เมื่อเชฟหญิงที่หยิ่งยโสจนมีแต่ผู้คนเกลียดกับเกิดอุบัติเหตุย้อนเวลามาเป็นลูกคนจนที่แสนลำบากในยุค80...
View Moreกลิ่นหอมเข้มข้นของน้ำมันงาคั่วคลุกเคล้ากับกลิ่นเครื่องเทศนานาชนิด ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องครัวสเตนเลสที่ทันสมัย เสียงกระทะเหล็กใบใหญ่ถูกพลิกกลับไปมาอย่างคล่องแคล่ว ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายผู้ปรุง แสงไฟสีขาวสว่างจ้าส่องลงมาจับทุกอิริยาบถของ หลิน เยว่ซี เชฟสาววัยย่าง 28 ปี ผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะแห่งวงการอาหารจีน เธอคือหัวใจสำคัญที่ดึงดูดลูกค้ากระเป๋าหนักให้เข้ามาลิ้มลองรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมหรูระดับประเทศแห่งนี้
ปลายนิ้วเรียวยาวที่ได้รับการดูแลอย่างดี สัมผัสและปรุงแต่งวัตถุดิบแต่ละชนิดด้วยความใส่ใจ ราวกับศิลปินกำลังสร้างสรรค์งานศิลปะชั้นเลิศ ไม่นานนัก "เป๋าฮื้อเจี๋ยนคะน้าฮ่องกงน้ำมันหอย" จานซิกเนเจอร์ที่ใครต่อใครต่างก็ใฝ่ฝันถึง ก็ถูกจัดวางลงบนจานกระเบื้องลายครามอย่างพิถีพิถัน พร้อมส่งตรงสู่โต๊ะของท่านประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง ถึงแม้ฝีมือการทำอาหารของหลิน เยว่ซี จะเป็นที่กล่าวขานไปทั่วทั้งวงการ จนยากจะหาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ ทว่าบุคลิกส่วนตัวของเธอกลับเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือ ความมั่นใจในตนเองที่สูงล้นจนกลายเป็นความหยิ่งทะนง ทำให้เธอไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของผู้ร่วมงาน "เชฟหลินคะ ออร์เดอร์พิเศษจากห้องหมายเลข 10 ต้องการซุปหูฉลามน้ำแดงเพิ่มค่ะ" ผู้ช่วยเชฟสาวหน้าตาตื่นรีบเข้ามาแจ้ง "ก็ไปจัดการสิ นั่นมันหน้าที่ของเธอไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้ฉันกำลังควบคุมไฟสำหรับเมนูสำคัญ อย่าให้ใครมารบกวน" หลิน เยว่ซีตอบกลับเสียงเรียบ โดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองคู่สนทนา มือยังคงสาละวนกับการผัดอาหารในกระทะ ด้านหลังเคาน์เตอร์เตรียมวัตถุดิบ เว่ย ซูหลิน เชฟรุ่นพี่วัย 32 ปี ยืนมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปนกัน ความขุ่นเคืองน้อยใจก่อตัวขึ้นในอก เธอทำงานในครัวแห่งนี้มานานกว่าห้าปี ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ เรียนรู้ทุกขั้นตอนอย่างอดทน แต่กลับไม่เคยได้รับคำชมเชยหรือโอกาสในการแสดงฝีมือเทียบเท่าเชฟรุ่นน้องที่เพิ่งก้าวเข้ามาในวงการได้ไม่นาน "เฮ้อ..." ซูหลินถอนหายใจเบาๆ พลางก้มหน้าหั่นผักด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ในคืนที่ท้องฟ้ามืดสนิท หลังเสร็จสิ้นภาระกิจอันหนักอึ้ง