรยาที่เอนซบไออุ่นจากอกแกร่งของเขาด้วยความรักใคร่ทะนุถนอม ข้างๆ กันนั้นมีเปลนอนเด็กอ่อนที่ด้านในนั้นทารกเพศหญิงใบหน้ากลมป้อมวัยห้าเดือนกำลังนอนหลับตาพริ้ม ริมฝีปากจิ้มลิ้มสีแดงสดตัดกับผิวขาวผ่องฟูนุ่มคลี่ยิ้มน้อยๆ ราวกับว่าแม่หนูน้อยคนงามกำลังหลับฝันดี ช่างดูน่ารักน่าชังจนผู้เป็นบิดาจ้องมองด้วยความรักใคร่หลงใหล มือใหญ่ของผู้เป็นบิดาคอยแกว่งไกวเบาๆ ยามนี้บริเวณรอบๆ จวน โคมไฟสีเหลืองนวลถูกจุดให้ความสว่าง สองสามีภรรยาที่ยังคงตระกองกอดกันอยู่จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาว มือของพวกเขาประ
เรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดได้ผ่านพ้นไปแล้ว นับจากนี้ต่อไปคงมีแต่สิ่งดีๆ เกิดขึ้น บ้านเมืองที่เดิมนั้นชาวบ้านชาวเมืองยากไร้อดอยากคงจะค่อยๆ ทุเลาลง เมื่อฝ่าบาท องค์รัชทายาทและเหล่าขุนนางที่เหลือเพียงขุนนางน้ำดีต่างร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไขปัญหานั้นอย่างเร่งด่วน ทรัพย์สมบัติที่ยึดมาจากเหล่าขุนนางชั่วช้า โกงกิน ที่ร่วมกับฝั่งกบฏถูกยึดเข้าท้องพระคลังทั้งหมด ก่อนจะถูกแบ่งสันปันส่วนไปตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน เหล่าชาวบ้านที่ไร้อาชีพและไร้ที่ทำกินจะมีการจัดสรรที่ดินทำกินให้อย่างยุติธรรม และหากตรวจพบว่ามีการทุจริตก็มีข้อกำหนดโทษเอาไว้สูงสุดและไม่มีข้อยกเว้น การปราบกบฏครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการชำระล้างอำนาจมืด ขุดรากถอนโคน คนโกง คนชั่วครั้งใหญ่ แม้ว่าจะไม่หมดไปทั้งหมด แต่ก็เรียกได้ว่าคนเหล่านั้นต่างเก็บมือเก็บไม้ ไม่โผล่หางออกมาระรานผู้คนส่วนเรื่องราวภายในวังหลวงตอนนี้ องค์หญิงใหญ่เฉินหลี่เชี่ยน ก็กลับมาแข็งแรงดังเดิมแล้วแม้ตอนนี้นางจะคืนสู่ฐานันดร แต่นามของนางยังคงเดิม เปลี่ยนก็เพียงแค่แซ่เท่านั้น เพราะนามหลี่เชี่ยนเป็นนามที่มารดาเป็นผู้ตั้งให้ นางมีเพียงสิ่งนี้ที่ให้ระลึกถึงมารด
ความจริงที่ได้รับรู้สร้างความตกตะลึงให้กับเหอไป๋เหยียนเป็นอย่างมาก เขาได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไปอย่างไม่น่าอภัย นางได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมามากมาย แต่เขากลับยังซ้ำเติมใจร้ายใจดำกับนาง ทำร้ายจิตใจนางครั้งแล้วครั้งเล่า"เฉิงซีหมิง เจ้าอย่าได้คิดว่าจะได้บุตรสาวเจ้ากลับคืน ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสความทุกข์ทรมานจากการสูญเสีย ทนมองสายเลือดของเจ้าขาดใจตายไปต่อหน้า ข้าจะพานางไปพบกับมารดาของนาง จะพานางไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับว่านจื่อในปรโลก""จ่งชิว ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้น ปล่อยนางไป หากเจ้าปรารถนาชีวิตของข้า ข้าก็จะให้เจ้า"ฮ่องเต้เฉิงซีหมิงตรัสออกมาด้วยความเจ็บปวด อ้อนวอนขอต่อผู้ที่เคยเป็นสหาย มองดูสายเลือดของตนอย่างรู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องนางได้"ฮ่าฮ่าฮ่า เฉิงซีหมิงความตายสำหรับเจ้านั้นมันง่ายดายเกินไป ข้าปรารถนาให้เจ้าอยู่อย่างทุกข์ทรมานมากกว่า"จ้าวจ่งชิวดึงกริชรูปทรงงดงามล้ำค่าที่เขาเตรียมเอาไว้สำหรับการนี้ออกมา หันปลายแหลมคมของมันเข้าหาตำแหน่งหัวใจของสตรีที่เขาเฝ้ามองนางมาตั้งแต่เล็ก ดวงตาแข็งกร้าวนั้นแดงก่ำจนดูน่ากลัวจ้าวหลี่เชี่ยนร่ำไห้ตัวสั่นเทา มองปลายกริชวาววับนั้นด้วยความหวาดกลัว จิตใจขอ
