ช่างเป็นคู่รักลิ้นกับฟันจริงๆ! ป้าของนางแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่แล้วนางเอื้อมมือขึ้นไปรินสุราผลไม้แก้วเล็กให้ตัวเองอีกแก้วรสชาติสุราหวานเหมือนน้ำผลไม้ไม่ผิด นางเผลอดื่มไปอีกสองสามแก้วโดยไม่รู้ตัวที่สำคัญ นางมีความสุขมาก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในที่สุดก็เป็นจริงแล้วความมึนเมาเล็กน้อยทำให้นางผ่อนคลาย แก้มก็แดงก่ำราวกับสีผลท้อ ดวงตาชุ่มชื้นฉ่ำน้ำ มีเสน่ห์และมีชีวิตชีวายิ่งกว่าปกติท่าทางนี้ของนาง ดึงดูดสายตาของฮั่วหลินพอดีหัวใจของฮั่วหลินเต้นแรงทันที[เหตุมดจึงหน้าแดงนัก? เมาแล้วหรือ?][แค่ดื่มสุราผลไม้ก็ทำให้นางเมาได้ ทนดูไม่ไหวแล้ว][ท่าทางเมาสุราของนาง...]ความคิดของฮั่วหลิน พุ่งเข้ามาในหัวของเจียงหวนราวกับสายน้ำกระแทกทำนบการมีอยู่ที่เด่นชัดและความสนใจที่มุ่งมา แผดเผาทำให้แก้มที่ร้อนอยู่แล้วของเจียงหวนยิ่งร้อนขึ้นไปอีกขอร้องเถอะ นางมีสติดีไม่รู้หรือ? นางไม่ได้เมาสักหน่อย เพียงแต่การดื่มสุราทำให้หน้าแดงง่ายเท่านั้นฮั่วหลินไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด ทั้งความคิดและแววตาของเขามีเพียงเจียงหวนเท่านั้นเขาสำรวจผิวของเจียงหวนทีละนิ้ว ดวงตาฉ่ำวาว แก้มสีชมพูระเรื่อ รวมทั้งริมฝ
ด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของชายแดนใต้ พระราชวังจึงงานเลี้ยงฉลองจึงจัดขึ้นเมื่อพลบค่ำ แสงไฟก็เริ่มส่องสว่าง โถงว่าราชการสว่างไสวด้วยแสงไฟระยิบระยับ เสียงบรรเลงดนตรีเครื่องสายดังก้องไปทั่วฮั่วหลินนั่งตัวตรงบนบัลลังก์สูงสุด สีหน้าสงบนิ่ง พลางมองดูฝูงชนที่ส่งเสียงเฮฮากระทบแก้วกันเบื้องล่าง พยักหน้าตอบรับคำอวยพรเคล้าเยินยอจากเหล่าขุนนางคนแล้วคนเล่าเจียงหวนนั่งเคียงข้างฮั่วหลิน เบื้องหน้าคืออาหารรสอ่อนและสุราผลไม้ฤทธิ์อ่อนหนึ่งกานางจิบสุราผลไม้รสหวาน รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของสุราที่ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นมาแก้ม พลางเฝ้าดูการแสดงเบื้องล่างด้วยความสนใจอย่างยิ่งบรรยากาศในงานเลี้ยงเริ่มคึกคักขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากดื่มไปสามแก้ว ก็ถึงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะประกาศข่าวดีฮั่วหลินวางถ้วยทองคำในมือลง กวาดสายตาสำรวจห้องโถงอย่างช้าๆฝูงชนที่เคยคึกคักก่อนหน้านี้เงียบลงในทันที ทุกสายตาจับจ้องไปที่ฮ่องเต้“วันนี้เลี้ยงฉลองชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ชายแดนใต้ เสริมสร้างบารมีแคว้นเรา”เสียงของฮั่วหลินไม่ดังมาก แต่ก้องกังวานไปทั่วห้องโถง“นอกจากนี้ เรายังมีเรื่องอันน่ายินดีอีกเรื่องหนึ่ง อยากจะแบ่งปันกับขุนนางท
เจียงหวนยังคงนิ่งเฉย แสร้งทำเป็นหลับสนิท แต่หูกลับตั้งขึ้นมานานแล้วฮ่องเต้ยังคงเป็นฮ่องเต้ ทรงมีญาณหยั่งรู้อย่างเหลือเชื่อ แค่สงสัยก็แม่นยำแบบคาดไม่ถึงแต่ต่อให้ถูกจับได้ก็จับได้เถอะ การได้ยินเสียงในใจของฮ่องเต้ ก็น่ายินดีไม่น้อยเสียงฝีเท้าแผ่วเบาเคลื่อนเข้ามาใกล้เตียง กลิ่นหอมอำพันที่คุ้นเคยอบอวลไปทั่วอากาศเจียงหวนสัมผัสได้ถึงสายตาที่ร้อนผ่าวมองมาบนใบหน้า ความอบอุ่นจากสายตานั้นแทบจะทะลุเปลือกตา[หลับสนิทดีนี่]เสียงในใจของฮั่วหลินเจือไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนที่แทบรับรู้ไม่ได้[ทั้ง ๆ ที่สามารถให้คำแนะนำได้อย่างเปิดเผย แต่กลับเลือกที่จะเก็บงำไว้เช่นนี้ เจ้ากลัวว่าเราจะไม่รับฟัง หรือกลัวว่าจะเป็นเรื่องโต้เถียงในราชสำนักกัน?]เจียงหวนพยักหน้าอย่างร้อนรนอยู่ในใจใช่ๆๆ นางไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาหรอกนะ ต้อยต่ำรับประกันปลอดภัยอีกอย่าง ถ้านางแบ่งปันความรู้สมัยใหม่อันล้ำสมัยออกไป นางอาจถูกตราหน้าว่าเป็น “สนมปีศาจ” ได้นางต้องมาหลบทวนแจ้งเกาทัณฑ์ลับก็เหนื่อยพอแล้ว ไม่อยากหาเรื่องไม่เป็นเรื่องใส่ตัวอีก ยิ่งไม่อยากถูกดึงเข้าไปในวังวนแห่งอำนาจอันอันตราย[ทั้งพิถีพิถัน แต่ก็ช่างระมัดระวั
ข่าวชัยชนะที่ชายแดนใต้พลังแพร่กระจายไวราวกับสายฟ้าในยามวสันตฤดูในฤดูใบไม้ผลิ เพียงชั่วพริบตาเดียวเมฆหมอกที่ปกคลุมในเมืองหลวงก็สลายหายไปในทันที ภายในราชสำนักนั้น การปูนบำเหน็จความดีความชอบได้กลายเป็นเครื่องมือของฮั่วหลินในการตัดปีกพรรคพวกตระกูลหลินอย่างแนบเนียนฉากหน้าที่ดูเหมือนทุกอย่างกำลังเข้าสู่ความสงบสุข ท้องฟ้าสว่างสดใส ทุกอย่างนิ่งเรียบราวกับผืนน้ำนั้น แต่คลื่นลมที่อยู่ด้านใต้หาได้เคยหยุดนิ่งไม่หลังจากที่ได้รับข่าวเรื่องชัยชนะจากชายแดนใต้นั้น เจียงหวนจึงถูกเสี่ยวเจาเข็นไปส่งสำรับอาหารให้ฮั่วหลินตามปกติในห้องทรงพระอักษร ฮั่วหลินกำลังก้มหน้าก้มตาจัดการกับกองฎีกาที่สูงท่วมหัวราวกับภูเขา“ฝ่าบาทเพคะ พักมารับสำรับอาหารสักครู่หนึ่งเถิดเพคะ”เจียงหวนจึงวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างกาย พลางเอ่ยเสียงอ่อนโยนออกมาเพื่อทำลายความเงียบสงบภายในห้องฮั่วหลินจึงเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นเจียงหวน ความอบอุ่นพลันปรากฏขึ้นมาในดวงตาของฮั่วหลิน ก่อนที่เขาจะวางพู่กันลง พร้อมเดินเข้ามา[นางมาแล้ว ดีจริง ๆ][ทุกครั้งที่เห็นนาง ข้ารู้สึกว่าตนเองสามารถอ่านฎีกาได้อีกเป็นสิบเล่ม]“ลำบากเจ้
