จวนตระกูลหลี่
หลี่เหวินหลางแม่ทัพหนุ่มรูปงามกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยท่าทีเคร่งขรึม ก่อนจะกลายเป็นบูดบึ้งเมื่อคิดถึงคำพูดของโจวเฟิ่งจิ่วที่มาหาเขาถึงเรือน
‘พี่เหวินเจ้าคะ ข้าไม่รู้ว่าสิ่งต่อไปนี้ข้าสมควรพูดหรือไม่ แต่ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะว่าข้าต้องพูด หากข้าพูดไปแล้วพี่เหวินไม่เชื่อหรือต่อว่าข้า ข้าก็ยอมเจ้าค่ะ’
‘พูดมาเถิด ข้าสัญญาว่าจะไม่ต่อว่าเจ้า’ หลี่เหวินหลางบอกพร้อมทั้งสงสัยว่าเรื่องที่โจวเฟิ่งจิ่วจะพูดคือเรื่องใดกัน เหตุใดนางถึงได้กังวลนัก
‘คือคนของข้าเห็นฟางเซียนนางไปที่ตลาดเจ้าค่ะ’
‘แล้วอย่างไร นางไปตลาดก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ ทั้งร้านผ้าสินทรัพย์ส่วนตัวของนางก็อยู่ที่นั่น... หรือว่ามีอะไรที่ข้าควรรู้กัน’ หลี่
เหวินหลางถามกลับด้วยความสงสัยมากกว่าเดิม หัวคิ้วของเขาขมวดน้อย ๆ เมื่อเห็นว่านางทำท่าทางไม่อยากจะพูด แต่แล้วก็พูดออกมา‘คือฟางเซียนนาง... นางชนเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งแล้วยืนหัวร่อต่อกระซิกกันเจ้าค่ะ นอกจากนี้ยังไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมด้วยเจ้าค่ะ ชาวบ้านทุกคนที่ไปจับจ่ายใช้สอยล้วนเห็นกิริยานี้ของนางกับบุรุษผู้นั้นทั้งสิ้น คนของข้าบอกว่าดูเหมือนนางกับบุรุษผู้นั้นสนิทกันด้วยนะเจ้าคะ ครั้นคนของข้าเห็นว่านางเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมจึงได้รีบมาบอกข้า ข้าจึงได้มาหาพี่เหวินในวันนี้และบอกกล่าวให้ฟังนี่แหละเจ้าค่ะ’
‘พี่เหวินอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ มันอาจไม่ได้เป็นอย่างคำพูดคนของข้าก็ได้ ข้าว่าบางทีคนของข้าอาจเข้าใจผิด แต่ที่ข้าบอกพี่เหวินก็เพราะว่ากลัวพี่เหวินจะไปรู้จากผู้อื่นเข้า แล้วเอ่อ... จะเป็นเรื่องเป็นราวกับฟางเซียนน่ะเจ้าค่ะ สำหรับข้า ข้าคิดว่าฟางเซียนคงจะมีเหตุผล จึงได้ยิ้มแย้มกับบุรุษผู้นั้นอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะมีใครสนใจและต่อว่านางหรือไม่เจ้าค่ะ’ ได้ฟังคำบอกเล่าของโจวเฟิ่งจิ่ว หลี่เหวินหลางก็นิ่งไป ก่อนถามว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร แต่นางก็ไม่ทราบ เขาจึงพูดคุยกับนางเล็กน้อยแล้วให้นางกลับจวนเพราะเกรงว่าจะไม่เหมาะสมแล้วนางจะดูไม่ดี ซึ่งโจวเฟิ่งจิ่วก็รับคำอย่างว่าง่าย ก่อนกลับยังส่งยิ้มหวานสายตาหยาดเยิ้มมาให้เขาด้วย
คล้อยหลังโจวเฟิ่งจิ่ว แม่ทัพหนุ่มก็สั่งให้คนของตนไปสืบดูทันทีว่าเรื่องที่นางนำมาพูดกับเขาจริงหรือไม่ และตอนนี้ที่นั่งหน้าตาบูดบึ้งถมึงทึงก็เพราะว่าคนที่ให้ไปสืบข่าวกลับมาแล้ว และบอกว่าสิ่งที่บุตรสาวตระกูลโจวพูดนั้นเป็นเรื่องจริงที่นางชนกับบุรุษอื่น ยืนพูดคุย และไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมด้วยกัน ส่วนบุรุษผู้นั้นคือ หยางตงเยว่ บุตรชายตระกูลหยาง!
