เกือบ 6 ปีแล้วที่สตรีผู้นั้นออกจากวังไป หยวนไป๋เจียนยังเก็บหนังสือหย่าของนางไว้เป็นอย่างดี มองลายมือหนักแน่นของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันนั้นเขาไม่ได้จรดพู่กันลงไปเพียงแค่ถือไว้เท่านั้น เขาไม่เข้มแข็งพอจะทำเช่นนั้น
แต่นางใจแข็งเด็ดเดี่ยว ที่ไล่นางไปวันนั้น หยวนไป๋เจียนไม่คิดว่านางจะไปจริง ๆ หนานรั่วซีกล้าดีอย่างไรถึงออกจากวัง ตอนที่นางเรียกร้องขอความรักจากเขา เป็นเพียงการเล่นตลกของนางงั้นหรือ นางกล้าทิ้งเขาไปได้อย่างไร
ครานั้นหยวนไป๋เจียนพิโรธหนัก โกรธทุกสิ่งทุกอย่างและยกเลิกพิธีแต่งตั้งกุ้ยเฟยและเต๋อเฟย จนกระทั่งบัดนี้ผ่านมา 6 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีสตรีใดกล้าย่างกายเข้าตำหนักใน
หกปีมานี้เขาแก่ขึ้นมาก เพราะกำลังวุ่นวายสะสางงานต่าง ๆ แม้กระทั่งโกนหนวดโกนเครายังไม่มีเวลา อีกทั้งตำหนักในยังไม่มีใครมาคอยดูทำหน้าที่ งานหนักส่วนใหญ่จึงตกมาอยู่ที่ฝูกงกง ไม่ว่าใครมาปรนนิบัติหยวนไป๋เจียนก็ขับไล่ออกไปหมด เหลือเพียงขันทีสองสามคนเท่านั้น
เป็นเวลาหลายปีที่หนานเจินหยางไม่ได้พบหน้าน้องสาวทั้งสองคน คนหนึ่งหายสาบสูญ คนหนึ่งแต่
เพราะไม่ต้องการให้เขาหาตัวพวกนางแม่ลูกเจอ รั่วซีจึงหนีมาอยู่ไกลถึงชายแดนใต้ นางเคยอ่านหนังสือในห้องหนังสือของหยวนไป๋เจียน มีบางเล่มบรรยายว่าภูมิประเทศทางใต้นั้นอุดมสมบูรณ์ เมื่อถึงฤดูหนาวอากาศที่นี่ก็ไม่หนาวจนเกินไป เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบอากาศหนาว อาหารที่นี่ก็อร่อยนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นางมาอยู่ที่นี่ เพราะของกินของภาคใต้เยอะและอร่อยมาก ผู้เขียนบรรยายไว้เช่นนั้นวันนี้รั่วซีนึกอยากเดินตลาด สตรีเช่นนางไม่ค่อยได้มีโอกาสออกมาเที่ยวเล่นนอกบ้านสักเท่าใดนัก นางกลัวว่าตนจะเป็นภาระของผู้อื่น รั่วซีจึงถือโอกาสนาน ๆ ครั้งจะออกมาสักทีหนานเฉินจงและหนานเฉินจื้อสองพี่น้อง ขนาบข้างมารดาของตน คนพี่อยู่ซ้ายคนน้องอยู่ขวาคอยเป็นดวงตาให้มารดาในมือของรั่วซีมีไม้เท้าหนึ่งอัน ซึ่งเป็นของที่เย่ลู่สรรหามาให้ ที่ตัวไม้เท้ามีกระดิ่งกรุ้งกริ้งเป็นสัญญาณนำทางให้นาง“ท่านแม่ วันนี้ในตลาดคึกคักมากเลย” หนานเฉินจื้อผู้เป็นน้องชายพูดเจื้อยแจ้ว ผิดกับหนานเฉินจงที่ไม่ค่อยพูดจา แต่สายตาเขาคอยระแวดระวังภัยให้ผู้เป็นมารดาตลอดเ