[ปากดีเสียจริงนะ นี่เป็นการแย่งชิงคนของข้าไปอย่างโจ่งแจ้งใช่หรือไม่!]ฮั่วหลินพลันมีสีหน้าบึ้งตึงที่เต็มไปด้วยความหึงหวงในทันที น้ำเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแค่ต้องการจะเตือนองค์หญิงเสียหน่อยว่า อย่าทำเรื่องที่ผิดธรรมเนียม และอย่า...”ฮั่วหลินชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปสบสายตาเจียงหวนอย่างมีความหมาย“รบกวนความสงบของผู้อื่น”ว่าผู้ใดเสียงดังกัน? !อายีน่านึกโมโหยิ่งนัก แต่หาได้มีท่ายอมอ่อนข้อต่อฮั่วหลินไม่“ระเบียบ? ธรรมเนียม? ฝ่าบาทกำลังติเตียนองค์หญิงเช่นหม่อมฉันว่า ไม่เข้าใจกฎระเบียบงั้นหรือเพคะ? ยามที่หม่อมฉันอยู่ในราชวงศ์แคว้นโม่เป่ยนั้น หม่อมฉันอยากจะไปที่ใดก็ย่อมได้ ฝ่าบาทเข้ามายุ่งวุ่นวายเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ หากผู้ใดไม่รู้ คงคิดว่าสนมทั้งหลายของท่านล้วนแต่เป็นนักโทษ!”อายีน่าหาได้ยอมจำนนต่อสายตาอันเย็นชาของฮั่วหลินไม่ นางหอบหายใจออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“หรือฝ่าบาทคิดเห็นว่า องค์หญิงเช่นหม่อมฉันมารบกวนเวลาของเจียงหวน พระองค์จึงไม่พอพระทัย?”คำพูดของอายีน่าพลันแทงใจดำเข้าอย่างจัง เกือบจะทำไหน้ำส้มเปรี้ยวของฮั่วหลินแตกออกมาแล้วสีหน้
“จากการวินิจฉัยเบื้องต้นนั้น รักแรกเริ่มแย้มบาน ลอบมีใจให้แก่เขา”“พูดจาไร้สาระ!” อายีน่าทั้งเขินอายทั้งโมโห ก่อนจะรีบเอื้อมมือมาปิดปากเจียงหวนในทันที“ผู้มีใจให้กัน เจียงหวนหากเจ้ายังเอ่ยวาจาไร้สาระอีกละก็ ข้า... ข้าจะจั๊กจี้เจ้า!”ชั่วพริบตาเดียว สตรีทั้งสองนางพากันหยอกล้อเสียจนวุ่นวายไปหมด เจียงหวนทั้งหัวเราะทั้งต้องคอยหลบไปมา ล้อรถเข็นของนางจึงส่งเสียงดังลั่นเจียงหวนหัวเราะเสียจนต้องร้องยอมแพ้ “พอแล้ว พอแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่พูดแล้ว ทว่า องค์หญิงเพคะ ท่านต้องยอมรับมันนะเพคะ สายตาของท่านในยามนี้ หาได้มีท่าทีเกลียดเขาเช่นเดิมแล้ว หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือ ท่านสามารถมองเขาได้เต็มตาแล้วใช่หรือไม่เพคะ?”อายีน่าหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา ด้วยใบหน้าแดงก่ำนางเงียบไปสองสามวินาที ก่อนที่แพขนตายาวจะหุบลง พร้อมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่เอ่ยงึมงำออกมาเหมือนเสียงยุงว่า “ก็... แค่นิดเดียวนะ อย่างน้อยท่าทียามที่เขาบังก้อนหินให้นั้น เขาดูราวกับผู้กล้าก็ไม่ปาน”เจียงหวนมองท่าทีของอายีน่าที่เต็มไปด้วยความซื่อตรงและทระนงตนของนางแล้ว มุมปากพลันอดมิได้ที่ยกยิ้มความหวานจากในซีรีย์เรื่