ในที่สุดเราก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง เฮียมารับมะเหมียวที่บ้านแต่ไม่ได้เจอแม่ เพราะเธอเลือกนัดเขาเวลาที่แม่ออกไปข้างนอกด้วยไม่อยากให้แม่เจ็บช้ำน้ำใจมากกว่าเดิม แต่พอภาคินทร์ถามเธอก็บอกไปแค่ว่าแม่ไม่สบายเท่านั้นซึ่งเขาก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
เฮ้อ...ทำไมชีวิตต้องยุ่งยากขนาดนี้ด้วย
แต่พอขึ้นมาบนรถ เธอคิดว่าตัวเองคงจะสบายใจกว่านี้เพราะเคลียร์เรื่องแต่งงานกับเขาไปได้แล้ว แต่มาลองคิดๆ ดู เรื่องนี้มันไม่เหมือนเธอเป็นคนปฏิเสธเขาเลยสักนิด
ในทางกลับกัน วันนั้นที่เธอบอกว่าจะไม่แต่งงานแล้วเขารีบตอบรับก็คงไม่อยากแต่งกับเธอเป็นทุนเดิม มันทำให้เธอคิดอยู่ทั้งคืนว่าหรือจริงๆ แล้วเขาอาจจะยังไม่ลืมเรื่องพวกนั้น เรื่องที่เธอเคยทำไม่ดีกับเขาเอาไว้เมื่อก่อน
จะว่าอายก็อาย จะว่ารู้สึกผิดก็รู้สึกผิด เธอยังไม่มีโอกาสได้ขอโทษเขาดีๆ ด้วยซ้ำ แม้แต่วันนั้นก็เกือบวางมวยกันไป
“เอ่อ...คือว่า”
มะเหมียวพูดทำลายความเงียบขึ้นมา ในขณะที่ภาคินทร์กำลังตั้งใจขับรถเลยไม่ได้หันมามองแต่ก็ส่งเสียงตอบกลับ
“อือ ว่าไง”
เขาดูสงบขึ้นมากจริงๆ ผิดไปจากเฮียคนเดิมที่เธอเคยรู้จัก เมื่อก่อนอย่าว่าแต่คุยกันดีๆ เจอหน้ากันเมื่อไรเขาเป็นต้องชักสีหน้าใส่จนเธอใจแป้วทุกครั้ง
“คือหนูแค่อยากขอโทษเรื่องเมื่อก่อนน่ะค่ะ”
นั่นเป็นสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจเธอมาตลอด นอกเหนือจากความอับอายก็ยังมีความรู้สึกผิดที่ตามติดเธอมาตลอด 10 ปี เธอเข้าไปเป็นตัวน่ารำคาญในชีวิตเขา ทำให้เขาเป็นตัวตลกของเพื่อน ทำให้เขาอึดอัดใจมาตั้งนาน แต่กลับไม่มีโอกาสได้ขอโทษเลยสักครั้ง
“เมื่อก่อนหนูทำอะไรไม่คิดพอมาคิดๆ ดูแล้วมันคงเป็นเรื่องที่ไม่น่ารักเท่าไร...”
“จำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ”
เขาตอบกลับมาเสียงเรียบทำให้คนที่กล่าวขอโทษหน้าเสียไปเล็กน้อย
“อ่า...ถ้าเฮียจำไม่ได้ก็ดีแล้วค่ะ” ดีกว่าเธอที่จำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี แล้วรู้สึกผิดมาจนทุกวันนี้
“ก็ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้หรอกนะ แค่ไม่รู้สึกว่าควรเป็นเรื่องที่ต้องขอโทษ”
คำตอบของเขาทำให้มะเหมียวนิ่งไปเล็กน้อย แสดงว่าจริงๆ แล้วเขาก็จำได้ทุกอย่างแต่แค่ไม่ได้ใส่ใจมันก็เท่านั้น นั่นสินะ เขาเองก็โตขนาดนี้แล้ว เทียบกับเธอที่ยังเอาแต่รู้สึกผิดซ้ำๆ ไม่ยอมยกโทษให้ตัวเองสักทีมันคงเป็นแค่เรื่องไร้สาระมากสำหรับเขา
เอาเถอะ ยังไงก็ดีแล้วที่เขาไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร ยังไงซะหลังจากนี้เราก็ไม่ได้เจอกันแล้ว ขอจากกันด้วยดีดีกว่า
มะเหมียวมองออกไปนอกหน้าต่างมองวิวที่แปลกตาออกไปเรื่อยๆ เธอคงไม่ได้อยู่ไทยนานเกินไปเลยจำที่ทางไม่ค่อยได้ มีตึกใหม่ๆ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด บางครั้งจะไปไหนยังต้องให้คะนิ้งเป็นคนพาไป
“เราจะไปไหนกันเหรอคะ?” เธอถามเขาขึ้นมาเพื่อไม่ให้บรรยากาศบนรถเงียบจนเกินไป
“ไปรับเด็กน่ะ”
เกือบลืมไปเลยว่ามีน้องคิรินอยู่ด้วย นี่เป็นเหตุผลหลักที่เธอปฏิเสธการแต่งงานกับเขา นี่แสดงว่าการมาหาเธอมันเบียดเบียนเวลาของเขาไปจากลูกอย่างนั้นใช่ไหม...
เธอก้มหน้าลงมองมือตัวเองที่เริ่มจะพันกันเวลาที่ทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกสับสนแล่นเข้ามาในหัวจนทำให้เธอคิดอะไรไม่ออกอีกครั้ง
วันนั้นเธอเผลอรู้สึกดีกับเขาทั้งที่กำลังจะทำลายครอบครัวของคนอื่นได้ยังไงกันนะ...
มะเหมียวเงียบมาตลอดทางจนกระทั่งรถมาจอดเทียบฟุตบาทหน้าโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเขามากนัก เขาบอกให้เธอรออยู่ในรถก่อนจะวิ่งหายเข้าไปแล้วออกมาพร้อมคิริน
เจ้าเด็กจูงมือพ่อของเขาออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มสดใส ไม่รู้เลยว่ามีใครรออยู่บนรถ
สิ้นเสียงประตูรถที่ปิดลงหลังจากที่คิรินขึ้นมาแล้ว มะเหมียวได้หันหลังไปมองแล้วยิ้มน้อยๆ ให้เขา ทว่าทันทีที่เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองพี่สาวที่นั่งอยู่ตรงเบาะหน้า เขากลับยกมือขึ้นชี้มาหาเธอแล้วพูดเสียงดังลั่น
“คนนี้แหยะๆ”
คนนี้แหละ น่าจะหมายถึงอย่างนั้นละมั้ง ว่าแต่เขากับภาคินทร์คุยอะไรกันระหว่างเดินมาคิรินถึงได้พูดแบบนี้
ด้านภาคินทร์ที่เข้ารถตามมาติดๆ มองสองคนสลับกันแล้วเลิกคิ้วถาม
“คนนี้เหรอที่คิรินชน?”
อ่า...ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง คิรินคงจะเล่าให้เขาฟังว่าวันนั้นชนกับเธอที่หน้าร้านของคะนิ้ง ภาคินทร์หลังจากถามคิรินก็คลี่ยิ้มออกมาแล้วถามต่อ
“แล้วได้ขอโทษพี่คนสวยหรือยังครับ?”
“ครับ พี่คนฉวยใจดี” เด็กน้อยตอบเสียงเจื้อยแจ้ว
“งั้นดีเลย วันนี้เราจะพาพี่คนสวยไปหาย่าทวดกัน”
เดี๋ยวๆ อย่าบอกนะว่าเขาตั้งใจจะบอกเรื่องนี้ต่อหน้าลูก? ฮัลโหล ถึงมันจะเป็นการยกเลิกการแต่งงานก็เถอะ แต่มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ คิรินตัวแค่นี้เองก็ต้องมารับรู้เรื่องวุ่นวายของผู้ใหญ่แล้วเหรอ
“เฮียคะ คือว่าเรื่องนั้น...”
“ครับ?”
“หนูว่า ถ้าเกิดคิรินไปด้วย เราไม่ต้องไปหาคุณย่าก็ได้นะคะ ไว้หนูค่อยเข้าไปคนเดียวก็ได้”
“ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะ ไหนๆ คิรินก็ต้องกลับบ้านอยู่แล้ว”
มะเหมียวกัดปากเล็กน้อย เธอมองหน้าคิรินที่ตอนนี้มองเธอพลางกะพริบตาปริบๆ ความน่ารักของเขาทำให้พี่สาวคนนี้ใจอ่อนยวบ แต่ก็ยังต้องทำใจพูดออกไปตามตรง
“คือว่า...หนูแค่ไม่อยากทำร้ายจิตใจเด็กน่ะค่ะ”
เขามองเธอกลับมาอย่างงงๆ แต่มะเหมียวไม่ได้รอให้เขาตอบก็พูดต่อเลยทันที
“หนูคิดว่า ต่อให้คนเราเลิกกันแล้วแต่ก็ยังเป็นพ่อแม่ของเด็ก เป็นเพื่อนกันได้ แต่ว่า...หนูคิดว่าคิรินเด็กเกินไปที่จะต้องมารับรู้อะไรแบบนี้ ถ้าเฮียคิดจะแต่งงาน ยังไงรอให้น้องโตกว่านี้ หรือเป็นผู้ใหญ่แล้วจะดีกว่านะคะ”
“มันสำคัญยังไง เฮียไม่เข้าใจ”
“เฮ้อ...”
ต้องให้เธอพูดจริงๆ เหรอ ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะตอบรับการคลุมถุงชนจากย่าตัวเองง่ายๆ ทั้งที่ตัวเองก็มีน้องคิรินอยู่แล้ว
เอาเถอะ ในเมื่อเขาอยากให้พูดเธอก็จะพูดออกไปตามตรง แต่ต้องไม่ใช่ที่ที่มีน้องอยู่ด้วยแบบนี้
“หนูขอเวลานอกสักสองสามนาทีได้ไหมคะ”
เราสองคนออกมาข้างนอกไม่ไกลจากรถมากนักโดยไม่ลืมสตาร์ทรถเปิดแอร์เอาไว้ให้คิรินด้วย
เรื่องที่เธอจะพูดเธอไม่อยากให้เด็กต้องมารับรู้ เพื่อเซฟจิตใจของเด็กไม่ให้เจ็บปวดมากไปกว่านี้ เพราะขนาดเธอที่บรรลุนิติภาวะแล้วยังมีช็อกเลยตอนที่รู้ว่าพ่อมีคนใหม่
“มีอะไรหรือเปล่า หน้าเครียดเชียว หรือว่ามีปัญหาอะไร?”
“จะว่ามีก็มีค่ะ” มะเหมียวสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดต่อ “เฮียรู้ไหมคะว่าจริงๆ แล้วหนูชอบเฮียมากๆ ชอบจนอยากจะตกลงตั้งแต่วันแรกที่แม่มาบอกเลยด้วยซ้ำ”
คนฟังสตั๊นไปเล็กน้อยที่ได้ยินอย่างนั้น เขาไม่คิดว่าเธอจะกล้าพูดตรงขนาดนี้แต่ก็ไม่กล้าพูดแทรกเพราะอยากฟังต่อ
“แต่หนูทำไม่ได้ค่ะ หนูเจอคิรินที่หน้าร้านคะนิ้งวันนั้นหนูเลยรู้ว่าจริงๆ แล้วมันไม่ควร ต่อให้คนเราเลิกกันแล้วแต่ก็ยังเป็นพ่อแม่ของเด็ก น้องยังเล็กเกินกว่าจะมารับรู้ว่าพ่อมีผู้หญิงอีกคนเข้ามาแทนที่แม่ตัวเอง ในฐานะของคนที่เจอเรื่องแบบนี้มาเหมือนกัน มันเจ็บปวดมากนะคะ”
นี่คงเป็นวันที่เธอร่ายยาวที่สุดในชีวิต การพูดโดยไม่เว้นจังหวะหายใจทำให้มะเหมียวเริ่มเหนื่อย แล้วดูเขาสิ ไม่ได้มีท่าทีอะไรต่อคำพูดของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ซ้ำยังตอบกลับมาเสียงเรียบ
“หมายถึงว่า หนูเห็นว่าเฮียเป็นพ่อคิริน ก็เลยไม่อยากแต่งงานด้วย?”
“ค่ะ แล้วนอกจากไม่อยากแต่งงาน หนูก็ไม่อยากพูดเรื่องแต่งงานต่อหน้าน้อง ไม่อยากไปหาคุณย่าพร้อมน้องด้วย เอาเป็นว่าถ้าเฮียกลัวคุณย่าไม่เชื่อหรือไม่สบายใจ หนูจะไปคนเดียวตอนที่น้องไม่อยู่บ้าน โอเคไหมคะ?”
