จนกระทั่งเช้าวันเสาร์ นิรมลตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำบุญใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลให้กับแก้วตาและดวงวิญญาณอื่นๆ วันนี้เธอนัดเอกภพไว้ตอนแปดโมง เพื่อเดินทางไปยังบ้านของแก้วตา
ในระหว่างที่หญิงสาวกำลังล้างจานและเก็บของอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นมา เธอรีบเดินมารับสายโดยที่ไม่ได้มองว่าใครเป็นคนโทร. มา
แต่...เสียงที่ดังมาตามสายกลับไม่ใช่เอกภพ แต่กลับกลายเป็นนรีนันท์ นิรมลรีบรับคำแล้วโทรศัพท์อีกครั้ง
“น้องสาวของนิวมา ให้เขาขึ้นมาได้เลยนะคะ ห้องหนึ่งศูนย์หนึ่งสี่นะคะ ขอบคุณค่ะ”
หลังจากวางสายได้ประมาณสิบนาที เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น นิรมลรีบเดินไปเปิดประตู
“พี่นิว สวัสดีค่ะ”
นรีนันท์ทักทาย เธอมาด้วยชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์แบบวัยรุ่น รวบผมมัดไว้ด้านหลังเป็นหางม้า นิรมลทักทายน้องสาวแล้วชวนให้ออกไปทำธุระข้างนอก
“นัทมาได้เวลาพอดีเลย เดี๋ยวพี่จะออกไปข้างนอก ไปหาบ้านคนคนหนึ่งที่ปทุมธานี นัทไปกับพี่หน่อยนะ”
“อ้าว พี่นิว งั้นนัทขอเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม ขอเวลาห้านาที”
นรีนันท์พูดแค่นั้นก็รีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำด้วยความรวดเร็วตามนิสัย เมื่อน้องสาวออกจากห้องน้ำ นิรมลไม่รอช้า คว้าแขนกึ่งลากกึ่งจูงพาลงไปยังลานจอดรถทันที โดยที่ไม่ได้ถามว่ากินข้าวหรือยัง หรือต้องการอะไรหรือเปล่า
“พี่นิวจะรีบร้อนไปไหนเนี่ย แล้วจะไปบ้านใครล่ะคะ”
“พี่จะไปตามที่อยู่นี้ เดี๋ยวนัทเปิด GPS คอยบอกทางพี่ไปก็แล้วกัน”
นิรมลยื่นที่อยู่ให้ นรีนันท์ยังคงงงๆ อยู่ แต่ก็ทำตามที่พี่สาวบอกมาทุกอย่าง ในระหว่างที่น้องสาวกำลังนั่งกดโทรศัพท์เพื่อตั้งพิกัดบอกทางอยู่ นิรมลก็จัดการส่งข้อความหาเอกภพเพื่อถามว่าเขาอยู่ไหนแล้ว
‘ขอโทษด้วยนะจิ๋ว วันนี้ยัยเล็กเกิดอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก บีคงไปกับจิ๋วไม่ได้แล้วละ’
‘ไม่เป็นไรบี โชคดีที่วันนี้นัทมากรุงเทพฯ เดี๋ยวจิ๋วไปกับนัท บีอยู่ดูแลเล็กเถอะ’
นิรมลส่งข้อความเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมา เห็นว่านรีนันท์มองหน้าเธออยู่ก่อนแล้วด้วยความสงสัย
“ตั้ง GPS เรียบร้อยแล้ว พี่นิวส่งข้อความหาใครน่ะ พี่หนึ่งเหรอ”
นิรมลพยักหน้า
“ใช่ ตอนแรกหนึ่งบอกว่าจะไปกับพี่ แต่มาไม่ได้แล้วละ น้องเล็กเกิดอุบัติเหตุตกบันไดขาหัก เขาต้องอยู่ดูแลน้อง”
นรีนันท์พยักหน้ารับรู้ พูดกับพี่สาวเสียงเรียบ เธอไม่อยากให้พี่สาวคิดมาก
“พี่หนึ่งเขามีน้องสาวต้องดูแลนี่นา ถ้าวันนี้นัทไม่ขึ้นมากรุงเทพฯ พี่นิวก็ต้องไปเองใช่ไหม”
“ใช่สิ แต่อาจจะแค่ขับรถไปดูน่ะ หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้ไปไหนเลย นัทอย่ามองพี่อย่างนั้นสิ พี่รู้หรอกน่าว่าพี่หนึ่งเขาภาระเยอะแค่ไหน”
นรีนันท์ได้แต่ถอนหายใจ มองหน้าพี่สาวที่ตอนนี้ความคิดล่องลอยไปถึงเอกภพ
............................................
เอกภพเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด พ่อแม่ของเขามีอาชีพเป็นครู สอนอยู่โรงเรียนระดับประถมศึกษาแถวบ้าน พ่อแม่มีลูกสามคน ตัวเขาเป็นพี่ชายคนโต และมีน้องสาวอีกสองคน คนที่สองเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีที่สอง ส่วนคนที่สามที่เกิดอุบัติเหตุตกบันไดเรียนอยู่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
พ่อแม่ของเขามีฐานะปานกลาง และเมื่อมีลูกสามคนซึ่งอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน จึงทำให้มีบางช่วงที่การเงินขัดสนอยู่บ้าง แต่พ่อแม่ก็ไปกู้ยืมเงินมาใช้จ่ายเป็นบางครั้งบางคราว
จนกระทั่งเอกภพเรียนระดับมหาวิทยาลัย เขาเป็นคนที่ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก จึงตัดสินใจเลือกเรียนเป็นโปรแกรมเมอร์ จนเขาเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น
“พี่หนึ่ง รีบมาที่โรงพยาบาลเร็วๆ เลยพี่ แม่เป็นลมไปแล้ว”
เสียงตามสายจากน้องสาวคนรองที่โทรศัพท์มาตาม เอกภพขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ทั้งที่ในใจรู้สึกแปลกๆ
“แม่เป็นอะไร ทำไมถึงเป็นลมล่ะ แล้วพ่ออยู่ไหน”
“พี่หนึ่งรีบมาเถอะ ตอนนี้แม่กับสองและน้องเล็กอยู่ที่โรงพยาบาล...”
น้องสาวของเขาพูดเพียงแค่นั้นก็วางสายไป เท่านี้ก็ทำให้เอกภพรีบออกจากมหาวิทยาลัยแล้วไปโรงพยาบาลทันที เมื่อเขาไปถึงก็เห็นแม่นั่งร้องไห้ รอบตัวมีน้องสาวทั้งสองคนนั่งกอดแม่อยู่ด้วยกัน
“หนึ่ง!”
แม่ของเขาโผเข้ากอดทันทีที่เห็นหน้า ทำให้เขาชะงักไป
“แม่เป็นอะไรครับ แล้วพ่อล่ะ”
“พี่หนึ่ง...พะ...พ่อไม่อยู่กับเราแล้ว”
คนที่พูดประโยคนี้คือน้องสาวคนสุดท้อง ที่ตอนนั้นอายุเพียงหกขวบเท่านั้น เขาแทบไม่อยากจะเชื่อ หันมามองหน้าแม่ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็รีบตั้งสติแล้วถามน้องสาวคนรองที่ตอนนั้นดูจะเป็นที่พึ่งของเขาได้มากที่สุด
“พ่ออยู่ไหนล่ะสอง บอกพี่ที”
น้องสาวของเขาชี้ไปที่ห้องฉุกเฉิน มีพยาบาลคนหนึ่งเดินออกมา เขารีบวิ่งไปถามทันที
“คุณพยาบาลครับ พ่อผมอยู่ในนั้นใช่ไหม”
เขาบอกชื่อพ่อของเขาอย่างรวดเร็ว พยาบาลพยักหน้าให้กับเขาว่าพ่อของเขาอยู่ในห้องนี้ เขาจะเปิดประตูเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พยาบาลรีบเข้ามาห้ามไว้
“เข้าไปไม่ได้นะคะ ญาติคนไข้รออยู่ด้านนอกค่ะ”
“ผมจะเข้าไปดูพ่อ...พ่อครับ!”