หลิน เยว่ซีกำลังขับรถสปอร์ตหรูสีแดงเพลิงกลับคอนโดมิเนียมสุดหรูใจกลางเมือง แสงไฟจากอาคารสูงระยิบระยับสองข้างทางสะท้อนกับตัวรถเป็นประกาย ความอ่อนล้าจากการทำงานตลอดทั้งวันเริ่มกัดกินเรี่ยวแรง ทันใดนั้น พวงมาลัยในมือก็สั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลิน เยว่ซีรู้สึกถึงความผิดปกติและรีบเหยียบเบรกสุดแรง ทว่ารถกลับไม่ตอบสนอง ราวกับว่าเท้าของเธอกำลังเหยียบอากาศ "บ้าจริง! เบรกแตกเหรอเนี่ย!?" ดวงตาคู่คมเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เหงื่อเม็ดเล็กๆ เริ่มผุดพรายตามไรผม ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน สติสัมปชัญญะค่อยๆ เลือนรางลง พร้อมกับเสียงดังสนั่นเมื่อรถยนต์คันหรูพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ริมถนนอย่างรุนแรง ... ความเจ็บปวดแสนสาหัสแล่นริ้วไปทั่วร่าง ไป๋ หลินฮวา ค่อยๆ ปรือเปลือกตาขึ้นอย่างยากเย็น แสงสลัวลอดผ่านรอยแตกของผนังดินเข้ามาในห้องเล็กๆ ที่ดูเก่าโทรม กลิ่นดิน กลิ่นหญ้า และกลิ่นอับชื้นลอยมาแตะจมูก "อืม..." เสียงครางเบาๆ หลุดออกจากริมฝีปากแห้งผาก เธอพยายามขยับตัว แต่ความเจ็บปวดที่แผ่นหลังทำให้ต้องนิ่วหน้า ภาพที่ปรากฏตรงหน้าช่างแตกต่างจากห้องนอนหรูหราของเธอราวกับอยู่กันคนละโลก ผนังดินที่ฉาบด้วยปูนขาวบางๆ หลังคามุงจากที่เห็นร่องรอยของความเก่า เตียงไม้ผุๆ ที่มีฟูกฟางบางๆ ปูอยู่ และผ้าห่มเนื้อหยาบที่คลุมกายเธอไว้... ที่นี่มันที่ไหนกัน? ในขณะที่ความสับสนยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด หญิงวัยกลางคนใบหน้าซูบผอม ดวงตาแดงก่ำ รีบเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าตกใจและเป็นห่วง "อ้ายย่ะ! เสี่ยวฮวา... ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นเสียที แม่ใจหายใจคว่ำหมด" เสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย "เสี่ยวฮวา?" หลินฮวาขมวดคิ้วมุ่น มองหญิงตรงหน้าด้วยความงุนงง "คุณ... เรียกฉันว่าอะไรนะคะ? ฉันชื่อ... หลิน เยว่ซี" หญิงวัยกลางคนชะงักไปเล็กน้อย มองใบหน้าซีดเซียวของเธอด้วยความสงสัย ก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา "หลิน เยว่ซี? เจ้าพูดอะไรน่ะเสี่ยวฮวา เจ้าความจำเสื่อมไปแล้วหรือ? เจ้าชื่อไป๋ หลินฮวา ไม่ใช่หรือ?" ไป๋ หลินฮวา... ไม่ใช่ หลิน เยว่ซี... นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่? และทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเรียกเธอด้วยชื่อที่ไม่คุ้นเคย? ความสับสนและความหวาดหวั่นเริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจหลังจากผ่านพ้นอุปสรรคและความเข้าใจผิดต่างๆ มู่ เฟยหลง และ ซินเยว่ ก็ยิ่งแน่ใจในความรู้สึกที่มีต่อกันมากขึ้น เฟยหลงชื่นชมในความเฉลียวฉลาด ความคิดที่ทันสมัย และจิตใจที่เข้มแข็งของซินเยว่ ส่วนซินเยว่ก็หลงรักในความอบอุ่น ความมีน้ำใจ และความซื่อตรงของเฟยหลงทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เฟยหลงพาซินเยว่ไปชมความงามของไร่ชาในทุกฤดูกาล สอนเธอเกี่ยวกับพืชพรรณและวิถีชีวิตของผู้คนในยุคนี้ ซินเยว่เองก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับโลกอนาคต ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปให้เฟยหลงฟังอย่างสนุกสนานความแตกต่างของยุคสมัยกลับกลายเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดให้ทั้งสองเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้น เฟยหลงรู้สึกทึ่งในมุมมองที่แปลกใหม่ของซินเยว่ ในขณะที่ซินเยว่ก็ประทับใจในความงดงามและความเรียบง่ายของชีวิตในยุคนี้วันหนึ่ง ขณะที่ทั้งสองนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินที่เนินเขามองเห็นไร่ชาทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เฟยหลงก็จับมือซินเยว่อย่างอ่อนโยน"ซินเยว่ ตั้งแต่เจ้ามาอยู่ที่นี่ ชีวิตของข้าก็เปลี่ยนไป ข้ารู้สึกเหมือนโลกของข้ากว้างขึ้น และมีสีสันมากขึ้น" เฟยหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรักซินเยว่ย
ด้วยความโกรธเคือง มู่ เฟยหลง ตรงไปยังจวนตระกูลหลิวอีกครั้ง คราวนี้สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงออกถึงความสุภาพเหมือนครั้งก่อน แต่กลับฉายแววเด็ดเดี่ยวและโกรธเกรี้ยวเมื่อไปถึง เฟยหลงไม่ได้แจ้งคนรับใช้ แต่เดินเข้าไปในจวนด้วยท่าทีเร่งรีบ ตรงไปยังเรือนของ หลิว ฮุ่ยหลิน ทันทีฮุ่ยหลินที่กำลังนั่งปักผ้าอย่างใจเย็น เมื่อเห็นเฟยหลงเข้ามาด้วยสีหน้าที่ถมึงทึงก็ตกใจจนเข็มหลุดจากมือ"คุณชายมู่... ท่านมาที่นี่ด้วยท่าทีเช่นนี้ มีเรื่องอะไรหรือคะ?" ฮุ่ยหลินแสร้งถามด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย"ฮุ่ยหลิน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!?" เฟยหลงตวาดเสียงดัง ทำให้ฮุ่ยหลินสะดุ้ง"ข้า... ข้าไม่เข้าใจว่าท่านหมายถึงอะไร" ฮุ่ยหลินพยายามทำเป็นไม่รู้เรื่อง"อย่าเสแสร้งเลย! ข้ารู้หมดแล้ว เรื่องผงสมุนไพรที่เจ้าซ่อนไว้ในครัว!" เฟยหลงกล่าวเสียงเข้ม ดวงตาจ้องมองฮุ่ยหลินอย่างไม่วางตาใบหน้าสวยของฮุ่ยหลินซีดเผือด เธอรู้ว่าความลับของเธอถูกเปิดเผยแล้ว"ท่าน... ท่านรู้ได้อย่างไร?" ฮุ่ยหลินถามเสียงแผ่ว"ท่านแม่ของข้าเป็นคนพบ! เจ้าคิดจะใช้ยาพิษนั่นทำร้ายใคร! ทำร้ายซินเยว่ใช่หรือไม่!?" เฟยหลงกล่าวด้วยความโกรธฮุ่ยหลินตัวสั่นเทิ้ม น้ำตาเริ่มคล
