“เป็นบ้าอันใดของท่าน! จู่ ๆ มากระชากแขนข้า ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษควรกระทำรึ” ไป๋ฟางเซียนตะคอกเสียงถามด้วยความโกรธ มือซ้ายยกขึ้นลูบข้อมือขวาที่ถูกกระชากอย่างแผ่วเบาเพราะรู้สึกเจ็บ การกระทำของฝ่ามือใหญ่เมื่อครู่ยังเผยให้เห็นรอยแดงเป็นปื้นด้วย
“ข้าควรเป็นฝ่ายถามเจ้ามากกว่าว่าการกระทำที่เจ้ากระทำตนเช่นในวันนี้มันเหมาะสมแล้วรึ” หลี่เหวินหลางถามกลับอย่างไม่ยินยอมเช่นกัน ทั้งสองส่งสายตาประสานกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ต่างคนต่างโกรธ ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ทนไม่ไหวถามออกไปด้วยความไม่เข้าใจว่านางทำอันใดผิดกัน อีกฝ่ายถึงได้มาอารมณ์เสียใส่และมีท่าทีกรุ่นโกรธเช่นนี้
“ข้าทำอะไร”
“ยังมีหน้ามาถาม” หลี่เหวินหลางมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อพร้อมทั้งสะบัดหน้าหนี
“ถ้าท่านไม่พูดข้าจะรู้ไหมว่าข้าทำอันใดผิด” นางถามกลับเรียบ ๆ ในห้วงความคิดพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวว่าตนได้เผลอไปทำลายนางในดวงใจของเขาหรือไม่ ครั้นคิดกี่ตลบคำตอบก็เป็นเช่นเดียวกันคือนางไม่ได้วุ่นวายกับโจวเฟิ่งจิ่วเลย แล้วการที่อีกฝ่ายหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ตอนนี้มันเป็นเพราะเหตุใด?
“ฮึ่ม! ไป๋ฟางเซียน ข้าไม่รู้นะว่าตอนที่เจ้าตกน้ำหัวของเจ้าไปกระแทกกับอะไรหรือไม่ เหตุใดจึงได้หลงลืมจารีตประเพณี ลืมว่าสตรีที่ดีควรกระทำตนเช่นไร”
ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ไป๋ฟางเซียนก็ไม่เข้าใจหนักกว่าเดิม คิ้วเรียวสวยของนางขมวดเข้าหากันแน่น แล้วมองมาที่เขาเป็นสายตาซึ่งเต็มไปด้วยคำถาม จากนั้นจึงแย้งกลับไปว่า
“แล้วข้าประพฤติตัวไม่ดีตรงไหน ทุกอย่างก็ปกติดีนี่”
“ออกเรือนแล้วไปเดินให้ท่าบุรุษอื่นที่ตลาด หัวร่อต่อกระซิกกันให้ชาวบ้านได้เห็นเนี่ยนะเป็นการกระทำที่ดี เจ้าเลอะเลือนแล้วหรือ!” ยิ่งพูด
หลี่เหวินหลางก็ยิ่งหงุดหงิด จนอยากบีบคอสตรีตรงหน้าตนเสียให้รู้แล้วรู้รอด เหตุใดนางจึงเป็นคนเช่นนี้ คุยกับนางทีไรเขาต้องโมโหอยู่เรื่อยส่วนไป๋ฟางเซียนที่ได้ยินคำพูดของเขาชัดเต็มสองรูหูก็ควันออกหู นี่เขาด่านางว่าไปให้ท่าผู้ชายอย่างนั้นหรือ
“แค่ข้าพูดคุยหัวเราะกับสหายก็ผิดด้วยหรือเจ้าคะ มีกฎข้อไหนบัญญัติไว้ว่าห้ามไม่ให้สตรีมีสหายเป็นบุรุษ มีข้อไหนบอกว่าห้ามสตรีที่ออกเรือนแล้วหัวเราะหรือพูดคุยกับบุรุษอื่น ถ้าบุรุษที่ท่านหมายถึงเป็น
หยางตงเยว่ละก็ ข้าขอบอกให้รู้ไว้เลยนะว่า ข้ากับเขาบริสุทธิ์ใจต่อกัน และเป็นเพียงสหายกันเท่านั้น” ไป๋ฟางเซียนชักสีหน้าพูดมองเขากลับด้วยสายตาที่ไม่พอใจเช่นกัน“จริงอยู่ที่ไม่มีข้อไหนบัญญัติไว้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ควรกระทำ เจ้าอย่าลืมว่าตนออกเรือนแล้ว และเป็นคนตระกูลหลี่เต็มตัว หากชาวบ้านพูดนินทาออกไป ตระกูลหลี่จะถูกมองเช่นไร คิดบ้างหรือไม่”
ไป๋ฟางเซียนกำมือแน่นสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วสวนกลับว่า “ข้ารู้ดีว่าทำอะไรอยู่ และข้าก็บริสุทธิ์ใจ ไม่เหมือนท่าน” นางไม่พูดต่อแต่ใช้สายตาดูเหยียดหยามมองมาที่เขาแทน
“แล้วอย่างไร ข้าหาได้ทำอันใดไม่”
“โอ้... ไม่ได้ทำอันใดหรือ เป็นบุรุษที่ออกเรือนแล้ว แต่กลับลักลอบคบหากับสตรีอื่น ทั้งยังให้สตรีมาหาที่จวนนี่คือไม่ได้ทำอันใดหรือ นอกจากนี้ยังมีโอบกอดประคองกันในบางคราด้วยนะที่ข้าเห็น บอกข้าทีว่าการกระทำเช่นนี้มันไม่ผิด หรือเพราะว่าท่านเป็นบุรุษจึงทำได้ เพราะบุรุษสามารถมีสามภรรยาสี่อนุได้ มันจึงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอันใด แต่พอสตรีอย่างข้าทำบ้างกลับผิดทันที นี่มันยุติธรรมกับข้าแล้วอย่างนั้นหรือ ทั้งที่การกระทำของข้ามันก็ไม่มีอันใดน่าเกลียดเลยสักนิด แค่พูดคุยกันอย่างสหายเท่านั้นก็กลายเป็นว่าข้าผิด หรือว่าที่ข้าผิด เพราะข้าเป็นสตรีไม่ใช่บุรุษ” ไป๋ฟางเซียนร่ายยาวพร้อมใส่อารมณ์จนหลี่เหวินหลางตะลึงงันแทบหาเสียงตนเองไม่เจอ
“เจ้า!”