เอกภพคงจะโวยวายไปอีกนาน หากไม่มีผู้ชายคนหนึ่ง น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยพาตัวเขาออกไปจากบริเวณนั้น พยายามคุยให้เขาใจเย็นลง จนเวลาผ่านไปประมาณห้านาที เขาเริ่มตั้งสติได้ จึงหันมาขอบคุณพี่คนที่ลากเขาออกมาจากหน้าห้องฉุกเฉิน
“ผมขอบคุณพี่นะครับที่ช่วยเตือนสติผม ว่าแต่พี่ไม่ออกไปไหนอีกเหรอครับ หรือว่ามาส่งใคร”
“พี่มาส่งพ่อของน้องนั่นแหละ เมื่อกี้พี่เห็นแต่แม่เรากับน้องๆ ที่ยังเด็ก พี่ก็เลยอยู่ดูสถานการณ์ก่อนน่ะ แล้วก็เจอน้องนี่แหละ”
เอกภพยกมือไหว้ขอบคุณ ด้วยความสงสัยเขาจึงถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าพ่อของเขาเสียชีวิตได้อย่างไร
“พ่อน้องน่ะขับรถยนต์ แล้วน่าจะก้มรับโทรศัพท์ เลยไม่ได้ทันดูว่ามีรถสิบล้อวิ่งแหกโค้งมา”
เอกภพนิ่งอึ้ง ในขณะที่แม่ของเขากำลังเดินมาหาเขาด้วยอาการร้องไห้ฟูมฟายมากกว่าเดิม
“หนึ่ง พ่อเสียแล้ว!”
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แม่ของเอกภพก็ดูเหมือนจะไม่ชอบการรับโทรศัพท์มากนัก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อยู่บนรถยนต์ หรือแม้แต่ในบ้านก็ตาม จึงทำให้เอกภพเคยชินกับการพิมพ์ข้อความมากกว่าการโทร. คุยกัน
............................................
ทั้งนิรมลและนรีนันท์ขับรถยนต์มาตาม GPS ที่คอยบอกทางมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงจังหวัดปทุมธานี
“พี่นิวจะไม่บอกนัทสักนิดเหรอว่าจะไปไหน ไปบ้านใคร?”
“พี่จะเอาของไปให้เขาน่ะ เป็นของคนที่บริษัท เขาเสียชีวิตแล้วฝากพี่ให้เอามาให้ครอบครัวเขา”
นิรมลเล่าสั้นๆ อย่างรวบรัด และพูดตัดบทด้วยการเปลี่ยนเป็นเรื่องอื่น
“ช่วยกันดูชื่อซอยเถอะ ว่าแต่ตรงนี้ใช่ซอยที่สิบห้าหรือเปล่า นัทช่วยพี่ดูทีสิ”
นรีนันท์มอง GPS ที่ตอนนี้ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะสัญญาณโทรศัพท์หายไปเสียแล้ว เธอเงยหน้ามองชื่อซอย เห็นเป็นซอยที่สิบห้าแน่ๆ ก็หันหน้าไปบอกนิรมล
“พี่นิว เลี้ยวเข้าซอยนี้ค่ะ ซอยที่สิบห้า”
นิรมลเลี้ยวรถเข้าไปในซอยทันทีตามที่นรีนันท์บอก แต่ซอยนั้นแคบ รถยนต์เข้าได้เพียงคันเดียวและด้านในไม่มีที่กลับรถ แถมยังเป็นซอยตัน
“ถูกซอยแน่หรือเปล่านัท ทำไมบ้านเลขที่ตามนี้ไม่เห็นมีเลย ลองดูซิ”
นรีนันท์มองบ้านเลขที่ตามบ้านที่ขับรถผ่านไป หลังแล้วหลังเล่า ผ่านไปสิบกว่าหลังก็ยังไม่พบ ในระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังหันซ้ายหันขวา คิดไม่ออกว่าควรทำอย่างไรดี ทั้งสองคนได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นจากทางด้านหลัง
นิรมลสะดุ้ง บ่นพึมพำอยู่ในรถกับนรีนันท์
“ทำยังไงดีนัท เข้าก็ไม่ได้ ออกก็ไม่ได้ด้วย รถก็น้ำมันใกล้จะหมดอีก”
“พี่นิวลงไปคุยกับเขาก่อนดีกว่า เดี๋ยวนัทลงไปเป็นเพื่อน”
ทั้งสองคนลงไปเจรจากับรถยนต์อีกคันที่มาจอดท้าย ทีแรกชายหนุ่มคนขับรถรู้สึกหงุดหงิด แต่เมื่อเห็นคนขับรถลงมาเป็นหญิงสาวถึงสองคน เขาก็เปลี่ยนท่าที
“พวกคุณสองคนจะไปไหนหรือมาหาใครครับ ผมไม่เคยเห็นพวกคุณมาก่อน”
“ฉันจะมาธุระบ้านเพื่อนค่ะ เขาอยู่ซอยที่สิบห้า ใช่ซอยนี้ไหมคะ”
นรีนันท์รีบชิงพูดก่อนพี่สาว เพราะมองท่าทีชายหนุ่มตรงหน้าออก เธอเห็นเขามองแบบไม่วางตา จึงส่งสายตาอ้อนวอนพร้อมทั้งถามด้วยเสียงหวานๆ ไป...ได้ผล เมื่อชายหนุ่มส่ายหน้า แล้วชี้มือไปทางขวา
“ไม่ใช่ครับ พวกคุณเข้าซอยผิดแล้วล่ะ ซอยนี้เป็นซอยที่สิบแปดครับ คุณต้องเลี้ยวขวาออกไปอีกสามซอย ก็จะเจอซอยสิบห้า”
ชายหนุ่มอธิบายละเอียด นิรมลและนรีนันท์ได้แต่หันมามองหน้ากัน ฝ่ายน้องสาวได้แต่ยิ้มหวานมากขึ้น น้ำเสียงที่พูดก็ยิ่งออดอ้อนมากขึ้นไปอีก
“เหรอคะ แหม...รถยนต์เราน้ำมันใกล้หมดด้วย เดี๋ยวคงต้องรบกวนให้คุณช่วยถอยรถให้หน่อยนะคะ”
“อ้าว ถ้าอย่างนั้นผมจัดการให้ก็แล้วกันครับ ทั้งเรื่องน้ำมันรถของคุณ กับถอยรถให้ครับ”
ชายหนุ่มคนนั้นไปจัดการถอยรถออกจากซอย ในขณะที่นิรมลถอยรถจนออกมาถึงหน้าปากซอยได้ ทั้งสองคนเห็นว่าหน้าปากซอยมีรถมอเตอร์ไซค์ของตำรวจจอดรอพวกเธออยู่แล้ว
นรีนันท์รีบทำหน้าที่ ด้วยการลงไปคุยกับชายหนุ่มคนนั้น เพื่อขอบคุณที่เขาช่วยเหลือพวกเธอ
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ถ้าไม่ได้คุณมาช่วยไว้ พวกฉันคงต้องงงอยู่ในซอยนั้นไปอีกนานแน่ๆ เลยค่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มให้ ทั้งสามคนยืนมองตำรวจคนนั้นถ่ายน้ำมันใส่รถยนต์ให้กับนิรมล เพื่อให้ขับรถยนต์ต่อไปได้ เขากำลังจะเอ่ยปากเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ติดต่อ แต่นรีนันท์ไม่ปล่อยให้เขารอนานนัก เธอยิ้มหวานให้ก่อนจะยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งให้กับเขาโดยที่ไม่ต้องร้องขอ
“เบอร์โทร. ของฉันค่ะ”
นรีนันท์ยื่นให้เสร็จก็รีบขึ้นรถยนต์ทันที นิรมลมองหน้าน้องสาวด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายไม่ปล่อยให้พี่สาวสงสัยนาน
“ไปเถอะพี่นิว จะไปซอยสิบห้าไหมคะ น้ำมันรถเราก็เติมแล้ว”
“วันนี้ฤกษ์ไม่ดีแล้ว พี่ว่าเรากลับบ้านกันเถอะ”
ตู้ด....ตู้ด...“อ้าว สายหลุดเหรอเนี่ย ไม่เป็นไรงั้นเดี๋ยวโทร. ใหม่ก็แล้วกัน”กฤติกาโทรศัพท์อีกครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าไม่มีสัญญาณอีกเลย นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวร้อนใจมากขึ้น จนต้องโทรศัพท์ไปหาใครอีกคนหนึ่ง“คุณอาไม่รับโทรศัพท์พี่เลย เราจะเอายังไงดีคะ ได้ค่ะ เย็นนี้เราไปบ้านคุณอาด้วยกัน”เย็นวันนั้น นรีนันท์แวะมาหากฤติกาที่โรงเรียน เพื่อจะเดินทางไปหาพ่อแม่ของมาวินด้วยกัน โดยมีนรีนันท์เป็นผู้นำทางไปบ้านมาวิน แต่เมื่อไปถึงที่นั่น ทั้งสองคนพบว่าไม่มีใครอยู่บ้าน กฤติกาจึงโทรศัพท์หาพ่อของมาวินอีกครั้ง“พี่โทรศัพท์ไม่ติดเลย สงสัยว่าคุณอาจะบล็อกเบอร์พี่ไปแล้วแน่ๆ”นรีนันท์เห็นแบบนั้น เธอจึงโทรศัพท์หาพ่อแม่ของมาวิน แต่ทั้งสองคนก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์เธอด้วยเช่นกัน ทำให้ทั้งคู่ได้แต่มองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเหตุใดพ่อแม่ของมาวินไม่ยอมรับโทรศัพท์กันแน่!ถัดจากนั้นอีกสามวัน ที่โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด ช่วงเวลาที่เด็กนักเรียนเลิกเรียนและกำลังทยอยกลับบ้าน ในระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือของกฤติกาก็ดังขึ้น“สวัสดีค่ะ วั
เช้าวันเสาร์ นิรมลขับรถกลับมาบ้านที่จังหวัดนครปฐมอีกเช่นเคย แต่ในวันนี้แทนที่เธอจะได้พบเจอกับนรีนันท์ดังเช่นทุกครั้ง หญิงสาวกลับเจอแม่อยู่ที่บ้าน ถือว่าผิดปกติ“สวัสดีค่ะแม่ วันนี้ไม่ได้ไปทำนาเหรอคะ ทำไมอยู่บ้าน แล้วน้องไปไหนคะ”แม่ในตอนนั้นที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ หันมาตอบในขณะที่กำลังกวาดพื้นบ้านอยู่“วันนี้แม่อยู่บ้าน ตั้งใจว่าจะเก็บของในห้องให้เป็นระเบียบมากกว่านี้จ้ะ ส่วนนัทไปค่ายอาสาน่ะ ตามกำหนดจะกลับมาบ้านวันนี้”นิรมลพยักหน้ารับรู้ เธอเห็นแม่ดูท่าทางเหน็ดเหนื่อย หญิงสาวเดาว่าแม่น่าจะทำความสะอาดตั้งแต่เช้าแล้วจึงรีบอาสาช่วยงานทันที“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวหนูเอาของขึ้นไปเก็บก่อนนะคะ แล้วจะลงมาช่วยค่ะแม่”นิรมลเอาของขึ้นไปเก็บบนห้องชั้นสอง เพียงครู่เดียวก็รีบลงมา พร้อมกับเปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดสีดำ กางเกงขาสั้น แม่ของเธอหันมาเห็นก็ยิ้มให้“แหม...จริงๆ แล้วไม่ต้องเปลี่ยนชุดก็ได้ แต่เอาเถอะตั้งใจขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวนิวช่วยแม่เอาของจากลังนี่ มาใส่กล่องพลาสติกให้แม่ที”แม่พูดแล้วชี้ให้นิรมลดูว่าเธอต้องย้ายของจากกล่องไหน หญิงสาวพยักหน