ยามเมื่อลมพัด กระดิ่งลมที่แขวนไว้บริเวณชายคาทำให้สตรีเช่นนางรู้สึกสบายใจ นางชอบดมกลิ่นของฤดูกาลต่าง ๆ ยามนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิดอกไม้ต่างแข่งกันเบ่งบานชูช่อ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่รั่วซีทำได้แค่เพียงฟังเสียงและดมกลิ่น นางไม่มีโอกาสได้ชื่นชมดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิมาตอนนี้ก็นับเป็นเวลาห้าปีกว่าแล้วนับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจคลอดบุตรชาย นางก็ยอมละทิ้งทุกอย่างเพียงแค่ให้เขามีชีวิตอยู่“ท่านแม่” เสียงเด็กชายตะโกนเจื้อยแจ้วเข้ามาภายในเขตบ้านเขารู้ว่าดวงตาของมารดามองไม่เห็นยามเมื่อมากลับมาที่บ้านเด็กชายจะตะโกนเรียกผู้เป็นมารดาเสียงดัง พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปให้มารดาสัมผัส เขาทำเช่นนี้จนติดเป็นนิสัย“อาจื้อ” รั่วซีเรียกชื่อบุตรชาย แม้จะไม่เคยเห็นหน้า แต่นางก็รักเขาดั่งดวงใจ“ข้าไปตกปลาที่แม่น้ำมา เอามาฝากท่านแม่ด้วย” เด็กชายยื่นข้องที่เต็มไปด้วยปลาให้มารดาลองยกสัมผัส“หนักขนาดนี้แสดงว่าได้มาหลายตัว” รั่วซีนึกเอ็นดู“ขอรับท่านแม่ วันนี้อากาศค่อนข้างแจ่มใส่ ทำให้ปลาที่แม่น้ำชุกชุม 
ฝูกงกง แจ้งแก่หนานเจินหยางว่าหยวนไป๋เจียน ผู้เกรียงไกรนั้นดื่มสุราอยู่ที่ตำหนักคุนหนิง เขาจึงรีบไปที่นั่นโดยมีหรงอี้เป็นผู้นำทาง นางเล่าให้ฟังระหว่างทางว่าสมัยตอนที่ยังอยู่ที่นี่ ตนนั้นสนิทกับพี่สะใภ้คนนี้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่ชายนำตัวสตรีผู้หนึ่งเข้ามาในวังสตรีผู้นั้นหน้าตาเหมือนกับพี่สะใภ้ไม่มีผิด วันนั้นพวกเขาทะเลาะกันใหญ่โต ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อย ๆเมื่อสตรีตัวกลมที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามหลังเขา พูดถึงสตรีอีกคนที่หน้าคล้ายกับรั่วซียิ่งใจเต้นรัว หรือว่าผู้หญิงคนนั้นที่หยวนไป๋เจียนเจอจะคืออันรั่ว“แล้ววันนั้นทำไมเจ้าไม่ห้ามพวกเขา”“ข้าโดนเสด็จพี่ใช้ทหารเป็นสิบลากตัวออกไป จนพี่สะใภ้เป็นคนสั่งให้ข้ากลับไป ข้าจึงไม่ดื้อดึงรั้งอยู่ต่อ”“อืม” เขาฟังแล้วก็เข้าใจ หยวนไป๋เจียนไม่ใช่คนที่จะถูกขัดใจได้หนานเจินหยางและหรงอี้ทั้งวิ่งทั้งเดินมาจนถึงตำหนักคุนหนิง ไฟในตำหนักไม่ได้ถูกจุด กลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั้งตำหนัก หนานเจินหยางชอบดื่มสุราก็จริง แต่ถ้าให้อยู่กับกลิ่นนี
เกือบ 6 ปีแล้วที่สตรีผู้นั้นออกจากวังไป หยวนไป๋เจียนยังเก็บหนังสือหย่าของนางไว้เป็นอย่างดี มองลายมือหนักแน่นของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า วันนั้นเขาไม่ได้จรดพู่กันลงไปเพียงแค่ถือไว้เท่านั้น เขาไม่เข้มแข็งพอจะทำเช่นนั้นแต่นางใจแข็งเด็ดเดี่ยว ที่ไล่นางไปวันนั้น หยวนไป๋เจียนไม่คิดว่านางจะไปจริง ๆ หนานรั่วซีกล้าดีอย่างไรถึงออกจากวัง ตอนที่นางเรียกร้องขอความรักจากเขา เป็นเพียงการเล่นตลกของนางงั้นหรือ นางกล้าทิ้งเขาไปได้อย่างไรครานั้นหยวนไป๋เจียนพิโรธหนัก โกรธทุกสิ่งทุกอย่างและยกเลิกพิธีแต่งตั้งกุ้ยเฟยและเต๋อเฟย จนกระทั่งบัดนี้ผ่านมา 6 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีสตรีใดกล้าย่างกายเข้าตำหนักในหกปีมานี้เขาแก่ขึ้นมาก เพราะกำลังวุ่นวายสะสางงานต่าง ๆ แม้กระทั่งโกนหนวดโกนเครายังไม่มีเวลา อีกทั้งตำหนักในยังไม่มีใครมาคอยดูทำหน้าที่ งานหนักส่วนใหญ่จึงตกมาอยู่ที่ฝูกงกง ไม่ว่าใครมาปรนนิบัติหยวนไป๋เจียนก็ขับไล่ออกไปหมด เหลือเพียงขันทีสองสามคนเท่านั้นเป็นเวลาหลายปีที่หนานเจินหยางไม่ได้พบหน้าน้องสาวทั้งสองคน คนหนึ่งหายสาบสูญ คนหนึ่งแต่
หนังสือหย่าถูกวางไว้บนโต๊ะในตำหนักคุนหนิง นางไม่ได้แตะต้องมันอีกหลังจากที่หยวนไป๋เจียนจรดพู่กันลงในจดหมายเช้าวันรุ่งขึ้นรั่วซีนั่งรถม้าออกจากวังแบบเงียบ ๆ ไม่มีใครออกมาส่งนาง เพราะทุกคนกำลังวุ่นวายกับพิธีแต่งตั้งกุ้ยเฟยและเต๋อเฟยรถม้าเคลื่อนผ่านตำหนัก ต่อด้วยอุทยานหลวง นางมองด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นรั่วซีก็ปิดม่านลงกลับมานั่งหลับตาอยู่บนรถม้าจนในที่สุดนางก็ออกมาพ้นเขตวังหลวง“นายหญิงจะให้ข้าไปส่งท่านที่ไหน” คนรถถามเพราะเห็นว่าออกมาจากวังได้สักพักแล้วนางก็ยังไม่บอกจุดหมายนั่นสิ จะไปที่ไหนดี “งั้นวันนี่พักที่โรงน้ำชานอกเมืองก็แล้วกัน” นางสั่งคนรถ“ขอรับ” เขารับปากและขับออกไปเรื่อย ๆความอัดอั้นที่นางมีทั้งหมดเหมือนถูกยกออกจากอก นางรู้สึกว่าสามารถหายใจได้ทั่วท้อง รั่วซียังไม่ได้คิดแผนการต่อไปว่าจะเอาอย่างไรดี ขอไปนอนคิดสักหนึ่งคืนก็แล้วกันตอนนี้นางถือได้ว่าอยู่ตัวคนเดียว แต่อีกไม่นานนางชีวิตนางก็จะกลายไปสองคน ยิ่งคิดถึงรั่วซีย
หยวนไป๋เจียนออกไปจากตำหนักตั้งแต่เช้าโดยที่ไม่รบกวนนาง แต่พอนางตื่นขึ้นมาไม่เห็นเขาความรู้สึกโดดเดี่ยวถาโถมเข้ามา เมื่อคืนเขายังละเมอถึงอันรั่ว เขายังคงรักนางตัดใจจากนางไม่ได้เรื่องราวมันเป็นเช่นนั้นที่เขาพูดว่าตลอดไปมันจะเป็นไปได้อย่างไร?ในเมื่อหัวใจเขายังไม่ตัดขาดจากอันรั่ว ความรักของนางจะมีประโยชน์สำหรับเขาจริงหรือหรือว่าที่เขาทนให้นางอยู่เคียงข้างกัน ก็เพราะเห็นว่านางเป็นเพียงตัวแทนของอันรั่วเท่านั้นรั่วซียิ่งคิดยิ่งทรมานใจ สองมือลูบท้องพอง ๆ ของนางอย่างอ่อนโยนกระทั่งช่วยสาย ชิงเฟยจึงขอเข้าเฝ้า ทุกครั้งที่นางมาตรวจข้ารับใช้ในตำหนักจะถูกสั่งให้ออกไปนอกห้องให้หมดชิงเฟยมองรอบกายเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ จึงเริ่มทำการตรวจร่างกาย“เป็นอย่างไรบ้างเพคะ ตอนนี้ก็น่าจะใกล้ 3 เดือนแล้ว”“ไม่รู้สิ” รั่วซีตอบส่งๆ“ไม่รู้ไม่ได้สิเพคะ” ชิงเฟยขมวดคิ้ว“ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ แล้วก็แทบไม่แพ้ท้องเลยด้วยซ้ำ”“ง