“ท่านจำเอาไว้เลยนะ ว่าข้า! ไป๋ฟางเซียนผู้นี้ จะไม่ยอมให้ใครกดขี่ข่มเหงเด็ดขาด และจะไม่ยอมเสียเปรียบใครด้วย ถ้าท่านทำได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน” นางพูดพร้อมมองจ้องตาเขาอย่างจริงจังไม่หวั่นเกรง
“เจ้าไม่มีสิทธิ์”
“เหตุใดข้าจะไม่มีสิทธิ์ แล้วท่านเล่ามีสิทธิ์อันใดมาต่อว่าข้า แสร้งเป็นพูดดีอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายท่านก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้านักหรอก เผลอ ๆ... อาจจะหนักกว่าข้าด้วยซ้ำ”
กรอด! เสียงอีกฝ่ายกัดฟันมองมาที่นางเขม็ง แต่ไป๋ฟางเซียนกลับไม่ใส่ใจ นางเชิดหน้าพูดต่อว่า
“จำเอาไว้ให้ดีเล่า ท่านทำอะไรได้ข้าก็ทำสิ่งนั้นได้ ข้าไม่มีวันเสียเปรียบท่านเด็ดขาด และท่านก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่งวุ่นวายหรือบงการชีวิตข้า” ไป๋ฟางเซียนบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง ก่อนจะชะงักไปเมื่อคนตรงหน้าสาวเท้าเข้าหานางเรื่อย ๆ
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ข้ามีสิทธิ์เต็มตัวเจ้าเลยละ เจ้าแต่งให้ข้าแล้วย่อมต้องเป็นของข้า หากข้าไม่มีสิทธิ์ในตัวเจ้าแล้วใครจะมีสิทธิ์ ในเมื่อวันนี้เจ้าพูดถึงสิทธิ์นั้น ข้าก็จะแสดงสิทธิ์ของตนให้เต็มที่ ตั้งแต่แต่งงานกันเราก็ยังไม่ได้เข้าหอเลยไม่ใช่หรือ งั้นวันนี้ข้าจัดให้เจ้าดีหรือไม่ ถึงแม้ข้าจะไม่ได้รักไม่ได้ชอบเจ้า แต่ข้าก็สามารถหลับหูหลับตาปรนเปรอเจ้าได้อยู่บ้างนะ หึ!” หลี่เหวินหลางพูดพลางกระตุกยิ้มร้าย สาวเท้าเข้าใกล้นางมากขึ้น จนนางหมดหนทางนี้ ขาที่ก้าวถอยหลังก็แนบสนิทกับตั่งเตียงพอดี
“อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ”
“บ้าตรงไหน ที่ข้าทำเป็นการเรียกร้องสิทธิ์ของข้าล้วน ๆ”
ตุบ!
“ว้าย! อย่านะ เจ้าคนหยาบกระด้าง!”
“ไม่! เจ้าต้องเป็นของข้า”
หลี่เหวินหลางไม่ฟังคำห้ามปรามและเสียงกรีดร้อง เขาโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ เพียงแค่จมูกโด่งคลอเคลียลำคอขาวกลิ่นกายหอมกรุ่นก็ประทับลงในจิต กลิ่นที่ให้ความสบายเช่นนี้เขาชอบมาก
หลี่เหวินหลางไร้การระมัดระวังหลับตาพริ้มสูดดมกลิ่นหอมเข้าปอด เขาโน้มหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิม หวังแนบริมฝีปากลงบนลำคอขาวระหง ทันใดนั้นเอง เขาก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ลำคอ ก่อนที่สติของแม่ทัพหนุ่มจะดับวูบไป ฟุบหน้าลงข้างลำคอขาวของไป๋ฟางเซียนทันที
“ฟู่ว! ดีที่อีตานี่ไม่ระวังตัวเอง ไม่เช่นนั้นมือบาง ๆ คู่นี้คงสับต้นคอเขาจนสลบไม่ได้แน่ เฮ้อ! เกือบไปแล้วเซียนเซียนเอ๊ย”
เข้าใจถูกต้องแล้วละ คนที่ทำให้หลี่เหวินหลางหมดสติคือไป๋ฟางเซียนเอง นางอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอไผล ใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมาในโลกเดิมของตนทำร้ายอีกฝ่าย โดยการสับมือลงบนต้นคอแกร่งทันที ซึ่งแรงและจุดที่นางใช้สันมือสับลงไปนั้นเป็นจุดเส้นประสาทพอดี ใครโดนจุดนี้เข้าไป ร้อยทั้งร้อยสลบเหมือด จากนั้นจึงผลักร่างเขาให้นอนหงาย นางมองอีกฝ่ายอย่างสุขใจ รอยยิ้มแห่งชัยชนะฉายชัดบนใบหน้างาม
“เป็นถึงท่านแม่ทัพคิดว่าจะแน่ ที่ไหนได้... ก็ไม่เท่าไรนี่นา”
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร