“ฮูหยินนะ...”
“เรียกข้าว่าคุณหนู”
“แต่ว่า”
“ต่อหน้าข้าให้เรียกคุณหนู แต่ถ้าต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่เรียกตามปกติ”
จื่อถิงแม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดไป๋ฟางเซียนจึงสั่งเช่นนี้ แต่นางก็ไม่ถามอะไรให้มากความ ด้วยค่อนข้างรู้นิสัยของนายตัวเองดี หากคุณหนูของนางบอกว่าไม่ นางก็จะไม่ตาม นางมีวันนี้ได้ก็เพราะคุณหนูเมตตา หากวันนั้นคุณหนูไม่ยื่นมือช่วยเหลือ นางคงเป็นได้แค่เด็กข้างถนน หรือไม่ก็ถูกจับไปอยู่หอนางโลมแล้ว
ยามเห็นผู้มีพระคุณ ผู้ที่ฉุดรั้งนางขึ้นมาจากความหนาวเหน็บ ต้องจมน้ำหายไปต่อหน้าต่อตา จื่อถิงตกใจมาก และก็รู้สึกผิดมากเช่นกัน หากวันนั้นนางห้ามไม่ให้คุณหนูมาตามคำนัดหมาย และไม่ปล่อยให้คุณหนูอยู่กับสตรีนางนั้นเพียงสองคน คุณหนูของนางก็คงไม่ต้องจมน้ำจนล้มป่วยนานหลายวัน
ใบหน้าเศร้าสร้อยและสายตารู้สึกผิดของสาวใช้คนสนิท ทำไมไป๋ฟางเซียนจะไม่รับรู้ นางชอบสาวใช้คนนี้มาก เพราะเป็นคนรู้ความ ไม่จู้จี้จุกจิก บอกสิ่งใดก็ทำตามได้อย่างดี
การรู้ความของจื่อถิงนี่แหละที่ทำให้ไป๋ฟางเซียนชื่นชอบในตัวสาวใช้คนนี้ที่สุด แม้นางฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ มีนิสัยและกิริยามารยาทรวมถึงวาจาผิดแปลกไป จื่อถิงก็ไม่เอ่ยถามให้นางรู้สึกอึดอัดเลยสักครั้ง จะมีก็แต่สายตาเคลือบแคลงสงสัยในบางครั้งเท่านั้น ครั้งหนึ่งไป๋ฟางเซียนเอ่ยถามสาวใช้ตัวน้อยว่า หากสงสัยเหตุใดจึงไม่ถาม สาวใช้ของนางจึงตอบกลับว่า ถึงสงสัยก็ไม่อาจถามได้ ซ้ำยังพูดอีกว่า นางเป็นนายเหนือหัว เป็นเจ้าชีวิต ต่อให้เปลี่ยนไปมากแค่ไหน สุดท้ายนางก็ยังเป็นนายที่จื่อถิงเคารพรักที่สุดอยู่ดี
“ทำหน้ารู้สึกผิดด้วยเหตุใด ข้ามิได้เป็นอะไรเสียหน่อย”
“คุณหนู... วันที่คุณหนูจมลงไปในน้ำยังติดตาจื่อถิงอยู่เลยนี่เจ้าคะ ถ้าไม่ได้บ่าวแถวนั้นช่วยเอาไว้ได้ทัน คุณหนูก็คง...” จื่อถิงพูดพร้อมกับน้ำตาคลอที่หน่วยตา
ไป๋ฟางเซียนถอนหายใจ ก่อนจะยกมือลูบไปที่หัวไหล่ของอีกฝ่ายพลางเอ่ยปลอบว่า “ข้าไม่เป็นไรแล้ว ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหนูเช่นกันเจ้าค่ะ!” จื่อถิงโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แววตาเจือความไม่พอใจอย่างปิดไม่มิด
ไป๋ฟางเซียนไม่พูดอะไร เพราะนางรู้ความคิดของสาวใช้คนสนิทดี ดวงตากลมโตของนางกลอกกลิ้งไปมา ขบคิดถึงเหตุการณ์ในวันที่เจ้าของร่างจมน้ำ ว่าเหตุใดถึงได้ตกลงไปในสระจนตนเองต้องจมน้ำเสียชีวิตได้ เพียงแต่ว่าพยายามคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก คล้ายกับว่าความทรงจำส่วนนั้นได้ขาดหายไป หรือหากคิดออก นางจะเห็นเพียงภาพความทรงจำในห้วงความคิด ทว่าก็ติด ๆ ดับ ๆ ไม่ปะติดปะต่อ จนนางไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่นางรู้แน่คือ ก่อนที่เจ้าของร่างจะจมน้ำ ไป๋ฟางเซียนสนทนากับโจวเฟิ่งจิ่ว!
ที่น่าแปลกคือทั้งสองคนตกน้ำไปได้อย่างไร? ระหว่างพวกนางเกิดอะไรขึ้น นี่ต่างหากคือเรื่องที่นางพยายามขบคิดและหาคำตอบเรื่องนี้มาโดยตลอดตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในร่างแสนบอบบางทว่าสวยงามร่างนี้
“ช่างเถอะ ว่าแต่ที่เจ้าเรียกข้ามีอะไรหรือ” ไป๋ฟางเซียนส่ายหัวไปมา ก่อนจะเอ่ยถามจื่อถิงแทน
“เอ่อ คือว่า... ที่คุณหนูทำไปมันดีแล้วจริง ๆ หรือเจ้าคะ” จื่อถิงถามด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ แม้จะดีใจที่เจ้านายของนางสู้อย่างชาญฉลาดบ้าง แต่การกระทำเมื่อสักครู่มันไม่ต่างไปจากการยั่วยุคนที่ได้รับฉายาเจ้าสงครามอย่างท่านแม่ทัพหลี่เหวินหลางหรอกหรือ
“ดีสิ มีอะไรไม่ดีกัน เจ้าอย่าคิดมากนักเลย”
“แต่ว่าคุณหนูกับท่านแม่ทัพแต่งกันแล้วนะเจ้าคะ หากเป็นแบบนี้ต่อไปจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้อย่างไร” จื่อถิงยังไม่คลายกังวลเพราะนางรู้ว่าคุณหนูรักท่านแม่ทัพมาก ไป๋ฟางเซียนได้ยินก็ยิ้มออกมาด้วยความซุกซนก่อนจะพูดประโยคที่พอจื่อถิงได้ฟังต้องตาโต
“แต่งแล้วอย่างไร แต่งได้ก็หย่าได้ ข้าไม่คิดอยู่กับคนที่รังเกียจข้าหรอกนะ เจ้าจะให้ข้าฝากชีวิตไว้กับบุรุษเช่นเขาหรือ ดูเอาเถิดว่าตั้งแต่ข้าฟื้นขึ้นมา มีสักครั้งหรือไม่ที่จะมาเยี่ยมหากัน... คำตอบคือไม่มี ในเมื่อไม่มีก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายมิได้รักหรือห่วงใยข้า แล้วไยข้าต้องสนใจ และคิดใช้ชีวิตอยู่กับเขาด้วยเล่า” ไป๋ฟางเซียนร่ายยาว
“คุณหนูพูดเหมือนจะหย่าขาดจากท่านแม่ทัพ”
“ใช่ เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าอย่าพูดไปเล่า ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องเป็นกังวล”
“เจ้าค่ะ... แล้วคุณหนูไม่กลัวท่านแม่ทัพจะทำอะไรหรือเจ้าคะ”
“ไม่รู้สิ เขาทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เจ้าไม่ต้องห่วง หากเขาทำข้า ข้าก็จะทำเขาเช่นกัน” นางพูดพร้อมมองไปยังคนที่ยืนหลบมุมฟังด้วยสายตาจริงจัง
“เอ๊ะ! นั่นท่านแม่ทัพนี่เจ้าคะ หรือว่า... ท่านแม่ทัพจะได้ยินที่เราพูดกันหมดแล้วเจ้าคะคุณหนู” จื่อถิงพูดด้วยความเป็นกังวลและเกรงกลัว
ส่วนไป๋ฟางเซียนกลับไม่แสดงสีหน้าอันใดออกมา เพียงมองตามชายอาภรณ์ของแม่ทัพหนุ่มออกไปเท่านั้น เมื่อเขาพ้นสายตาของนางไป แล้ว จึงได้ละความสนใจและหันมาถามจื่อถิงถึงสิ่งที่ตนต้องการรู้แทน จากนั้นหนึ่งนายหนึ่งบ่าวก็ต่างแยกย้ายไปทำสิ่งที่ตนต้องการ
ไป๋ฟางเซียนที่รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นเบื้องหลังจึงหันกลับไปมอง ก็พบเห็นสามีของตนใบหน้าเขียวคล้ำสลับแดง เขาหรี่ตามองราวกับคนกำลังจับผิด สายตาของเขาทำเอานางรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ เสียงลมหายใจหอบถี่ของผู้เป็นสามีทำให้นางเข้าใจได้ทันทีว่านางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย ร่างของผู้เป็นสามีก็สะบัดชายอาภรณ์ตรงกลับไปยังห้องนอน ไป๋ฟางเซียนนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะผุดลุกตามไปขณะเดินไปยังห้องนอนของตน นางก็ขบคิดกับตนเองว่าจะง้องอนเขาเช่นไรดี เขาจึงจะหายจากท่าทางปั้นปึ่งเช่นนั้น แต่คิดไปคิดมาพลันนึกขึ้นได้ว่า ตัวนางเองไม่ได้ผิดอันใดเสียหน่อย คนที่มาหานางในวันนี้ล้วนเป็นสหายนางทั้งนั้น ให้ตายนางก็ไม่ยอมง้อเขาหรอกแน่นอนว่านั่นเป็นเพียงแค่ความคิด เพราะทันทีที่เข้ามาในห้องนอนเห็นสีหน้าปั้นปึ่งมองนางตาขวางด้วยแล้ว ไป๋ฟางเซียนก็รีบก้าวเท้าเดินไปเบื้องหน้าตรงเข้าหาเขาอย่างเร็วรี่ พลางลอบกลืนน้ำลายเงียบ ๆ “ท่านพี่เจ้าขา เหตุใดถึงทำหน้าเช่นนี้เล่าเจ้าคะ ประเดี๋ยวจะไม่หล่อเอานา” นางเอ่ยเสียงหวานหยอกเย้าเขา หวังให้เขาโต้แย้งเช่นทุกครั้ง แต่กลับได้ความเงียบตอบมาแทนดวงตากลมโตช้อนสายตาหวานขึ้นมองอ
หนึ่งเดือนผ่านไปนับจากวันที่ไป๋ฟางเซียนฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างในชีวิตของนางและหลี่เหวินหลางก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ความรักของคนทั้งสองต่างผลิบานและสุกงอมเต็มที่ หลี่เหวินหลางกระทำอย่างปากว่า เขาไม่เคยปล่อยให้นางห่างจากตัวหรือห่างจากสายตาอีกเลย ไม่รู้เช่นกันว่าเขาไปทำเช่นไร จึงสามารถทำให้องค์ฮ่องเต้พระราชทานวันหยุดมาให้ถึงสองเดือนด้วยกัน ทว่าจะบอกว่าหยุดเลยก็คงไม่ถูกนัก เพราะระหว่างนี้หลี่เหวินหลางก็ต้องไปดูระเบียบในค่ายทหารเป็นครั้งคราวด้วยเช่นกัน กระนั้นเขาก็มีเวลาอยู่กับนางมากขึ้นอยู่ดี และนอกจากชีวิตของนางและเขาจะเปลี่ยนไปแล้ว ชีวิตของผู้อื่นก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกันยามนี้สาวใช้ตัวน้อยของนางและคนสนิทของหลี่เหวินหลาง จื่อถิงกับตงผิง ต่างก็กราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยากันแล้วทั้งคู่ ตลอดหนึ่งเดือนมานี้นางจึงไม่เห็นหน้าสาวใช้คนสนิทเลย แต่ก็เป็นนางอีกนั่นแหละที่ให้จื่อถิงหยุดและใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานบ้าง แน่นอนว่าคำของนางทำให้ตงผิงมีความสุขอย่างมาก เพราะถ้านางบอกให้จื่อถิงหยุด หลี่เหวินหลางก็จะบอกให้ตงผิงหยุดงานชั่วคราวเช่นเดียวกัน แต่นี่ก็ครบกำหนดเวลาที่นางให้ไปแล้ว คาดว่าไม่เกินสองวันนี้คงได้เห็นห
หลี่เหวินหลางกอดร่างบางแนบแน่น คางสากเกยไหล่มนของนางไว้พร่ำบอกแนบชิดริมหู จนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นอดหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้ มือบางยกมือขึ้นโอบกอดบุรุษร่างโตด้วยความรู้สึกไม่ต่างกัน ความรู้สึกรักและห่วงหาทว่าดูเหมือนพวกเขาจะหลงลืมไปว่าในห้องนี้หาได้มีพวกเขาไม่ ยามนี้ทั้งท่านหมอชรา หลี่เหวินชิง เหลียนฮวา จื่อถิงและตงผิงต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทำหน้าไม่ถูกกันแทบทั้งสิ้น ก่อนจะเป็นไป๋ฟางเซียนที่ตั้งสติได้ นางมีกิริยาเลิ่กลั่ก พยายามดันตัวตนเองออกจากอ้อมกอดของหลี่เหวินหลาง แต่เจ้าของอ้อมกอดแสนอบอุ่นหาได้ยินยอมไม่“เซียนเซียน พี่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่กลัวมากเพียงใด กลัวว่าเจ้าจะจากพี่ไป กลัวว่าเจ้าจะไม่กลับมาหาพี่อีก พี่คิดไปต่าง ๆ นานา นอนก็ไม่เคยหลับ กินก็ไม่เคยอิ่ม ใจภวงคิดถึงเป็นกังวลแต่เรื่องของเจ้า เซียนเซียน ขอบคุณที่เจ้ากลับมาหาพี่ นับว่าการรอคอยที่แสนทรมานของพี่สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณ ขอบคุณจริง ๆ”“เอ่อ ท่านปล่อยข้าก่อนดีไหมเจ้าคะ”“ไม่! จากนี้ไปพี่จะไม่ยอมห่างเจ้าอีกแล้ว ทั้งยังไม่ยอมให้เจ้าห่างสายตาจากพี่อีกด้วย”“ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด เจ้าของร่างตัวจริงทำเพียงยิ้มรับ ก่อนจะส่ายหน้าช้า ๆ“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ สุดท้ายแล้วข้าและเจ้าก็คือคนคนเดียวกัน เจ้าคิดว่าจะมีใครที่ไหนจะมีชื่อแซ่เดียวกับตนเองบ้างเล่า สิ่งที่เจ้าควรรู้คือ เจ้าคือข้า ข้าคือเจ้า ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”“แต่ว่า...”“ตอนแรกข้าก็สงสัยเหมือนเจ้า ในยามที่ข้าตกตายเพราะจมน้ำ ข้าก็ถูกพามายังสถานที่แห่งนี้ เฝ้ามองดูเจ้าเข้าไปในร่างของข้าอย่างไม่ยินยอมนัก หลายครั้งที่ข้าคิดทำร้ายเจ้า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้ เพราะทุกครั้งที่คิด ข้าจะรู้สึกเจ็บไปด้วยเช่นกัน ข้าไม่เข้าใจและเฝ้าถามตนเองมาตลอดว่าทำไม กระทั่งวันหนึ่งข้าก็ได้คำตอบจากคนผู้หนึ่ง”“ผู้ใดรึ”“คนผู้นั้นบอกกับข้าว่า แท้จริงแล้วทั้งข้าและเจ้าต่างเป็นคนคนเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนเกิด ดวงจิตของเราได้แยกเป็นสอง หนึ่งคือข้า สองคือเจ้า เมื่อดวงจิตแยกไม่รวมเป็นหนึ่งชะตาชีวิตของคนผู้นั้นย่อมเปลี่ยนแปลงไป เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ ว่าทำไมตอนที่อยู่ในโลกเดิมทั้ง ๆ ที่เจ้ามีทุกอย่าง มีครอบครัวที่ดีพร้อมและอบอุ่น แต่เจ้ากลับรู้สึกมีความสุขได้ไม่เต็มที่นัก เ
สภาพของหลี่เหวินหลางทำให้ผู้เป็นใหญ่ของจวนตระกูลหลี่รู้สึกเป็นห่วงอย่างมาก หากจะบอกว่าอาการของไป๋ฟางเซียนน่าเป็นห่วง สภาพของผู้เป็นบุตรชายก็น่าเป็นห่วงไม่ต่างกันหลี่เหวินชิงและเหลียนฮวามองสภาพบุตรชายที่หน้าประตูด้วยสายตาเป็นห่วงอย่างสุดแสน คิ้วของคนทั้งคู่ขยับเข้าหากันจนแน่นขนัด ใบหน้าที่ร่วงโรยไปตามวัยฉายความกังวลออกมาอย่างมาก ก่อนจะเป็นหลี่ฮูหยินที่ทนไม่ไหวพูดมันออกมา“ท่านพี่ น้องเป็นห่วงบุตรของเราจังเลยเจ้าค่ะ อาเหวินแทบไม่ออกจากห้องนอนของเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ เห็นอาการของลูกเราตอนนี้แล้ว น้องกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ น้องกลัวว่าลูกจะล้มป่วยไปอีกคน” เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างหนักอกหนักใจ มองหลี่เหวินหลางที่กอบกุมมือไป๋ฟางเซียนด้วยความห่วงใยอย่างถึงที่สุด ด้วยไม่เคยเห็นบุตรชายของตนมีสภาพซึมเศร้าเช่นนี้มาก่อน“ไม่ต้องกังวลหรอกน้องหญิง อาเหวินรู้ขีดจำกัดของร่างกายตนเองดี เราแค่อยู่ข้าง ๆ เขาในยามที่เขาต้องการก็พอ ตอนนี้เราไปนั่งรับลมที่ศาลากันก่อนเถิด อยู่ตรงนี้ไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ประเดี๋ยวน้องหญิงจะเป็นกังวลห่วงคนนั้นคนนี้จนพานจะไม่สบายไปอีกคน”“ท่านพี่”แม้จะเป็นห่วงบุตรชายแต่ก
“เซียนเซียน ตื่นขึ้นมาเถิดนะคนดี พี่คิดถึงเจ้า อยากได้ยินเสียงของเจ้าจนแทบจะทานทนไม่ไหวแล้ว หรือที่เจ้าไม่ยอมตื่นขึ้นมาเพราะอยากลงโทษที่พี่เคยพูดไม่ดีกับเจ้าในวันแรกที่เจ้าลืมตาขึ้นมาที่จวนเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่ เซียนเซียน พี่ขอโทษเจ้า กลับมาเถิดนะคนดี กลับมาหาพี่ พี่รักเจ้า รักเจ้าเหลือเกิน” หลี่เหวินหลางทอดสายตาแห่งความคะนึงหาไปยังดวงหน้างาม ก่อนที่ชั่วพริบตาแววตาของเขาจะมีความโกรธแค้นวาบผ่าน หากแล้วก็ปล่อยวางลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่ทำให้คนรักของเขาต้องเป็นเช่นนี้ได้ตกตายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าต้องจ้องเวรไปเพื่อสิ่งใดแท้จริงแล้วการตกน้ำของนางอันเป็นที่รักใช่ว่าเขาไม่คิดติดใจสงสัย เขาย่อมต้องสงสัยแน่นอน และมั่นใจมากว่านางคงไม่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแน่ ที่ไม่ได้สืบหาตั้งแต่วันแรกเพราะเป็นห่วงนางจนไม่เป็นอันทำสิ่งใด พอตั้งสติกับตนเองได้เขาจึงเริ่มสอบถามเรื่องราวคาดคั้นกับจื่อถิงอีกครั้ง แต่นางก็ตอบสิ่งใดไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าว่ามันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นอกจากร่ำไห้ด้วยความรู้สึกผิดและโทษว่าที่ไป๋ฟางเซียนเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของตน หลี่เหวินหลางจึงสั่งให้ตงผิงและจื่อถิงกลับไปที่สร