ความซุกซนขององค์ชายเฉินจื้อและองค์ชายเฉินจง เล่นเอาฝูกงกงแทบอยากจะบ้านตาย เด็กชายสองคนไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาวิ่งเล่นได้ทั้งวัน
เมื่อวันก่อนก็เกือบจะเผาวังหลวงของเป่ยฮั่น ดีฝ่าบาททรงมาเห็นเสียก่อน ไม่เช่นนั้นได้ย้ายวังหลวงแน่ ๆ
ตั้งแต่รู้ว่าฝ่าบาทมีองค์ชายถึงสองพระองค์ในใจตอนแรกก็ปีติยินดีนัก เขารู้สึกเหมือนได้ผ่อนคลายความกังวล
เท่าที่ทราบในวัยเยาว์ของฝ่าบาทและฮองเฮาก็ไม่ใช่ผู้ซุกซน ไม่รู้ว่าองค์ชายทั้งสองพระองค์ไปลอกเลียนนิสัยเช่นนี้มาจากไหน
“องค์ชายเฉินจื้อกลับลงมาเถอะ อย่าปีนขึ้นไปมัน” ฝูกงกงหันไปอีกทีหยวนเฉินจื้อก็ปีนขึ้นไปเก็บผลไม้เสียแล้ว พอหันกลับมาทางขวา องค์ชายเฉินจงก็กำลังจับปลาในสระบัว “องค์ชายเฉินจง อย่าลงไปมันอันตราย”
ฝูกงกงหันซ้ายทีขวาที ในที่สุดเขาก็เป็นลมจริง ๆ
เด็กชายเห็นสหายเป็นลมก็ปรี่เข้ามาช่วยเหลือ ร้องเรียกตะโกนให้คนในบริเวณนั้นช่วย ฝูกงกงถูกพาไปโรงหมอหลวง นอนซมอยู่หลายวันกว่าจะลุกขึ้นมากระฉับกระเฉงดังเก่า
ตอนนี้รั่วซีก็ไม่ได้มีแ
ความซุกซนขององค์ชายเฉินจื้อและองค์ชายเฉินจง เล่นเอาฝูกงกงแทบอยากจะบ้านตาย เด็กชายสองคนไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาวิ่งเล่นได้ทั้งวันเมื่อวันก่อนก็เกือบจะเผาวังหลวงของเป่ยฮั่น ดีฝ่าบาททรงมาเห็นเสียก่อน ไม่เช่นนั้นได้ย้ายวังหลวงแน่ ๆตั้งแต่รู้ว่าฝ่าบาทมีองค์ชายถึงสองพระองค์ในใจตอนแรกก็ปีติยินดีนัก เขารู้สึกเหมือนได้ผ่อนคลายความกังวลเท่าที่ทราบในวัยเยาว์ของฝ่าบาทและฮองเฮาก็ไม่ใช่ผู้ซุกซน ไม่รู้ว่าองค์ชายทั้งสองพระองค์ไปลอกเลียนนิสัยเช่นนี้มาจากไหน“องค์ชายเฉินจื้อกลับลงมาเถอะ อย่าปีนขึ้นไปมัน” ฝูกงกงหันไปอีกทีหยวนเฉินจื้อก็ปีนขึ้นไปเก็บผลไม้เสียแล้ว พอหันกลับมาทางขวา องค์ชายเฉินจงก็กำลังจับปลาในสระบัว “องค์ชายเฉินจง อย่าลงไปมันอันตราย”ฝูกงกงหันซ้ายทีขวาที ในที่สุดเขาก็เป็นลมจริง ๆเด็กชายเห็นสหายเป็นลมก็ปรี่เข้ามาช่วยเหลือ ร้องเรียกตะโกนให้คนในบริเวณนั้นช่วย ฝูกงกงถูกพาไปโรงหมอหลวง นอนซมอยู่หลายวันกว่าจะลุกขึ้นมากระฉับกระเฉงดังเก่าตอนนี้รั่วซีก็ไม่ได้มีแ
หยวนไป๋เจียนแบกเด็กชายขึ้นหลัง พูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ให้เขาคลายกังวล จนกระทั่งเสียงเจื้อยแจ้วเปลี่ยนเป็นเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ นั่นบ่งบอกว่าตอนนี้เด็กชายกำลังเข้าสู่ห้วงนิทรา ตอนนี้ก็ใกล้เข้าสู่ช่วงเวลาสนธยา อาจงคงเหนื่อยมาก หยวนไป๋เจียนนึกเอ็นดูบุรุษตัวสูงกระชับตัวเขาให้แน่นขึ้นจากนั้นเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงเรือนไม้ไผ่รั่วซีที่กำลังนั่งร้องไห้เศร้าสร้อย รอคอยข่าวอย่างมีความหวังตลอดทั้งวัน วันนี้ทั้งวันนางแทบไม่เป็นอันทำอะไร จนถึงเวลานี้อาจื้อเองก็ดูเหมือนจะหมดแรงรอคอยหลับไปล่วงหน้าแล้วเด็กชายผู้น้องเป็นห่วงพี่ชายไม่แพ้กันเขาเป็นกังวล หากพี่ชายไม่กลับมาเล่าเขาจะอยู่อย่างไร เล่นกับใคร ถ้าเขาโดนพวกเด็กในตลาดรังแกอีกเขาจะขอร้องให้ใครช่วยเหลือ เด็กชายเสียใจร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไปข้าง ๆ ผู้เป็นแม่เสียงฝีเท้าของหยวนไป๋เจียนดังเข้ามาเรื่อย ๆ นางคลำทางไปหาเขาคนตัวเล็กกำลังจะส่งเสียงเพื่อพูดกับเขา แต่หยวนไป๋เจียนกลับร้องชู่ว์เบา ๆ ดักเอาไว้ก่อน“อาจงกำลังหลับ อย่าเพิ่งรบกวนเขา” หยวนไป๋เจียนบอกกับนางนางพยักหน้าหงึก
แม้นางจะไม่ตอบคำถามของเขาว่าอาจื้อเป็นใครแต่หยวนไป๋เจียนก็พอจะเดาได้ว่า เด็กคนนี้เป็นบุตรของเขาอย่างแน่นอนส่วนเด็กชายวัยสิบขวบอีกคนเล่าเป็นใครกัน?เด็กคนนี้มีความหมายเช่นไรกับพวกนาง?เขาจะต้องถามให้รู้เรื่องให้ได้ และถ้าหากไม่ได้มีส่วนสำคัญอะไร เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องสนใจเด็กชายผู้นั้น หยวนไป๋เจียนดูออกว่าเด็กชายไม่ชอบหน้าตนส่วนตัวของเด็กชายผู้พี่ก็ไม่ชอบหน้าบุรุษคนนั้นเช่นกัน แตกต่างกับเด็กชายผู้น้องที่ดูเหมือนว่าจะถูกชะตากับคนเขาเป็นพิเศษ อีกทั้งตัวหยวนไป๋เจียนก็เอ็นดูหนานเฉินจื้อออกนอกหน้าแม้หนานเฉินจงจะเป็นเด็ก เขาก็รับรู้ได้ว่ามารดามีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับเขา หนานเฉินจงรู้ตัวดีว่าเป็นเพียงลูกเลี้ยง แม้จะไม่ชอบเขาขนาดไหนแต่ก็ยังมีความเกรงใจผู้เป็นแม่อยู่มาก เด็กชายรู้จักประมาณตนและรู้ว่าควรอยู่ตรงจุดใด“อาจง” เย่ลู่เห็นเด็กชายออกมานั่งซึมที่มุมหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ จึงตามออกมาดู“ขอรับท่านหมอ”เด็กชายดูเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด“ทำไมสองสามวันมานี้เจ้าถึงดูซึมนั
เขาฝัน!! เขาฝันว่าซีเอ๋อหนีเขาไปอีกครั้ง หยวนไป๋เจียนสะดุ้งตื่นในอีกวัน เขาพบว่าตอนนี้มีเด็กชายตัวเล็กกำลังนั่งจ้องมองเขาอยู่ข้างเตียง“ท่านลุงเคราเฟิ้ม ท่านมานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” หนานเฉินจื้อทักทายชายที่นอนอยู่บนเตียงเด็กชายเห็นมารดาเดินเข้าออกจากห้องนี้ แถมยังสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้ามาในห้องนี้เด็ดขาด แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ อาจื้อแอบเข้ามาตอนที่มารดาของตนเผลอ“เจ้าหนู เจ้าเป็นใคร” หยวนไป๋เจียนพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“ท่านลุงดื่มน้ำก่อน” เด็กชายส่งถ้วยน้ำให้เขาดื่มเมื่อเห็นว่าท่านลุงเคราเฟิ้ม เสียงแหบแทบไม่มีเสียงพูดพอได้ดื่มน้ำ หยวนไป๋เจียนจึงได้รู้สึกว่ามีแรงขึ้นบ้าง เขามองหน้าเด็กชายตรงหน้า ใบหน้าผุดผ่องสะอาดสะอ้าน จักรพรรดิหนุ่มรู้สึกถูกชะตากับเขาอย่างบอกไม่ถูก“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าเป็นใคร”“ข้ามีชื่อว่า หนานเฉินจื้อ อายุห้าขวบเป็นบุตรชายคนเล็กของท่านแม่” อาจื้อแนะนำตัวเสียงดังฟังชัด เด็กชายรู้สึกถูกใจชายคนนี้“เจ้าบอกว่าอ