เมื่อแผนการสร้างความเข้าใจผิดทางวัฒนธรรมไม่เป็นผล หลิว ฮุ่ยหลิน ก็เริ่มคิดหาวิธีที่ร้ายแรงยิ่งขึ้น เธอตัดสินใจที่จะใช้ประโยชน์จากความไม่คุ้นเคยของ ซินเยว่ กับยุคสมัยนี้ในทางที่อันตรายฮุ่ยหลินแอบได้ยินซินเยว่พูดคุยกับ ไป๋ หลินฮวา เกี่ยวกับเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าในอนาคต ซึ่งสามารถรักษาโรคบางอย่างได้อย่างง่ายดาย ฮุ่ยหลินจึงเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นวันหนึ่ง ฮุ่ยหลินแสร้งทำเป็นหวังดี เข้ามาพูดคุยกับซินเยว่ด้วยท่าทีที่อ่อนโยนผิดปกติ"ซินเยว่ ข้าได้ยินว่าโลกของเจ้ามียาที่รักษาโรคได้สารพัดเลยใช่หรือไม่?" ฮุ่ยหลินถามด้วยน้ำเสียงที่ดูสนใจซินเยว่พยักหน้า "ค่ะ เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้ามาก มีหลายโรคที่รักษาได้ง่ายกว่าที่นี่มาก""จริงหรือ? น่าอัศจรรย์จริงๆ" ฮุ่ยหลินแสร้งทำเป็นทึ่ง "แล้ว... โรคที่ทำให้คนป่วยหนักๆ ล่ะคะ? อย่างเช่น... โรคที่ทำให้หมดสติไปนานๆ น่ะค่ะ"ซินเยว่มองฮุ่ยหลินด้วยความสงสัย "ก็มีวิธีรักษาค่ะ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ"ฮุ่ยหลินเก็บข้อมูลนั้นไว้ในใจ และเริ่มวางแผนการร้ายที่อันตราย เธอคิดที่จะใส่ร้ายซินเยว่ว่ามียาพิษร้ายแรงจากอนาคต และพยายามจะใช้มันทำร้ายคนในตระกูลมู่
เมื่อแผนการใส่ร้ายด้วยคำพูดไม่สำเร็จ หลิว ฮุ่ยหลิน ก็เริ่มคิดหาวิธีที่แนบเนียนและร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม เธอตัดสินใจที่จะใช้ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและความไม่คุ้นเคยกับยุคสมัยของ ซินเยว่ มาเป็นเครื่องมือฮุ่ยหลินแอบสังเกตกิจวัตรประจำวันของซินเยว่ และพยายามหาโอกาสที่จะทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายหรือถูกเข้าใจผิดวันหนึ่ง ฮุ่ยหลินเห็นซินเยว่สนใจเครื่องดนตรีโบราณชิ้นหนึ่งในห้องโถงใหญ่ เธอจึงวางแผนที่จะใช้สิ่งนี้ต่อมา ฮุ่ยหลินแสร้งทำเป็นชวนซินเยว่ไปเดินเล่นในงานเทศกาลประจำหมู่บ้าน ที่นั่นมีการแสดงดนตรีพื้นเมืองและการละเล่นต่างๆ มากมาย"ซินเยว่ เจ้าเคยเห็นการแสดงแบบนี้หรือไม่?" ฮุ่ยหลินถามด้วยรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรซินเยว่มองการแสดงด้วยความสนใจ "ไม่เคยค่ะ น่าตื่นตาตื่นใจมาก"ฮุ่ยหลินชี้ไปยังเวทีที่มีนักดนตรีกำลังบรรเลงเพลงด้วยเครื่องดนตรีโบราณชิ้นหนึ่งที่คล้ายกับที่อยู่ในห้องโถงใหญ่"นั่นคือ 'กู่ฉิน' เครื่องดนตรีที่มีประวัติยาวนาน หากเจ้าสนใจ ข้าจะสอนวิธีเล่นให้" ฮุ่ยหลินเสนอซินเยว่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงตอบตกลงฮุ่ยหลินพาซินเยว่ไปที่กระท่อมเล็กๆ หลังเวที ซึ่งมีกู่ฉินวางอยู่ เธอเริ่ม
