มีครั้งหนึ่งที่ผมคิดว่า 'วาระสุดท้าย' ถูกเขียนให้เป็นกระจกสะท้อนความเหนื่อยล้าของสังคมมากกว่าจะเป็นปริศนาเชิงไซไฟโดยตรง
ฉากปิดที่โลกเหมือนจะจบลงในเรื่องนั้น สำหรับเราเป็นเครื่องหมายของการล่มสลายซ้ำ ๆ ที่เกิดจากการสะสมของความผิดพลาดระดับโครงสร้าง—การเมืองที่เน่า การสื่อสารที่แตกสลาย และคนรุ่นใหม่ถูกผลักให้แบกรับความล้มเหลวของรุ่นก่อน แนวคิดนี้ทำให้คิดถึงความรู้สึกของการพังทลายอย่างช้า ๆ ใน 'Neon Genesis Evangelion' ที่ไม่ได้จบแค่เหตุการณ์ธรรมดา แต่เป็นการสะท้อนภาวะจิตใจของสังคมทั้งหมด
อีกมุมคือการที่ผู้เขียนจงใจใช้ภาพสุดท้ายเป็น 'การปลุก' ให้ผู้อ่านตั้งคำถามต่อการฟื้นฟู มากกว่าจะเป็นการให้คำตอบสำเร็จรูป เหมือนกับ 'Madoka Magica' ที่เปลี่ยนการมองเรื่องเวทมนตร์จากความสวยงามเป็นการจ่ายราคาทางจริยธรรม เราเลยมองว่าทฤษฎีนี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายเหตุการณ์ตรง ๆ แต่ต้องตีความเป็นบทสนทนาเชิงสังคมมากกว่า", "หนึ่งในทฤษฎีที่แฟน ๆ ชอบหยิบมาคุยกันบ่อย ๆ เกี่ยวกับ 'วาระสุดท้าย' คือแนวคิดเรื่องวงเวลาหรือการย้อนเวลาที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มชนชั้นสูง
นิยามทฤษฎีนี้คือเหตุการณ์ดูเหมือนจะเกิดซ้ำในรูปแบบต่าง ๆ เพราะมีการรีเซ็ตหรือปรับแก้ความทรงจำของผู้คนเพื่อทดลองสังคม รูปแบบเช่นนี้ชวนให้นึกถึงกลไกใน 'Steins;Gate' ที่การเปลี่ยนแปลงเส้นเวลาไม่ใช่เรื่องธรรมชาติแต่เป็นผลจากการกระทำของมนุษย์ และยังมีความคล้ายคลึงกับความคิดใน 'The Matrix' ที่ความจริงภายนอกถูกปิดบังโดยการออกแบบระบบ เราเชื่อว่าบทบรรยายในเรื่องให้เบาะแสเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ชี้ว่าเหตุการณ์ไม่ใช่เพียง
โชคชะตา แต่มีตัวควบคุมอยู่เบื้องหลัง ซึ่งอธิบายได้ทั้งแรงจูงใจเชิงผลประโยชน์และการทดลองทางสังคม", "ภาพจำฉากสุดท้ายยังคงวนเวียนอยู่ในหัวฉันเสมอ แม้มันจะเปิดกว้างและมีหลายความหมาย แต่ทฤษฎีที่ว่า 'วาระสุดท้าย' คือการถ่ายโอนจิตสำนึกหรือการย้ายสภาพการมีชีวิต เป็นแนวคิดที่ฉันรู้สึกว่าตอบโจทย์ด้านอารมณ์ได้ดี
แนวคิดนี้มองว่าตัวละครหรือสังคมถูกบีบให้เปลี่ยนรูปร่างของการมีอยู่—ไม่ตายแบบสิ้นเชิงแต่เปลี่ยนรูปแบบการดำรง เช่นเดียวกับตอนจบบางตอนในซีรีส์ 'Black Mirror' ที่เทคโนโลยีทำให้ความตายและการมีชีวิตมีนิยามใหม่ ๆ ในมุมของฉัน การสิ้นสุดในเรื่องอาจเป็นการยกเลิกร่างกายเพื่อให้ความทรงจำหรือแก่นอารมณ์ถูกเก็บรักษาต่อไปในรูปแบบอื่น ๆ
นัยยะเชิงปรัชญานี้ยังสอดคล้องกับธีมของการสูญเสียและการยอมรับที่พบใน 'Your Name' ซึ่งไม่ได้ให้คำตอบตรง ๆ แต่ทำให้คนดูรู้สึกถึงการเชื่อมต่อข้ามกาลเวลา ฉันเลยคิดว่าถ้ารับทฤษฎีนี้ไว้ คุณจะมองฉากสุดท้ายเป็นทั้งความเศร้าและความงดงามที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของการมีชีวิต", "มุมมองสุดท้ายที่ชอบยั่วให้คิดคือการที่ 'วาระสุดท้าย' ถูกออกแบบมาให้เป็นการหลอกล่อ—ผู้ชมถูกตั้งความคาดหวังว่าทุกอย่างจะต้องได้รับคำตอบชัดเจน แต่จริง ๆ แล้วผู้เล่าเลือกใช้ความคลุมเครือเพื่อท้าทายการตีความ
ทฤษฎีสนับสนุนแนวนี้มองว่าตัวบอกเล่าในเรื่องเป็นผู้ไม่เชื่อถือได้—เราถูกม้วนข้อมูล บิดบริบท หรือโดนปล่อยเบาะแสเทียม เพื่อให้เกิดการถกเถียงและขยายความหมาย ภาพนี้ทำให้นึกถึงบทบาทของตัวละครเล่าเรื่องใน 'Fight Club' ที่ใช้การบิดเบือนเพื่อกระตุ้นผู้รับสาร อีกมิติหนึ่งคือการใช้สัญลักษณ์และรายละเอียดเล็กน้อยแทนคำอธิบายตรง ๆ เหมือนใน 'Fullmetal Alchemist' ที่บางสิ่งถูกปล่อยให้ผู้ชมเติมเต็มเอง โดยสรุป เรามองว่าความตั้งใจเชิงศิลป์นี้ไม่ได้เป็นข้อบกพร่อง แต่เป็นกลวิธีให้ผลงานยังคงมีชีวิตยาวไกลและกลายเป็นสนามคิดให้แฟน ๆ ต่อไป