ข่าวจากเมืองทางใต้ถูกส่งไปยังเมืองหลวง นี่เป็นข่าวดีแรกในรอบหลายปีของหยวนไป๋เจียน เมื่อจดหมายมาถึง จักรพรรดิหนุ่มเร่งรีบออกเดินทางในทันทีม้าเร็วถูกจัดเตรียมไว้ยังหัวเมืองต่าง ๆ เขารีบร้อนเดินทางจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน พักผ่อนเพียงสองสามชั่วยาม หยวนไป๋เจียนก็ออกเดินทางต่อ เป็นเช่นนี้อยู่ทุกครั้งที่ถึงช่วงระยะทางหนึ่งใช้เวลาไม่นานหยวนไป๋เจียนก็ถึงเมืองทางใต้ บุรุษตัวสูงในชุดสีเทาสะบัดกายลงจากม้า ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินสีแดงแถมหนวดเคราครึ้มอาคารหลังย่อมอยู่สุดทางของถนนในเมืองทางใต้ปรากฏขึ้น เขารีบลงจากม้าเข้าไปด้านในทันที“ถวายบังคมฝ่าบาท” นายกองและพลทหารประจำกองถวายความเคารพนายเหนือหัวของแผ่นดิน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขามีโอกาสเข้าเฝ้า“ไม่ต้องมากความ รีบบอกมาว่าพบเจอนางที่ใด” หยวนไป๋เจียนรีบร้อนให้เขาบอกเรื่องที่พบเจอ“กราบทูลฝ่าบาท นับตั้งแต่วันที่เจอสตรีที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกับฮองเฮา พวกเราก็คอยติดตามเฝ้าดู นางอาศัยอยู่ที่เรือนไม้ชายป่า&rdquo
เพราะไม่ต้องการให้เขาหาตัวพวกนางแม่ลูกเจอ รั่วซีจึงหนีมาอยู่ไกลถึงชายแดนใต้ นางเคยอ่านหนังสือในห้องหนังสือของหยวนไป๋เจียน มีบางเล่มบรรยายว่าภูมิประเทศทางใต้นั้นอุดมสมบูรณ์ เมื่อถึงฤดูหนาวอากาศที่นี่ก็ไม่หนาวจนเกินไป เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบอากาศหนาว อาหารที่นี่ก็อร่อยนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นางมาอยู่ที่นี่ เพราะของกินของภาคใต้เยอะและอร่อยมาก ผู้เขียนบรรยายไว้เช่นนั้นวันนี้รั่วซีนึกอยากเดินตลาด สตรีเช่นนางไม่ค่อยได้มีโอกาสออกมาเที่ยวเล่นนอกบ้านสักเท่าใดนัก นางกลัวว่าตนจะเป็นภาระของผู้อื่น รั่วซีจึงถือโอกาสนาน ๆ ครั้งจะออกมาสักทีหนานเฉินจงและหนานเฉินจื้อสองพี่น้อง ขนาบข้างมารดาของตน คนพี่อยู่ซ้ายคนน้องอยู่ขวาคอยเป็นดวงตาให้มารดาในมือของรั่วซีมีไม้เท้าหนึ่งอัน ซึ่งเป็นของที่เย่ลู่สรรหามาให้ ที่ตัวไม้เท้ามีกระดิ่งกรุ้งกริ้งเป็นสัญญาณนำทางให้นาง“ท่านแม่ วันนี้ในตลาดคึกคักมากเลย” หนานเฉินจื้อผู้เป็นน้องชายพูดเจื้อยแจ้ว ผิดกับหนานเฉินจงที่ไม่ค่อยพูดจา แต่สายตาเขาคอยระแวดระวังภัยให้ผู้เป็นมารดาตลอดเ