วันรุ่งขึ้น เป็นเช้าวันจันทร์อันแสนสดใส นิรมลขับรถออกจากบ้านที่นครปฐมตั้งแต่ตีห้า หญิงสาวต้องไปแวะที่คอนโดฯ เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย เธอขับรถผ่านจุดที่เกิดเหตุ ก็ได้พบเจอกับร่างโปร่งแสงของมาวินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มาวินไม่ได้มาในสภาพน่ากลัวอีก แต่กลับยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่มีความสุข พูดขอบคุณหญิงสาวที่ช่วยเหลือเขามาตลอด“ผมขอบคุณพี่นิวมากนะครับ ของที่ฝากพี่ไก่ไว้ เดี๋ยวพ่อแม่ผมไปเอาของคืนเอง แล้วก็...ผมฝากให้พี่ช่วยบอกพ่อแม่กับคุณลุงคุณป้าลองปรับความเข้าใจกันด้วยนะครับ”มาวินพูดเพียงแค่นั้น แล้วร่างโปร่งแสงของเขาก็หายวับไปกับตา นิรมลจึงพูดเสียงดัง“ตกลงจ้ะ วันไหนพ่อแม่ได้ของคืนแล้วมาบอกพี่ด้วยนะ”นิรมลเข้าทำงานที่บริษัท ด้วยความที่เป็นเช้าวันจันทร์ จึงมีแต่โทรศัพท์จากลูกค้าเข้ามาไม่ขาดสาย นอกจากนี้ยังมีประชุมอย่างต่อเนื่อง หญิงสาวยุ่งกับงานจนลืมเรื่องราวของมาวินไปเสียสนิทเหตุการณ์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ นิรมลยุ่งวุ่นวายกับการทำงานจนลืมวันลืมคืน จนกระทั่งถึงวันพฤหัสบดี เป็นวันครบรอบการคบกันถึงเจ็ดปีของนิรมลและเอกภพ ด้วยความยุ่งทำให้นิรมลลืม แต
นิรมลและนรีนันท์ไปถึงโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด ซึ่งเป็นโรงเรียนเดิมของทั้งคู่ ประตูรั้วโรงเรียนปิดเนื่องจากเป็นวันหยุด แต่ทั้งสองคนก็ยังมองเห็นว่าภารโรงของโรงเรียนยืนคุยอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่พวกเธอทั้งสองคนมองไม่เห็นหน้า เนื่องจากหญิงสาวคนนั้นหันหลังให้นิรมลยืนมองด้านนอกประตูรั้ว ทีแรกนรีนันท์จะเปิดประตูเข้าไป แต่พี่สาวของเธอห้ามไว้“จะเข้าไปทำไม ยืนรออยู่ตรงนี้ก่อนดีกว่า”โชคดีที่ทั้งคู่ต่างยืนรอกันอยู่ที่หน้าโรงเรียน อีกสิบห้านาทีต่อมา หญิงสาวคนที่ยืนคุยอยู่นั้นก็เดินออกมา นรีนันท์ที่ยืนมองอยู่ตาโตด้วยความดีใจ เธอรีบสะกิดบอกนิรมลทันที“พี่นิว พี่คนนี้แหละค่ะที่เป็นญาติของมาวิน”“จริงเหรอ นัทรู้ได้ยังไง”นรีนันท์ยิ้มให้กับพี่สาว แต่ก่อนที่จะทันอธิบายอะไรออกมา หญิงสาวคนนั้นก็ออกมาถึงหน้าโรงเรียนแล้ว นรีนันท์จึงเปลี่ยนเป็นเดินไปหาหญิงสาวคนนั้นแทน“สวัสดีค่ะพี่ไก่ จำนัทได้ไหมคะ”หญิงสาวคนนั้นหยุดชะงัก เธอมีใบหน้าคล้ายกับมาวิน แต่ขาวกว่า รูปร่างส่วนสูงพอๆ กันกับนรีนันท์ หญิงสาวคนนั้นหยุดคิดเพียงครู่เดียว แล้วร้องออกมา“
