เสียงของ
เฉินเล่อเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่เดบิวต์ — นี่คือความประทับใจแรกที่ผมมีทุกครั้งที่ย้อนฟังผลงานเก่าๆ ของเขาไปจนถึงการแสดงสดล่าสุด เสียงช่วงแรกมีความหวานใส ปนความกรุ่นของความเป็นไอดอลที่ยังใหม่กับการใช้เทคนิคมากนัก การออกเสียงมักพึ่งพาโทนธรรมชาติและความรู้สึกมากกว่าเทคนิคการหายใจ ทำให้เสียงฟังแล้วอบอุ่นแต่บางครั้งก็ยังมีความเปราะเมื่อเจอท่อนสูงๆ
การพัฒนาในเชิงเทคนิคของเฉินเล่อสะท้อนชัดเมื่อเขาเริ่มรับงานร้องสดบ่อยขึ้นและทดลองจัดเวอร์ชันอะคูสติกให้เพลงเดิมได้มิติมากขึ้น ผมสังเกตเห็นการควบคุมลมหายใจที่ดีขึ้น น้ำหนักเสียงระหว่างชั้นเสียงกลางกับเสียงสูงเริ่มกลมกลืนกว่าเดิม และการใช้มิกซ์เสียงทำให้ท่อนพีคฟังเต็มโดยไม่ต้องผลักเสียงจนเกินขอบเขต เสียงสั่น (vibrato) ก็มีพัฒนาไปจากจังหวะที่ยังไม่แน่นอนเป็นจังหวะที่ตั้งใจใช้เพื่อเพิ่มอารมณ์
ด้านสไตลิ่งและการแสดงอารมณ์ เสียงของเขาโตขึ้นทั้งในทางเทคนิคและการเล่าเรื่องผ่านเพลง ผมชอบช่วงที่เฉินเล่อทดลองเสียงเบาๆ ในท่อนบรรยายหรือใช้เทคนิคพูดร้อง (spoken-sung) เพื่อใส่รายละเอียดเล็กๆ ที่เวอร์ชันสตูดิโอมักละเลย การร้องในสตูดิโอให้ความใสสะอาด แต่การโชว์สดในคอนเสิร์ตหรือการแสดงเวทีพิเศษแสดงให้เห็นมิติอารมณ์ที่ลึกกว่า ทั้งการลากเสียงยาว การลดน้ำหนักในพยางค์ และการตอบโต้กับผู้ฟัง ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้การตีความเพลงของเขามีมิติหลากหลายขึ้นจนกลายเป็นสไตล์เฉพาะตัว เหมือนว่าเขาเรียนรู้วิธีใช้เสียงเป็นเครื่องมือบอกเล่าเรื่องราวมากกว่าการโชว์เทคนิคล้วนๆ
สรุปแบบที่เป็นตัวผมคือ เห็นการเดินทางจากไอดอลเสียงหวานสู่ศิลปินที่รู้จักใช้เทคนิคและอารมณ์ร่วมกันอย่างมีศิลปะ ผมยังรอชมการทดลองแนวทางใหม่ๆ ของเขาต่อไป เพราะทุกขั้นตอนของการเติบโตนั้นทำให้การแสดงของเฉินเล่อน่าติดตามกว่าเดิม