หนานเจินหยางไปขอร้องหยวนไป๋เจียนเรื่องของอายง เขาไม่ได้บอกทั้งหมดว่าเหตุผลเพราะอะไร แต่อ้างถึงผู้นำแคว้นซีตันว่าอายง เป็นผู้ที่หนานปาอี้และพระชายาหมีเฮ่อส่งมาด้วยพระองค์เอง หากอยากให้พ่อตาแม่ยายวางใจโปรดให้องครักษ์ผู้นี้เข้าวังรับใช้ใกล้ชิดองค์หญิงอันรั่ว
ธรรมเนียมของซีตันเป็นเช่นไร เขามิอาจเข้าใจทั้งหมด
ด้วยความเกรงใจหยวนไป๋เจียนจึงจำใจให้อายงเข้าวังมาในฐานะองครักษ์ประจำตัวหนานอันรั่ว ไม่ว่าอย่างไรเสียเขาก็มั่นใจว่าอันรั่วไม่ได้สนิทกับคนผู้นั้นไปมากกว่าเพื่อน เขาจำได้ว่าคนที่องครักษ์ผู้นั้นชื่นชอบคือหนานรั่วซี
ตอนที่นางโดนหมาป่าทำร้าย ชายผู้นั้นก็เป็นคนที่คอยดูแลนางอยู่ห่าง ๆ โดยไม่ไปไหน
“เจินหยางเจ้าบอกว่าอันรั่วฝึกยุทธมาตั้งแต่ยังเด็กใช่หรือไม่”
“แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น”
“เจ้าก็ฝึกยุทธมาตั้งแต่เด็กใช่หรือไม่” เขาเดินเข้าหาสหายพร้อมกับดึงมือขึ้นมาดู “มือของคนฝึกยุทธมันก็เป็นเช่นนี้ทั้งนั้นไม่ว่านะเป็นบุรุษหรือสตรี”
หนานเจินหยางรีบดึงมือกลับ คนผู้นี้ทำงานหนักจนเป็นบ้าไปแล้วห
เขาฝัน!! เขาฝันว่าซีเอ๋อหนีเขาไปอีกครั้ง หยวนไป๋เจียนสะดุ้งตื่นในอีกวัน เขาพบว่าตอนนี้มีเด็กชายตัวเล็กกำลังนั่งจ้องมองเขาอยู่ข้างเตียง“ท่านลุงเคราเฟิ้ม ท่านมานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หนานเฉินจื้อทักทายชายที่นอนอยู่บนเตียงเด็กชายเห็นมารดาเดินเข้าออกจากห้องนี้ แถมยังสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้ามาในห้องนี้เด็ดขาด แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ อาจื้อแอบเข้ามาตอนที่มารดาของตนเผลอ“เจ้าหนู เจ้าเป็นใคร” หยวนไป๋เจียนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“ท่านลุงดื่มน้ำก่อน” เด็กชายส่งถ้วยน้ำให้เขาดื่มเมื่อเห็นว่าท่านลุงเคราเฟิ้ม เสียงแหบแทบไม่มีเสียงพูดพอได้ดื่มน้ำ หยวนไป๋เจียนจึงได้รู้สึกว่ามีแรงขึ้นบ้าง เขามองหน้าเด็กชายตรงหน้า ใบหน้าผุดผ่องสะอาดสะอ้าน จักรพรรดิหนุ่มรู้สึกถูกชะตากับเขาอย่างบอกไม่ถูก“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเป็นใคร”“ข้ามีชื่อว่า หนานเฉินจื้อ อายุห้าขวบเป็นบุตรชายคนเล็กของท่านแม่” อาจื้อแนะนำตัวเสียงดังฟังชัด เด็กชายรู้สึกถูกใจชายคนนี้“เจ้าบอกว่าอ
ข่าวจากเมืองทางใต้ถูกส่งไปยังเมืองหลวง นี่เป็นข่าวดีแรกในรอบหลายปีของหยวนไป๋เจียน เมื่อจดหมายมาถึง จักรพรรดิหนุ่มเร่งรีบออกเดินทางในทันทีม้าเร็วถูกจัดเตรียมไว้ยังหัวเมืองต่าง ๆ เขารีบร้อนเดินทางจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน พักผ่อนเพียงสองสามชั่วยาม หยวนไป๋เจียนก็ออกเดินทางต่อ เป็นเช่นนี้อยู่ทุกครั้งที่ถึงช่วงระยะทางหนึ่งใช้เวลาไม่นานหยวนไป๋เจียนก็ถึงเมืองทางใต้ บุรุษตัวสูงในชุดสีเทาสะบัดกายลงจากม้า ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินสีแดงแถมหนวดเคราครึ้มอาคารหลังย่อมอยู่สุดทางของถนนในเมืองทางใต้ปรากฏขึ้น เขารีบลงจากม้าเข้าไปด้านในทันที“ถวายบังคมฝ่าบาท” นายกองและพลทหารประจำกองถวายความเคารพนายเหนือหัวของแผ่นดิน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามีโอกาสเข้าเฝ้า“ไม่ต้องมากความ รีบบอกมาว่าพบเจอนางที่ใด” หยวนไป๋เจียนรีบร้อนให้เขาบอกเรื่องที่พบเจอ“กราบทูลฝ่าบาท นับตั้งแต่วันที่เจอสตรีที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกับฮองเฮา พวกเราก็คอยติดตามเฝ้าดู นางอาศัยอยู่ที่เรือนไม้ชายป่า&rdquo
เพราะไม่ต้องการให้เขาหาตัวพวกนางแม่ลูกเจอ รั่วซีจึงหนีมาอยู่ไกลถึงชายแดนใต้ นางเคยอ่านหนังสือในห้องหนังสือของหยวนไป๋เจียน มีบางเล่มบรรยายว่าภูมิประเทศทางใต้นั้นอุดมสมบูรณ์ เมื่อถึงฤดูหนาวอากาศที่นี่ก็ไม่หนาวจนเกินไป เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบอากาศหนาว อาหารที่นี่ก็อร่อยนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นางมาอยู่ที่นี่ เพราะของกินของภาคใต้เยอะและอร่อยมาก ผู้เขียนบรรยายไว้เช่นนั้นวันนี้รั่วซีนึกอยากเดินตลาด สตรีเช่นนางไม่ค่อยได้มีโอกาสออกมาเที่ยวเล่นนอกบ้านสักเท่าใดนัก นางกลัวว่าตนจะเป็นภาระของผู้อื่น รั่วซีจึงถือโอกาสนาน ๆ ครั้งจะออกมาสักทีหนานเฉินจงและหนานเฉินจื้อสองพี่น้อง ขนาบข้างมารดาของตน คนพี่อยู่ซ้ายคนน้องอยู่ขวาคอยเป็นดวงตาให้มารดาในมือของรั่วซีมีไม้เท้าหนึ่งอัน ซึ่งเป็นของที่เย่ลู่สรรหามาให้ ที่ตัวไม้เท้ามีกระดิ่งกรุ้งกริ้งเป็นสัญญาณนำทางให้นาง“ท่านแม่ วันนี้ในตลาดคึกคักมากเลย” หนานเฉินจื้อผู้เป็นน้องชายพูดเจื้อยแจ้ว ผิดกับหนานเฉินจงที่ไม่ค่อยพูดจา แต่สายตาเขาคอยระแวดระวังภัยให้ผู้เป็นมารดาตลอดเ
ยามเมื่อลมพัด กระดิ่งลมที่แขวนไว้บริเวณชายคาทำให้สตรีเช่นนางรู้สึกสบายใจ นางชอบดมกลิ่นของฤดูกาลต่าง ๆ ยามนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิดอกไม้ต่างแข่งกันเบ่งบานชูช่อ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่รั่วซีทำได้แค่เพียงฟังเสียงและดมกลิ่น นางไม่มีโอกาสได้ชื่นชมดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิมาตอนนี้ก็นับเป็นเวลาห้าปีกว่าแล้วนับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจคลอดบุตรชาย นางก็ยอมละทิ้งทุกอย่างเพียงแค่ให้เขามีชีวิตอยู่“ท่านแม่” เสียงเด็กชายตะโกนเจื้อยแจ้วเข้ามาภายในเขตบ้านเขารู้ว่าดวงตาของมารดามองไม่เห็นยามเมื่อมากลับมาที่บ้านเด็กชายจะตะโกนเรียกผู้เป็นมารดาเสียงดัง พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปให้มารดาสัมผัส เขาทำเช่นนี้จนติดเป็นนิสัย“อาจื้อ” รั่วซีเรียกชื่อบุตรชาย แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่นางก็รักเขาดั่งดวงใจ“ข้าไปตกปลาที่แม่น้ำมา เอามาฝากท่านแม่ด้วย” เด็กชายยื่นข้องที่เต็มไปด้วยปลาให้มารดาลองยกสัมผัส“หนักขนาดนี้แสดงว่าได้มาหลายตัว” รั่วซีนึกเอ็นดู“ขอรับท่านแม่ วันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส่ ทำให้ปลาที่แม่น้ำชุกชุม 
ฝูกงกง แจ้งแก่หนานเจินหยางว่าหยวนไป๋เจียน ผู้เกรียงไกรนั้นดื่มสุราอยู่ที่ตำหนักคุนหนิง เขาจึงรีบไปที่นั่นโดยมีหรงอี้เป็นผู้นำทาง นางเล่าให้ฟังระหว่างทางว่าสมัยตอนที่ยังอยู่ที่นี่ ตนนั้นสนิทกับพี่สะใภ้คนนี้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ชายนำตัวสตรีผู้หนึ่งเข้ามาในวังสตรีผู้นั้นหน้าตาเหมือนกับพี่สะใภ้ไม่มีผิด วันนั้นพวกเขาทะเลาะกันใหญ่โต ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อย ๆเมื่อสตรีตัวกลมที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามหลังเขา พูดถึงสตรีอีกคนที่หน้าคล้ายกับรั่วซียิ่งใจเต้นรัว หรือว่าผู้หญิงคนนั้นที่หยวนไป๋เจียนเจอจะคืออันรั่ว“แล้ววันนั้นทำไมเจ้าไม่ห้ามพวกเขา”“ข้าโดนเสด็จพี่ใช้ทหารเป็นสิบลากตัวออกไป จนพี่สะใภ้เป็นคนสั่งให้ข้ากลับไป ข้าจึงไม่ดื้อดึงรั้งอยู่ต่อ”“อืม” เขาฟังแล้วก็เข้าใจ หยวนไป๋เจียนไม่ใช่คนที่จะถูกขัดใจได้หนานเจินหยางและหรงอี้ทั้งวิ่งทั้งเดินมาจนถึงตำหนักคุนหนิง ไฟในตำหนักไม่ได้ถูกจุด กลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั้งตำหนัก หนานเจินหยางชอบดื่มสุราก็จริง แต่ถ้าให้อยู่กับกลิ่นนี
เกือบ 6 ปีแล้วที่สตรีผู้นั้นออกจากวังไป หยวนไป๋เจียนยังเก็บหนังสือหย่าของนางไว้เป็นอย่างดี มองลายมือหนักแน่นของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันนั้นเขาไม่ได้จรดพู่กันลงไปเพียงแค่ถือไว้เท่านั้น เขาไม่เข้มแข็งพอจะทำเช่นนั้นแต่นางใจแข็งเด็ดเดี่ยว ที่ไล่นางไปวันนั้น หยวนไป๋เจียนไม่คิดว่านางจะไปจริง ๆ หนานรั่วซีกล้าดีอย่างไรถึงออกจากวัง ตอนที่นางเรียกร้องขอความรักจากเขา เป็นเพียงการเล่นตลกของนางงั้นหรือ นางกล้าทิ้งเขาไปได้อย่างไรครานั้นหยวนไป๋เจียนพิโรธหนัก โกรธทุกสิ่งทุกอย่างและยกเลิกพิธีแต่งตั้งกุ้ยเฟยและเต๋อเฟย จนกระทั่งบัดนี้ผ่านมา 6 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีสตรีใดกล้าย่างกายเข้าตำหนักในหกปีมานี้เขาแก่ขึ้นมาก เพราะกำลังวุ่นวายสะสางงานต่าง ๆ แม้กระทั่งโกนหนวดโกนเครายังไม่มีเวลา อีกทั้งตำหนักในยังไม่มีใครมาคอยดูทำหน้าที่ งานหนักส่วนใหญ่จึงตกมาอยู่ที่ฝูกงกง ไม่ว่าใครมาปรนนิบัติหยวนไป๋เจียนก็ขับไล่ออกไปหมด เหลือเพียงขันทีสองสามคนเท่านั้นเป็นเวลาหลายปีที่หนานเจินหยางไม่ได้พบหน้าน้องสาวทั้งสองคน คนหนึ่งหายสาบสูญ คนหนึ่งแต่