อีกคนเงียบไปครู่หนึ่ง เธอคิดว่าเขาจะตอบตกลงแต่เปล่าเลย ภาคินทร์เผยรอยยิ้มที่มุมปากก่อนจะตอบในทางตรงกันข้าม
“ไม่โอเค ไหนๆ มาแล้วก็เข้าไปพร้อมกันนี่แหละ”
“เดี๋ยวๆ นี่เฮียไม่ได้ฟังที่หนูพูดเลยใช่ไหม”
“ก็ฟัง”
“แล้วทำไมเรายังต้องเข้าไปพร้อมกันคะ”
“เอาไว้ไปถึงก็รู้เอง”
ได้เหรอ...แล้วที่เธอพูดไปทั้งหมดนี่สรุปเขาไม่ได้ตั้งใจฟังเลยใช่ไหม มะเหมียวกอดอกมองพลางถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด แต่เขากลับยิ้มอ่อนตอบกลับมาแล้วเดินนำหน้ากลับไปที่รถโดยไม่สนเลยว่าเธอจะไม่อยากเดินตามไปแค่ไหน
คนหน้ามึนเอ๊ย เดี๋ยวแม่ก็วิ่งหนีกลับบ้านซะเลยนี่ ฮึ่ย!
ใครๆ ต่างก็บอกว่า เธอช่างโชคดีจังเลย เกิดมาไม่มีอะไรสักอย่าง ครอบครัวก็กลางๆ หน้าตาก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมากมาย ขนาดถึงขั้นล้มละลายก็ยังมีครอบครัวว่าที่สามีเอ็นดูซัพพอร์ตเสมอ ล้มแต่ละครั้งเหมือนล้มลงบนฟูก จนถึงตอนนี้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างแต่ก็ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดหากเป็นเมื่อก่อนเธอคงนอยจนซึมไปหลายวัน แต่พอเล่าให้ภาคินทร์ฟัง เขาก็บอกว่าทำไมต้องสน คนพวกนั้นมีดีแค่พูดเรื่องคนอื่นไปวันๆ ไม่เห็นว่าชีวิตพวกเขาจะดีกว่าเราตรงไหน ครอบครัวล้มละลายแล้วยังไง ต้องพึ่งพาครอบครัวสามีแล้วยังไง การมีคนที่พร้อมหนุนหลังเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นยังไงก็ดีกว่าตัวคนเดียวไม่ใช่หรือไงเพราะอย่างนั้น...เธอจึงปล่อยวางทุกอย่าง ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตแล้วเข้าพิธีแต่งงานโดยไม่สนใจอะไรอีกต่อไปต่อหน้าผู้คนมากมายที่มาร่วมยินดีในวันแห่งความสุขของหลานชายคนโตตระกูลคัลเลน ต่อหน้าเพลงบรรเลงที่ดังคลออยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าดอกไม้ ผ้าประดับ เธอยังคงสั่นด้วยความตื่นเต้น ราวกับว่าทุกก้าวบนพรมสีขาวที่นำไปสู่แท่นพิธี คือจุดจบของความวุ่นวายทั้งหมดที่ชีวิตได้เจอมาชีวิตที่ตกหลุมรัก
“ปล่อยกู กูบอกว่าให้ปล่อยกู!!”วัชระถูกจับกุมตัวในที่สุด เขาถูกตั้งข้อหาหนักทั้งทำร้ายร่างกาย ฉ้อโกง รวมไปถึงพยายามฆ่า ภาคินทร์ทำทุกอย่างแม้แต่การใช้อำนาจในทางมิชอบ ทำให้เขาไม่ได้รับการประกันตัว แต่คนอย่างวัชระมีหรือจะยอม ทุกครั้งที่มีคนเข้าเยี่ยมเขามักจะโวยวายขอประกันตัวสู้คดี แต่คงไม่คิดว่าทุกครั้งจะเป็นภาคินทร์ที่เข้ามาเขาไม่ยอมให้มะเหมียวหรือใครได้เจอผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด เรื่องบางเรื่อง คนของเขาช้ำใจแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว อย่ามาเสียใจกับอะไรเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีกเลย อีกอย่างงานแต่งงานก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขาไม่อยากให้มีอะไรมากระทบทั้งนั้นแต่เห็นคนในชุดนักโทษแล้วก็อดเวทนาไม่ได้ คนพวกนี้ทรยศครอบครัว หักหลังโดยคิดถึงแค่ผลประโยชน์ แค่ความพึงพอใจของตัวเอง สมควรแล้วที่จะต้องทรมานไปตลอดชีวิต“กูบอกว่าให้ปล่อยกูไง ไปเรียกทนายมาเดี๋ยวนี้ แล้วนี่ลูกเมียกูอยู่ไหน ทำไมไม่เห็นมีใครมาเยี่ยมเลย โธ่เว้ย!!!”