“นางกลับมาหรือยังตงผิง”
“กำลังกลับขอรับท่านแม่ทัพ”
“นางออกไปตั้งแต่ยามซื่อ[1] จนตอนนี้จะเข้ายามเซิน[2] แล้ว มาคิดดูแล้วนางออกไปจากจวนถึงสามชั่วยาม![3] ดียิ่ง! แล้วองครักษ์ที่ข้าสั่งให้จับตาดูนางไว้เล่าได้บอกอันใดหรือไม่” หลี่เหวินหลางพูดพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ไม่ขอรับ บอกแค่ว่าทุกอย่างปกติดี ส่วนคุณชายหยางตงเยว่กับฮู... เอ่อ คุณหนูฟางเซียนน่ะขอรับ ทั้งสองเดินชนกันจึงได้ขอโทษและแนะนำตัวจากนั้นจึงได้เลือกคบหากันเป็นสหาย” ตงผิงเอ่ยบอก เกือบถูกทำโทษแล้วเชียวเพียงเพราะเรียกไป๋ฟางเซียนว่า ‘ฮูหยิน’ ดีที่เห็นสายตาผู้เป็นนายมองมาจึงเปลี่ยนคำเรียกขานได้ทัน แล้วรายงานไปตามที่ตนสืบรู้มาจากองครักษ์ที่ให้ติดตามไป๋ฟางเซียนอย่างลับ ๆ อีกที
“เหอะ สหายรึ สตรีกับบุรุษเป็นสหายกันเช่นนั้นรึ” หลี่เหวินหลางหัวเราะหยันในลำคอพร้อมพูด ดวงตาฉายแววไม่พอใจคลื่นอารมณ์ความไม่ยินยอมพาดผ่านในดวงตา
“ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมานิสัยนางก็เปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อก่อนเกรงกลัวข้า แต่หลังฟื้นขึ้นมากลับไม่กลัวข้าเลยสักนิด เห็นทีข้าคงต้องสั่งสอนเจ้าสักครา”
หลี่เหวินหลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่คนที่ฟังอย่างตงผิงรวมถึงองครักษ์กลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบ พลางไว้อาลัยให้แก่คุณหนูฟางเซียนและภาวนาให้นางไม่เป็นอันใด เพียงเค่อ[4] ต่อมาหลี่เหวินหลางก็พาตนเองไปที่ห้องของนาง เขายืนรอนางอยู่ด้านในด้วยความสงบนิ่งหลังจากคนของเขามาบอกว่านางมาถึงหน้าประตูจวนแล้ว และไม่นานหลังจากนั้นแม่ทัพหนุ่มก็ได้ยินเสียงหวานใสพูดคุยหยอกล้อกับสาวใช้คนสนิทของนางดังมาจากด้านนอก
“เจ้าไปพักเถิดจื่อถิง ข้าก็จะพักเช่นกัน”
“เจ้าค่ะคุณหนู หากคุณหนูต้องการสิ่งใดเรียกหาข้านะเจ้าคะ” ไป๋ฟางเซียนไม่ตอบแต่พยักหน้ารับ จากนั้นจึงเปิดประตูเข้าไปห้องนอนของตนทันที
ทว่าเพียงบานประตูเปิดออกนางก็ต้องมุ่นคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อคนที่ออกปากว่าเกลียดชังนางมายืนรอนางเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ภายในห้อง ไป๋ฟางเซียนมองเขาขึ้น ๆ ลง ๆ หลายครั้ง ยังไม่ทันจะถามหรือพูดอะไรก็ถูกอีกฝ่ายกระชากเข้าไปในห้องอย่างแรง พร้อมทั้งปิดประตูลงกลอนเองเสร็จสรรพ
ปัง!
[1] ยามซื่อ คือ 09:00 -10:59 น.
[2] ยามเซิน คือ 15:00 - 16:59 น.
[3] 1 ชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง ดังนั้น สามชั่วยาม เท่ากับ 6 ชั่วโมง
[4] เค่อ เท่ากับ 15 นาที
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร