“ถ้าจะทำหน้าแบบนี้ ก็ไม่ควรเสนอตัวให้กูตั้งแต่แรกสิวะ!” “ขอ ขอโทษ” “เงียบซะไวท์! แม้แต่เสียงร้องไห้ ก็อย่าให้มันเล็ดลอดออกมา” เพราะเหล้าผสมยาปลุกเซ็กส์ ที่บาร์เทนเดอร์ของผับแห่งหนึ่ง ใส่มันเพื่อหวังเคลมฉันตอนเมา ทำให้ฉันเสนอตัวให้เขา ไลน์เนอร์ เดือนสุดโหดจากคณะวิศวะ เขาเป็นคู่อริของน้องชาย ซ้ำยังเคยถูกเขาลากไปเพราะความเข้าใจผิด แต่ฉันก็ยังให้เขากินเล่น ทั้งยังรู้ผลลัพธ์ของความสัมพันธ์นี้ดีเขามี ‘คนของเขา’ อยู่แล้ว หลังจากจบคืนนั้น ตั้งใจจะลบเขาออกไป แต่ …. “ฉันนึกว่าเธอจะเปลี่ยนไปจากคืนนั้น แต่ก็ยังง่ายเหมือนเดิม เป็นฉันก็ได้ เป็นพี่ชายฉันก็ดีล่ะสิ” “เลือกซะไวท์ จะเป็นของฉัน หรือของเขา” “เลือกมันสินะ! ก่อนที่จะเป็นของมัน มึงต้องเป็นของกูก่อน” “เหมือนเธอจะชอบควยของฉันนะไวท์” “อึก ไลน์! ฉัน ฉัน จะ เสร็จแล้ว อ๊า!” ความสัมพันธ์ที่ไร้สถานะ ดำเนินต่อไปพร้อมกับความยุ่งเหยิง บางครั้งเจ็บปวดจนอยากวิ่งหนี บางทีก็หอมหวานเสียจนต้องวิ่งเข้าใส่ จะจากไปก็ไม่กล้า จะอยู่ข้างๆก็หน้าด้านไม่พอ
View More“นั่นพี่ไนท์นี่นา กรี๊ดพี่ไนท์!”
เสียงกรีดร้องของผู้หญิงที่เรียนอยู่ชั้นปีต่ำกว่า ดังไปทั่วบริเวณทางเดินเชื่อมระหว่างตึกเรียน ฉันก้มหน้าลงต่ำสาวเท้าเดินตามหลังผู้ชายรูปร่างสูงยาวเข่าดี ที่มีดีกรีเดือนบริหารประดับอยู่บนบ่า บ่นขมุบขมิบเมื่อพวกผู้หญิงเหล่านั้น ชี้มือมาทางผู้ชายที่ชื่อไนท์
“ฉันอยากเป็นของเขาจัง”
“ฉันอยากนอนอยู่ใต้ร่างกำยำนั่นสักคืน”
“ฉันอยากลองที่ระเบียงกับเขา”
ผู้หญิงพวกนั้นพูดออกมาอย่างไม่อายฟ้าดิน หรือแม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ฉันได้แต่คิดอยู่ในใจ ถ้าพวกเธอรับอารมณ์เถื่อนๆ ของไอ้ไนท์ได้ ฉันไม่มีปัญหาอะไรหรอก กลัวแต่ร่างกายของพวกเธอจะไม่ทน ให้ไอ้คนป่าเถื่อนอย่างไนท์ขย้ำนะสิ
“เห้ย! นั่นพี่ไวท์นิ! ชิบหายล่ะ!”
ปฏิกิริยาของผู้หญิงพวกนั้นต่างออกไปจากเดิม เมื่อมองเลยร่างของไนท์มาเจอฉัน ซึ่งสวมหมวกใบใหญ่ปิดบังใบหน้า ที่สำคัญคือฉันใส่แมสอยู่ด้วย ปิดขนาดนี้แล้วยังรู้ว่าเป็นฉัน ฉันที่ไม่อยากให้ตัวเองเป็นจุดสนใจ รีบหลบเข้าไปอยู่หลังไนท์ที่รูปร่างใหญ่กว่า
“ฉันอยากได้พี่ไวท์อะ!”
ฉันขนลุก เมื่อรุ่นน้องปีหนึ่งหน้าตาสวยหยด พูดขึ้นและส่งสายตาเหมือนอยากจะได้ฉันจริงๆมาให้
เธอจะบ้าเหรอ! เธอจะมาอยากได้ฉันไปทำอะไร ยี้! โคตรจะน่ากลัวเลยผู้หญิงสมัยนี้!
“เงียบสักทีสิวะ! แม่งน่ารำคาญชิบหาย”
น้ำเสียงดุดันดังมาจากด้านหลัง มันหยุดทุกเสียงได้ดี และฉันที่คุ้นเคยกับเสียงนั้น ได้แต่ทำตัวลีบตัวหด ดึงหมวกต่ำลง ทั้งๆที่มันต่ำอยู่แล้ว เพื่อพรางตัวจากกลุ่มคนของคณะวิศวกรรมศาสตร์
“กรี๊ด! พี่ไลน์เนอร์ เดือนวิศวะอะมึง เขามาทำอะไรที่คณะบริหารวะ”
เสียงใครสักคนพูดขึ้น จากนั้นเสียงกรี๊ดก็ดังระงมไปทั่วบริเวณ จนแก้วหูฉันอยากจะอักเสบขึ้นมา กรีดร้องเหมือนว่ากินนกหวีดเข้าไป ถ้าเส้นเสียงอักเสบขึ้นมา ฉันจะหัวเราะให้ฟันล่างหัก
แต่! ช่วยเอาฉันออกไปจากตรงนี้ก่อน หรือไม่ก็พวกวิศวะนี่ก็ได้ ฉันไม่อยากโดนจับได้ว่ามีตัวตนอยู่ตรงนี้
“ไนท์! มึงมาคุยกับกูหน่อยดิ” ผู้ชายคนที่เป็นจุดศูนย์กลางของเสียงกรี๊ดกราด เรียกไนท์ที่เดินหน้าต่อให้หยุด
“มีอะไรมึงก็พูดมาเลยไลน์เนอร์” ไนท์หยุดฝีเท้าลง หันใบหน้ากลับมามอง ฉันจึงหันกลับไปมองด้วยตามปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย และมันทำให้ฉันเห็นหน้าผู้ชายคนนั้น ในระยะใกล้ขนาดนี้เป็นครั้งแรก
เออว่ะ!! ตำแหน่งดาวเดือน เลือกเอาเฉพาะคนหน้าตาดีจริงๆ นั่นแหละ ฉันคิดว่าไนท์หน้าตาดีที่สุดแล้ว แต่มีคนที่หน้าตาดีกว่าเขาอยู่สินะ
คนที่ชื่อไลน์เนอร์ คือเดือนวิศวะชั้นปีเดียวกัน มีรูปร่างสูงใหญ่พอๆกันกับไนท์ แต่กล้ามเนื้อของเขาแน่นกว่าไนท์มาก คงเป็นเพราะว่าไนท์ไม่ชอบการออกกำลังกาย รูปหน้าคมคายของไลน์เนอร์ให้ความรู้สึกน่าหวาดกลัว ส่วนหน้าตาของไนท์ให้ความรู้สึกอ่อนโยนกว่า
ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมไลน์เนอร์ถึงดึงดูดผู้หญิงได้ขนาดนี้ ทั้งที่บรรยากาศรอบตัวและการแสดงออกทางสีหน้า ให้ความรู้สึกน่าตีตัวออกห่างสุดๆ
ฉันไม่ชอบผู้ชายไทป์นี้เลย ไม่ชอบผู้ชายไทป์เดียวกันกับไนท์ด้วย ฉันชอบผู้ชายอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนพ่อของฉัน
“มีอะไรก็พูดมาสิวะ! คิดว่าคนอื่นเขาว่างมายืนให้มึงจ้องหน้านักหรือไง”
ไนท์พูดจบ ก็จ้องนิ่งอยู่บนใบหน้าของไลน์เนอร์ ท่าทางกวนส้นของเขา ทำให้ฉันส่ายหน้านิดๆ ตอนนี้ไม่รู้เลยว่าไลน์เนอร์มาหาเรื่องก่อน หรือเป็นไนท์ที่น่าโดนกระทืบที่สุด
แกจะไปทำหน้ากวนตีนคนที่มีข่าวลือเรื่องชกต่อยมากที่สุดในมหาวิทยาลัยเพื่อ? โอ้ย! ฉันไม่สนแกแล้วไนท์ ทำหน้าวอนส้นตีนขนาดนั้น ถ้าฉันเป็นไลน์เนอร์ ฉันต่อยแบบไม่ต้องคิดอะบอกเลย
ฮึ่ย!
ฉันไม่สนใจไนท์อีกต่อไป เพราะการกระทำของเขามันทำให้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ขยับหมวกลงปิดใบหน้า เดินหนีออกมาจากบริเวณนั้นเพื่อไปยังชั้นเรียน ฉันไม่อยากสนใจเรื่องของคนอื่นนักหรอก ต่อให้คนๆนั้นจะเป็นน้องชายฝาแฝดของฉันก็ตาม ไนท์คงจัดการเรื่องแบบนั้นได้ดีกว่าฉันแน่
ฉันกับไนท์ เป็นฝาแฝดที่เกิดจากไข่คนละใบ ไนท์เป็นผู้ชายหน้าตาดี ส่วนฉันเป็นผู้หญิงที่หน้าตาคล้ายกับเขาเกือบ 90 % แต่เพราะมีเหตุจำเป็นบางอย่าง ฉันต้องใช้ชีวิตไม่ต่างจากเงา ทำตัวเองให้ไร้ตัวตนที่สุด และปิดซ่อนใบหน้าที่แท้จริงไว้
แต่สิ่งที่ฉันทำมาตลอด เหมือนทำให้ตัวเองโดดเด่นซะมากกว่า หมวกเอ่ย แมสเอ่ย เสื้อผ้าที่สวมใส่เอย เอาตรงไหนมาไร้ตัวตนก่อน เดินไปไหนมีแต่คนมอง และเข้าใจว่าฉันเป็นคนบ้า
ปึ่ง!
เมื่อเข้ามาในชั้นเรียนแล้ว ฉันก็รีบวางกระเป๋าหนักอึ้งของตัวเองลงบนโต๊ะ ตามความกรุ่นของอารมณ์ที่เป็นผลมาจากไนท์ ทิ้งร่างนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมที่นั่งอยู่ประจำ เหลือบตามองนาฬิกาในห้องเพื่อดูว่าเหลืออีกกี่นาทีจะเริ่มเรียน
“นั่งด้วยดิ!”
ผู้ชายคนนึงเดินมาขอนั่งด้วยทั้งที่เก้าอี้ว่างมีอีกเยอะ ฉันลากสายตาไปมองหน้าเขา ถอนใจก่อนจะพูดต่อ
“จะขอเพื่อ? ทั้งที่นั่งไปแล้ว”
“ฮ่าๆ! อารมณ์บูดแต่เช้าเลยนะ เพราะไนท์เหรอ?”
คนข้างๆพยายามชวนคุย ฉันไม่อยากสนใจเขานักหรอก เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้ชายที่เข้ามาจีบ ฉันเคยบอกไปแล้วว่าไม่ชอบการทำแบบนี้ของเขา ซึ่งเขาไม่ฟังและยังพยายามทำแบบเดิม ฉันเบื่อแต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน ต้องเจอกันอีกตั้งปี ไม่อยากมีปัญหา
“ทำไมไวท์ไม่ลงประกวดดาวคณะอะ?”
เขาถามในสิ่งที่คนอื่นก็สงสัย ฉันกับไวท์เป็นแฝดที่หน้าตาดีด้วยกันทั้งคู่ ใครที่เคยเห็นใบหน้าของฉัน มักจะถามว่าทำไมไม่ไปลงประกวดดาวคณะ ซึ่งฉันบอกคนพวกนั้นไปแค่ว่าไม่อยากวุ่นวายจึงไม่ลงสมัคร แต่เหตุผลจริงๆก็อย่างที่ฉันเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ฉันไม่อยากเป็นจุดสนใจ เพราะเหตุผลส่วนตัว
“ฉันไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวาย”
ฉันบอกคนข้างๆ พลางจิกตามองให้เขารู้สึกตัว คนที่กำลังทำตัววุ่นวายกับฉัน ใสซื่อหรือหน้าด้านก็ไม่รู้ เขาไม่รู้สึกอะไรกับคำตอบของฉันเลย
ฮึก! ใครก็ได้เอาเขาออกไปจากตรงนี้หน่อย
“ฉัน ฉันเจอกับผู้หญิงคนนั้นตอนอายุย่างสิบสามปี เราเจอกันโดยบังเอิญ เธอโผล่เข้ามาในตอนที่ฉันกำลังถูกทำร้าย” ผมพยายามพูดเลี่ยงๆ เพราะไม่อยากให้ไวท์นึกภาพตาม ยังไม่อยากให้เธอเกิดความหวาดกลัวขึ้นตอนนี้ แต่เหมือนมันจะไม่เป็นอย่างที่ต้องการ คนที่ผมกอดอยู่กำลังสั่น ผมจึงขยับแขนลงช้อนบั้นท้าย อุ้มไวท์กลับมาที่เตียงนอนสีดำสนิท “…!” “เธอถูกคนที่ทำร้ายฉันจับตัวไว้ เราถูกขังอยู่ด้วยกันนานหลายชั่วโมง ฉันที่หมดหวังว่าจะรอดชีวิตออกไป ได้เธอช่วยให้กำลังใจจนอยากมีชีวิตอยู่ต่อ” ผมเล่าอ้อมๆ กดใบหน้าลงบนไหล่เล็ก พยายามไม่นึกถึงภาพเก่าๆเหล่านั้น แต่มันทำไม่ได้ ความกลัวทำให้ผมกอดไวท์แน่น คนบนตักนิ่ง มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ผมได้ยินมันจากเธอ “ฉัน ฉันขอไม่ลงรายละเอียด เพราะฉันไม่อยากให้เธอนึกถึงมัน ฉันไม่อยากให้เธอจำเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น แต่ฉันไม่เคยลืมเธอเลยนะไวท์ ไม่เคยลืมเลย แม้กระทั่งตอนหลับ เธอก็ยังช่วยดึงฉันออกมาจากฝันร้ายเหล่านั้น” “ฮึก! นายจะบอกฉันว่า ฉัน ฉันคือผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม นายจะบอกฉันว่า เด็กคนนั้นที่อยู่กับฉัน ยังไม่ตายงั้นเหรอ นาย นายคือเขาเหรอ” ไวท์ขยับตัวหมุนมาเผ
“ทำอะไรอยู่อะไวท์?!” ตึง! ตึง! เสียงของไลน์เนอร์ดังขึ้นบริเวณหน้าห้อง ไม่นานเสียงวิ่งตึงตังก็ดังขึ้นมา และเพียงไม่นานสมุดบันทึกเล่มนั้นก็หลุดออกไปจากมือ ใบหน้าตกใจของเขา ทำให้ฉันเข้าใจทุกอย่าง เขาไม่ได้ต้องการให้ฉันอ่านมัน เธอคนนั้นที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นแรกไม่ใช่ฉัน แต่มันหมายถึงเธอ เธอที่เหมือนตุ๊กตาของเขา “ฉันจะกลับไปนอนที่บ้าน” ฉันบอกพลางลุกขึ้นจากเตียง เหมือนร่างกายมันจะหมดแรงลงดื้อๆ แต่ก็ฝืนจนยืนได้สำเร็จ คนตรงหน้าฉันเงียบ การที่เขาเงียบ มันทำให้ฉันเริ่มคุมการไหลของน้ำตาไม่ได้ เขาคิดยังไงกับฉันกันแน่ ฉันตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหม ที่เลือกคบกับเขา “ … เธอ อ่านถึงไหนแล้ว? ฉันบอกว่าอย่ายุ่งกับของอย่างอื่นไง” เขาถาม จากนั้นก็เริ่มตำหนิสิ่งที่ฉันทำ ฉันกำลังจะอ้าปากบอกเขาว่าเจอมันอยู่ในถุงกระดาษ แต่เสียงมันหายไป และไม่นานริมฝีปากก็เม้มแน่น น้ำตาของฉันไม่มีผลอะไรกับเขาเลย ทั้งๆที่เห็นมันแล้ว เขาทำแค่เพียงมองมันด้วยสายตาเรียบเฉย “ไวท์!” “ฮึก! … ขอ ขอโทษ!” “ไวท์! มันไม่ใช่สิ่งที่เธอควรเห็นหรอก ฉันผิดเองที่ไม่ได้ตรวจดูมันให้ดี” ไลน์เนอร์ก้าวเข้ามาใกล้ ฉันถอยทั
17 : 45 น. หลังจากเรียนคาบสุดท้ายจบ ไลน์เนอร์ก็อาสามาส่งฉันที่คอนโดก่อน เพราะเขามีท่าทีรีบร้อน ฉันจึงไม่อยากทำให้เขาเสียเวลา ปล่อยเขาไปทันทีที่วนรถขึ้นมาถึงชั้นบน คนตัวโตทำหน้าตึง แต่ก็รีบบึ่งรถหรูคันโปรดของเขาออกไป Tru Tru “มีอะไร ลืมอะไรหรือเปล่า?” คนที่เพิ่งจะมาส่งฉัน และยังขับรถไปได้ไม่ไกลโทรกลับมา ไลน์เนอร์ไม่ยอมพูด บอกให้ฉันรู้ว่าเขากำลังใช้สมาธิในการวนรถลงไปข้างล่าง [ คือ … ฉันซื้อชุดนอนมาให้ เธอช่วยใส่ชุดนั้นนอนรอฉันได้ไหม ] “ที่จะพูดมีแค่นี้ ทำไมไม่พูดตอนมาส่งล่ะ” ฉันแตะคีย์การ์ดเข้ากับเครื่องสแกนหน้าทางเข้า ใช้ใบหน้ากดโทรศัพท์ให้มันแนบกับใบหู ใช้มือดันประตูเข้าไป สอดตัวผ่านช่องว่าง จากนั้นก็ใช้มือถือโทรศัพท์อีกครั้ง [ เหอะน่า! ] “อือ ก็ได้ ขับรถระวังนะ” [ อืม ] ไลน์เนอร์เป็นฝ่ายตัดสายไป ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ถึงจะเป็นคนรักของเขา ถึงผู้ใหญ่จะยินยอมให้เราคบหากัน แต่ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย คงเพราะไลน์เนอร์เป็นคนแบบนั้น เขาไม่เคยพูดคำว่ารักหรือชอบออกมาดีๆ มันจึงทำให้ฉันเกิดความกังวล ว่าจริงๆแล้ว เขาชอบฉันจริง หรือแค่อยากกันฉันออกจากพี่ชายของเขา
“เสียดายจัง ไม่มีพี่ไวท์อยู่ ข้าวก็ไม่อยากไปเลยอะ ข้าวออกบ้างดีไหมคะ” “แต่นั่นก็เท่ากับว่า ข้าวลดโอกาสของตัวเองลงนะ” “ฮ่าๆ มันยังมีโอกาสเหลือให้ข้าวอยู่เหรอคะ ข้าวรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหวังเลย ตั้งแต่การหมั้นถูกยกเลิก พี่เขาก็กลายเป็นคนเข้าถึงยาก ตอนนี้ใครก็เข้าหน้าเขาไม่ติด” ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันเจอกับข้าวหอมตอนเที่ยงทุกวัน และนั่งปรับทุกข์ให้กันฟังไม่ต่างจากตอนนี้ ทุกข์ของฉันมีไม่มาก แต่ความทุกข์ของข้าวหอมกองโตกว่าภูเขา และวันนี้ ดวงตาของเธอเริ่มฉายความอ่อนล้าออกมา มันเหมือนเธออยากจะตัดใจจากพี่อาเธอร์จริงๆ “อ่า ลอง … ลองทำแบบนั้นดูไหมอะ พี่ก็ พี่ก็ตกไลน์เนอร์ได้เพราะทำแบบนั้นกับเขา” กว่าจะพูดจบ ใบหน้าก็ร้อนเหมือนถูกไฟเผา ฉันแนะนำอะไรออกไป แล้วทำไมยัยแว่นนี่ ต้องทำหน้าตาจริงจังขนาดนั้น อย่าบอกนะว่า คิดจะทำตามคำแนะนำของฉันจริงๆ “แบบนั้นคือแบบไหนเหรอ?” “ก็แบบ … มีเซ็กส์ไง มีเซ็กส์ … กรี๊ด! ไอ้บ้า! จะแกล้งทำไมเนี่ย!” การปรากฏตัวของไลน์เนอร์ ทำฉันตกใจจนเกือบจะตกเก้าอี้ โชคดีที่เขาใช้แผ่นอกดันแผ่นหลังฉันไว้ ซ้ำยังใช้สองแขนโอบกอดรอบเอวแน่น เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำค
“บอกไว้เลยนะว่าฉันไม่ใช่ลูกรัก ไม่ได้มีพร้อมเหมือนที่พี่อาเธอร์มี แต่ฉัน …ฉันจะดูแลเธอให้ดีที่สุด” ผมเขินตอนพูดประโยคสุดท้าย คำพูดที่เหมือนคนกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ มากกว่าจะเป็นการมาฝากตัวกับครอบครัว ทำเอาไวท์หัวเราะคิกคัก “คิกๆ ฉันเตรียมใจตั้งแต่หลงรักคนอย่างนายแล้วแหละไลน์เนอร์ เพราะฉะนั้น อย่าห่วงเลย” “เธอ เข้มแข็งตลอดเลยนะ” ผมชมคนตัวเล็กที่ยังคงยิ้มไม่หุบ ก้าวเดินต่อไปช้าๆ คราวนี้ไม่มีความลังเลอยู่เลย การมาถึงของเราทั้งคู่ ไม่ได้ทำให้สองคนที่นั่งคุยกันอยู่เกิดความแปลกใจ ผมบอกแม่ไว้แล้วว่าจะพาไวท์มาหา ตั้งแต่ยังอยู่ที่มหาวิทยาลัย ส่วนอเล็กซ์ก็คงรู้มันจากแม่อีกที “สวัสดีครับแม่ อเล็กซ์” “สวัสดีค่ะ” “สวัสดีจ๊ะหนูไวท์ ไลน์เนอร์เล่าเรื่องหนูให้แม่ฟังเยอะเลย” แม่รับไหว้ผมกับไวท์ อเล็กซ์พยักหน้ารับเพียงอย่างเดียว จากนั้นก็ปล่อยให้แม่เป็นฝ่ายพูดคุยกับเรา ด้วยความที่แม่อยากจะมีลูกสาวมานาน การที่ผมพาไวท์มา สีหน้าของท่านจึงดูดีมาก ยิ่งตอนที่ไวท์ขยับเข้าไปยืนใกล้ๆท่านเพราะโดนฝ่ามือผมดัน ท่านยิ่งยิ้มไม่หุบ “ตายแล้ว! หน้าหนูไปโดนอะไรมาลูก?” รอยยิ้มของแม่หายไป เมื่อได้เห็
“อ๊ะ! นะ นาย / ชู่ว! เบาเสียงหน่อยสิ ฉันยังไม่อยากถูกคนอื่นจับได้นะ” ผมบอกไวท์ชิดแผ่นหลัง สอบเอวควงความใหญ่โตเข้าออกถี่ขึ้น ความอดทนเริ่มจะถึงขีดจำกัด แต่ก็พยายามยื้อเวลาออกไปอีก เพราะคนที่อยู่ใต้ร่างในท่าโก้งโค้ง ยังไม่ได้แตะขอบสวรรค์ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นมีหรือผมจะสนใจ แต่เพราะนี่คือไวท์ ผมอยากทำให้เธอเสร็จด้วย “อึก!” คนตัวเล็กตัดสินใจใช้มือตัวเองช่วยปิดเสียงคราง เห็นแล้วรู้สึกสงสาร ผมจึงเลื่อนมือไปด้านหน้า ดึงมือของไวท์ออกมาจากริมฝีปากของเธอ “อึก อื้อ!” ไวท์ลังเลที่จะใช้มือของผม แต่เพียงไม่นานริมฝีปากหยักสวยก็อ้าออก กดฟันซี่สวยลงบนอุ้งมือ เสียงครางหวานหายไปในทันที ผมสอบเอวถี่ยิบ อีกมือลูบวนบนจุดกระสัน ถี่รัวเป็นจังหวะเดียวกันกับสะโพก ความเสียวซ่านแผ่ไปทั่วลำกาย ความอ่อนนุ่มบีบรัดตัวแน่น สะโพกเล็กแอ่นขึ้นรับสัมผัสหนักหน่วง ตับ! ตับ! “อึก!” “เสียงดีใช้ได้เลยเนอะ” “อ๊ะ อื้อ!” ผมพูดจาหยอกล้อคนตัวเล็ก เพื่อระงับอารมณ์ที่พวยพุ่งขึ้นสูงจนเกือบจะถึงขีดจำกัด ผมยังอยากแช่ตัวตนอยู่ในความคับแน่น อยากกระแทกให้มันลึกกว่านี้ ถี่กว่านี้ แต่ไวท์เสร็จไปแล้ว ความคับแน่นของเธอ ก
Comments