วัชระทุบกระจกหนาตรงหน้าด้วยความหัวเสีย ระหว่างภาคินทร์และเขานอกจากกระจกหนาที่กั้นเอาไว้ยังมีตาข่ายเหล็กอีกชั้น ทั้งคนในห้องขังยังมีกุญแจมือสวมอยู่อีก อิสระที่หายไปในชั่วพริบตาเพียงเพราะความขาดการ
“กรี๊— อุ๊บ!”มะเหมียวเผลอหลุดกรี๊ดออกมาด้วยความตกใจ ในจังหวะที่เธอหันมาแล้วเจอว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไร ทว่าเพียงแค่อ้าปากยังไม่ทันได้ส่งเสียง กลับถูกมือเย็นๆ อุดปากเอาไว้ก่อน“ชู่ว อย่าเสียงดัง นี่โรงพยาบาลนะ”คนตรงหน้ายกมือขึ้นแตะปากตัวเองพลางบอกให้เธอเงียบ ดวงตาที่เบิกโพลงเริ่มมีน้ำตาคลอเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงนี้คือใครไอ้เฮียบ้า เขานี่เอง“ฮึก...” คนที่ทั้งกลัวทั้งตกใจเริ่มสะอึกสะอื้น น้ำตาไหลลงมาเป็นทางโดนใส่มือภาคินทร์ที่ปิดปากของเธออยู่ เขาตกใจรีบปล่อยเธอให้เป็นอิสระก่อนจะถามเสียงตื่น“เป็นอะไรครับ เฮียขอโทษที่เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง ตกใจมากไหมมาโอ๋ๆ นะ”เขารั้งคนตัวเล็กเข้ามากอดจนทั้งตัวจมอก เสียงสะอื้นไม่มีท่าทีสงบลงง่ายๆ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้นลูบหัวคนน้องเบาๆ แล้วพูดปลอบใจเท่านั้น“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว”“ฮึก...ฮือ...”ตกใจเรื่องที่เขาเล่นอะไรไม่รู้เรื่องก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิมคงไม่พ้นเรื่องที่คิดอยู่ก่อนหน้านี้ มันอึดอัดมากจริงๆ ยากจะหาที่ระบายในยามที่ทุกคนต่างก็กำลังเครียด ทำได้แค่ร้องไห
เมื่อวานเกิดเรื่องที่บริษัทนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าจู่ๆ คนที่ไม่ควรจะอยู่ที่นั่นมากที่สุดกลับไปโผล่ที่บริษัทหน้าตาเฉยวัชระ พ่อของมะเหมียวเขาเป็นประธานบริษัทเล็กๆ ที่ทำด้านส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติก เมื่อก่อนคุณย่าของเขาก็เคยร่วมหุ้นด้วยแต่พอเพื่อนรักอย่างคุณยายของมะเหมียวเสียท่านก็ขายหุ้นทิ้งและไม่ได้สนใจบริษัทนั้นอีก ภาคินทร์เพิ่งจะได้ข่าวว่าบริษัทขาดทุนหนักและกำลังจะล้มละลายแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วอย่างนี้“คือว่า...อา...แค่เห็นว่าเราสองครอบครัวกำลังจะเกี่ยวดองกัน”ร้อยวันพันปีคนอย่างวัชระไม่เคยคิดเข้ามาข้องเกี่ยวกับตระกูลคัลเลน อย่าว่าแต่เรื่องเกี่ยวดองกัน แม้แต่ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดที่ทางนี้ต้องเผชิญข่าวเสียหายก็ไม่เคยเห็นหัว มีแค่วันนั้นที่คุณย่าเชิญเขามาร่วมงานในฐานะแขกเลยได้พบกันมันทำให้เขารู้ว่าจริงๆ แล้วไม่ควรทำอย่างนั้นเลย คนพรรค์นี้ให้เกียรติไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับชีวิต ทั้งยังหาแต่เรื่องวุ่นวายมาให้“คุณอามีเรื่องอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”คุยนานไปก็มีแต่จะเสียเวลา เขารีบตรงเข้าประเด็นพร้อมทั้งหยิบมือถือขึ้นมาเล่นไปพลาง เขาไม่ได้กำลังทำตัวเสียมารยาทแต่กำลังหาข่าวของบริษัทนั
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้...วัชระนั่งทำแผลอยู่ในบ้านตัวเองด้วยความเจ็บใจ นึกถึงเรื่องที่บ้านหลังนั้นแล้วก็ได้แต่กัดฟันกรอด สองแม่ลูกนั่นมันกล้าดียังไงถึงทำกับเขาแบบนี้ ที่ผ่านมาลูกสาวของเขาเป็นเด็กดี ว่าง่าย ไม่เคยเถียงพ่อแม้สักคำเดียว ทั้งหมดนี่ต้องเป็นความผิดของแม่มันอย่างไม่ต้องสงสัย“แล้วเรื่องที่ให้ไปคุยเป็นยังไงบ้างคะ เนี่ย ถ้าเราไม่หาเงินไปจ่ายค่าปรับในเดือนหน้าเราจะล้มละลายกันจริงแล้วนะคะ”กานพลู ภรรยาใหม่ของวัชระว่าด้วยสีหน้าหงุดหงิด หลังช่วยกันประคับประคองบริษัทมาหลายปีแต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด ติดหนี้หัวโตกำลังถูกฟ้องล้มละลาย โชคยังดีที่มีเงินสดติดตัวอยู่บ้างให้พอได้ซื้อข้าวกินไปวันๆ แต่เรื่องหนี้สินก็เป็นเรื่องที่เจ้าหล่อนคิดไม่ตกคิดแล้วก็อยากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 18 ปีก่อน ตอนนั้นไม่น่าเห็นแก่เงินเป็นชู้กับผัวชาวบ้านจนมีลูกด้วยกัน วัชระในตอนนั้นทั้งหล่อทั้งรวย เป็นลูกเขยของตระกูลที่มีทรัพย์สินกว่าห้าร้อยล้าน ซ้ำตอนที่เผลอใจมีอะไรกันหลายครั้งจนตั้งท้อง เขายังบอกให้หล่อนเก็บเรื่องลูกไว้เป็นความลับ จะเลี้ยงดูปูเสื่อสองแม่ลูกอย่างดีไม่ให้ลำบากเรื่องมาโป๊ะแตกตอนที่ลูกสาวคนเล็กของเขาอ
พ่อออกไปแล้ว ทิ้งความเงียบหลังความวุ่นวายเอาไว้ที่เบื้องหลัง ยอมรับว่าเรื่องเมื่อกี้เธอตกใจมากๆ จนแทบสติแตก แต่พอเห็นว่าแม่ที่จิตใจไม่ปกติพยายามอย่างมากที่จะเข้มแข็งเพื่อต่อต้านพ่อเป็นครั้งแรก ลูกสาวอย่างเธอจึงต้องพยายามฮึบเพื่อไม่ให้แม่ต้องดิ่งมากไปกว่านี้เธอพาแม่ขึ้นมาบนห้องแล้ววานแม่บ้านมาทำความสะอาดเศษแก้วให้ ก่อนจะส่งแม่เข้านอนโดยไม่พูดหรือไม่ถามอะไรแม่สักคำแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าระหว่างเราสองแม่ลูกจะไม่มีอะไรค้างคาอยู่ในใจ“เหมียวลูก...”ก่อนจะล้มตัวลงนอนเป็นแม่ที่พูดขึ้นมาก่อน ฝ่ามือสั่นเทายกขึ้นมาลูบกรอบหน้าลูกสาวอย่างแผ่วเบา มองรอยตบที่ตอนนี้เริ่มจางลงไปบ้างแล้ว แต่ก็รับรู้ได้ว่าลูกคงเจ็บอยู่บ้าง“หนูเจ็บไหม แม่ขอโทษนะที่ปล่อยให้มันมาทำร้ายลูก”“ไม่เจ็บค่ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ สมัยเรียนหนูก็ตบกับเพื่อนบ่อยจะตาย แค่นี้ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่แรงตบเมื่อกี้ก็เริ่มทำพิษแล้วเช่นกัน เธอไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจมากไปกว่านี้ เรื่องแค่นี้เธอทนได้สบายมากอยู่แล้ว“แม่นอนพักนะคะ เรื่องวันนี้แม่ลืมมันไปซะ อย่าเก็บมาคิดอีก”“เหมียว แม่ถามจริงๆ นะลูก ถ้าเกิดว่าเฮียรู้เรื่องบ