หลิว ฮุ่ยหลิน ใช้เวลาสังเกต มู่ เฟยหลง และ ซินเยว่ อย่างละเอียด จนกระทั่งเธอสังเกตเห็นความสนใจที่ซินเยว่มีต่อสิ่งประดิษฐ์และเรื่องราวเกี่ยวกับโลกอนาคตฮุ่ยหลินเริ่มวางแผนที่จะใช้ความแตกต่างทางยุคสมัยของซินเยว่มาเป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้าใจผิด เธอตัดสินใจที่จะแสร้งทำเป็นสนใจในสิ่งที่ซินเยว่พูดถึง และบิดเบือนความหมายให้เฟยหลงเข้าใจผิดวันหนึ่ง ขณะที่เฟยหลงกำลังอธิบายเรื่องการทำชาแบบดั้งเดิมให้ซินเยว่ฟัง ฮุ่ยหลินก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตร"โอ้โห! คุยเรื่องอะไรกันอยู่คะ น่าสนุกจัง" ฮุ่ยหลินเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาน"พวกเรากำลังคุยกันเรื่องชาครับ" เฟยหลงตอบด้วยความสุภาพ"ซินเยว่เล่าเรื่องเทคโนโลยีที่ทันสมัยของยุคเธอให้ฉันฟังด้วยค่ะ น่าทึ่งมากเลย" ฮุ่ยหลินกล่าวเสริมพลางหันไปยิ้มให้ซินเยว่ซินเยว่รู้สึกแปลกใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของฮุ่ยหลิน แต่ก็ตอบกลับไปอย่างเป็นมิตร"ค่ะ ฉันเล่าเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าให้คุณฮุ่ยหลินฟัง""ใช่ค่ะ! รถยนต์ที่ไม่ต้องใช้น้ำมัน! สุดยอดไปเลย" ฮุ่ยหลินแสดงท่าทีตื่นเต้น ก่อนจะหันไปมองเฟยหลงด้วยสายตาที่แฝงความหมาย "แต่ก็น่าแปลกนะคะ ที่บางคนมาจากยุคที่เจริญก้าว
ด้วยความหนักใจ มู่ เฟยหลง เดินทางไปยังจวนของขุนนางหลิว บิดาของ หลิว ฮุ่ยหลิน เขาหวังว่าการพูดคุยกับผู้ใหญ่จะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้เมื่อเฟยหลงแจ้งความประสงค์ที่จะพบ ท่านขุนนางหลิวก็ออกมาต้อนรับด้วยท่าทีสงสัย"คุณชายมู่ มาถึงจวนข้าแต่เช้า มีธุระอันใดหรือ?" ท่านขุนนางหลิวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ"ท่านพ่อตาหลิว ข้ามาเพื่อแจ้งให้ท่านทราบถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคุณหนูฮุ่ยหลิน" เฟยหลงกล่าวตรงไปตรงมาท่านขุนนางหลิวขมวดคิ้วเล็กน้อย "เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?"เฟยหลงเล่าเรื่องที่ฮุ่ยหลินปล่อยข่าวลือใส่ร้าย ซินเยว่ และล่าสุดยังลงมือทำร้ายร่างกายเธอด้วยท่านขุนนางหลิวฟังด้วยสีหน้าที่เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเฟยหลงเล่าจบ เขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ"ข้าขออภัยแทนลูกสาวของข้าด้วยคุณชายมู่ นางอาจจะทำอะไรที่ไม่สมควรลงไปเพราะความหึงหวง" ท่านขุนนางหลิวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเสียใจ"ข้าหวังว่าท่านจะตักเตือนคุณหนูฮุ่ยหลินไม่ให้กระทำการเช่นนี้อีก ซินเยว่เป็นแขกของตระกูลข้า การกระทำของนางเป็นการไม่ให้เกียรติกัน" เฟยหลงกล่าวอย่างหนักแน่น"ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะพูดคุยกับฮุ่ยหลินอย่างจริงจัง และจะดูแลไม่ให้เ
Comments