เช้าวันรุ่งขึ้น นรีนันท์รีบมาที่มหาวิทยาลัยตั้งแต่เช้า เธอนัดเพื่อนๆ ที่ห้องคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย หญิงสาวได้รับข้อความจากพี่สาวว่ารู้พาสเวิร์ดแล้วและพิมพ์บอกรหัสนั้นมาให้กับเธอนรีนันท์ตื่นเต้น และลุ้นมากว่ารหัสพาสเวิร์ดที่พี่สาวบอกนั้นจะถูกต้องหรือไม่ แต่เมื่อพวกเธอได้ทดลองเข้าอีเมลของมาวิน ปรากฏว่าถูกต้อง สามารถเข้าอีเมลได้ ทั้งสามคนต่างก็ดีใจกันมาก“เอาล่ะ คราวนี้กลุ่มพวกเราก็มีงานส่งกันสักที”นรีนันท์และเพื่อนๆ อีกสองคนต่างก็วุ่นวายกับการช่วยกันทำรายงานส่งอาจารย์ และสามารถส่งงานอาจารย์ได้ทันภายในวันศุกร์ตามที่กำหนดไว้ จนนรีนันท์ลืมถามนิรมลว่ารู้รหัสพาสเวิร์ดของมาวินได้อย่างไร?จนกระทั่งถึงวันเสาร์ นิรมลกลับมาถึงบ้านที่นครปฐมตั้งแต่เช้า ได้เจอกับนรีนันท์ที่กำลังเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก“พี่นิว ดีใจจังเลยค่ะที่กลับมา นัทกำลังคิดถึงพี่อยู่เลย”นรีนันท์วิ่งมากอดพี่สาวด้วยความคิดถึง นิรมลกอดน้องสาวตอบ เธอมองน้องสาวที่แต่งตัว สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ เหมือนว่าเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกมากกว่าจะอยู่บ้าน“นัทจะออกไปข้างนอกเหรอ แต่งตัวจะไปไห
นรีนันท์ที่ตอนนั้นถึงจะไม่เชื่อพี่สาวก็ตาม แต่เมื่อเธอย้อนกลับไปคิดทบทวนอีกครั้ง เธอจึงตัดสินใจที่จะทำตามอย่างที่พี่สาวบอก นั่นก็คือลองสอบถามจากเพื่อนๆ ของเธอที่ไปเจอมาวินในที่เกิดเหตุ“แกต้องไปถามแม่ของมาวินแล้วแหละ ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าของมาวินอยู่ไหน บางทีของอาจจะอยู่กับพ่อแม่ของเขาแล้วก็ได้”นรีนันท์ค้นหาเบอร์โทรศัพท์แม่ของมาวินที่เธอเคยขอไว้สำหรับการติดต่อกันเมื่อตอนงานศพของมาวิน แต่คำตอบของแม่มาวินกลับทำให้เธอสงสัยมากขึ้น‘แม่ยังไม่ได้ไปรับของคืนที่สถานีตำรวจเลย พ่อแม่ยังไม่ว่าง หนูมีอะไรหรือเปล่า’“เอ่อ...นัท...ตอนนี้นัทยังไม่มีอะไรหรอกค่ะ เพียงแต่นัทนึกถึงวันที่มาวินมาที่บ้าน วันนั้นดูเหมือนว่ามาวินจะมีโน้ตบุ๊กมาด้วย”‘งั้นเหรอจ๊ะ เอาเป็นว่าถ้าวันไหนแม่ว่างจะลองไปติดต่อที่สถานีตำรวจดูนะ’นรีนันท์วางโทรศัพท์ เธอนึกถึงเรื่องเมื่อเช้านี้ที่พี่สาวของเธอโทรศัพท์มาเล่าเรื่องบางอย่างให้ฟัง‘มาวินบอกว่าไฟล์รายงานที่ทำงานกลุ่มกัน อยู่ในโน้ตบุ๊กของเขา เขาอยากจะให้เอาของไปคืนให้พ่อแม่ของเขาให้หมดน่ะ’“แล้วพี่นิวรู้ได้ยังไงกัน มาวินมาเข้าฝันพี่หรือไง”นรีนันท์พูดเย้าแหย่พี่สาวเล่นๆ แต