จ้าวจ่งชิวหันมาเผชิญหน้ากับบุรุษสูงศักดิ์ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสหายของเขา แต่ตอนนี้ระหว่างเขากับคนผู้นี้ไม่อาจที่จะยืนอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันได้อีกแล้ว"พอได้แล้วจ้าวจ่งชิว เจ้าแค้นเคืองเกลียดชังข้าก็ไม่ควรดึงผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง"ฮ่องเต้เฉินซีหมิงเอ่ยกับคนตรงหน้า สายพระเนตรเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจจ้าวจ่งชิวแสยะยิ้มให้กับคำกล่าวนั้น เขากระชากร่างเล็กของสตรีที่ยืนสั่นเทาร่างกายโงนเงนเข้าหาตัว ฝ่ามือหยาบยกขึ้นบีบปลายคางเล็กๆ นั้นให้หันไปทางบุรุษทั้งสองที่ทำลายชีวิตเขาจนพังพินาศภาพนั้นสร้างความเจ็บปวดใจให้คนทั้งสองที่กำลังจ้องมองนางอย่างเป็นห่วง แต่ไม่อาจบุ่มบ่ามเข้าไปช่วยเหลือเหอไป๋เหยียนกำมือเข้าหากันแน่น ลอบส่งสัญญาณให้คนของเขารอจังหวะจู่โจมอีกฝ่าย สายตานั้นไม่ได้ละไปจากใบหน้าซีดขาว จ้องมองนางด้วยความเจ็บร้าวในอก บอกนางผ่านแววตาให้นางอดทน ให้นางเชื่อมั่นในตัวเขา"ผู้ใดกันที่ไม่เกี่ยวข้อง เด็กคนนี้หรือ"ฮ่าฮ่าฮ่า"เด็กที่เกิดจากการทรยศของพวกเจ้าน่ะหรือที่ไม่เกี่ยวข้อง"จ้าวจ่งชิวหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตด้วยความเจ็บปวดเขาและว่านจื่อนั้นเติบโตมาด้วยกันและเป็นเพื่อนเล่นกันม
ทางฝั่งของบุรุษนั้นก็มีการปะทะเกิดขึ้นเช่นกัน มีนักฆ่าบุกเข้ามาเพื่อที่จะสังหารฮ่องเต้ แต่ทุกอย่างกลับถูกควบคุมเอาไว้ได้อย่างรวดเร็วเหอไป๋เหยียนให้ทหารองครักษ์คุ้มครองฝ่าบาทและองค์รัชทายาทกลับไปยังที่พักอย่างปลอดภัย ส่วนเขานั้นเข้าปะทะกับเหล่านักฆ่าและสังหารพวกมันจนหมดสิ้นสายตาคมกล้ากวาดมองซากศพด้วยความเคร่งเครียด เขายังคงไม่คลายความระมัดระวังลง สัญชาตญาณบอกกับเขาว่าทุกอย่างมันดูง่ายดายเกินไป นักฆ่าที่ถูกส่งมานั้นไร้ฝีมือจนถูกกำจัดได้โดยง่ายจนน่าฉงน อีกทั้งจ้าวจ่งชิวยังคงไม่ปรากฏตัว ราวกับว่าการลอบสังหารในครั้งนี้เป็นการถ่วงเวลาเสียมากกว่า แต่มันต้องการถ่วงเวลาจากสิ่งใดกันแต่แล้วเสียงฝีเท้าม้าที่มุ่งตรงมาทางพวกเขาทำให้ความคิดทั้งหมดหยุดชะงักลง ใบหน้าขององครักษ์ผู้นั้นทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบเพราะคนผู้นี้คือองครักษ์ที่เขาส่งไปคุ้มครองจ้าวหลี่เชี่ยน"ท่านแม่ทัพขอรับ""เสนาบดีจ้าวจ่งชิวจับตัวคุณหนูจ้าวและคุณหนูตู้ไปขอรับ"ฟังคำรายงานทั้งหมดของอีกฝ่ายทำให้หัวใจของเขาเย็นเยียบราวกับถูกแช่แข็ง สตรีนางนั้นร่วมมือกับบิดาของนางเพื่อจะหลบหนีไป หรือว่านางถูกจับตัวไปด้วยความไม่เต็มใจ แต่จ้าวจ
"ยังไม่มีคนจากในวังติดต่อมาหรือ""เอ่อ ไม่มีขอรับ" ฝ่ามือใหญ่กำเข้าหากันแน่น ผ่านไปร่วมเดือนแล้วที่เขาเฝ้าถามคำถามนี้ สตรีนางนั้นเมินเฉยต่อคำขอของเขา ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีคำกล่าวใดจากปากนาง ไม่แม้แต่จะยอมพบหน้ากัน เขาคิดว่าความสัมพันธ์ของเขากับนางมันจะเป็นไปได้ด้วยดีแล้วเสียอีก นางกล่าวว่าเขาใจร้าย แต่นางเองก็ใจร้ายกับเขาเช่นกัน เขายอมนางถึงเพียงนี้แล้ว นางยังเมินเฉยต่อเขา ไม่คิดจะกลับมาหาเขา ไม่คิดจะมีเขาร่วมทาง"ท่านแม่ทัพขอรับ คนเสนาบดีจ้าวมีความเคลื่อนไหวขอรับ"คำรายงานนั้นทำให้แผ่นหลังกว้างเหยียดเกร็งขึ้น รับกระดาษแผ่นเล็กจากคนสนิทเหอไป๋เหยียนกวาดตามองจดหมายฉบับนั้น ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเย็น ดวงตาคมกริบทอประกายโหดเหี้ยม ที่แท้เจ้าคนเจ้าเล่ห์ผู้นั้นก็รอที่จะลงมือในพิธีล่าสัตว์ที่กำลังจะมาถึง แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใด แต่คิดหรือว่าเขาจะยอมปล่อยให้มันผู้นั้นกระทำตามใจ"เตรียมคนเอาไว้ให้พร้อม"ขบวนเสด็จเคลื่อนตัวออกจากวังหลวงมุ่งหน้าสู่สถานที่ที่ใช้ในการจัดพิธีล่าสัตว์ที่จะถูกจัดขึ้นในทุกปีตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ซึ่งถือเป็นฤกษ์มงคลในการออกเดินทาง ผู้คนต่างเบียดเสียดกันออกมาเพื่อต