“อยากให้เลิกเสือกไหม?”
เหมือนจะเห็นรอยยิ้มหยักสวยจากกลีบปากคล้ำ มากกว่าได้ยินประโยคชวนวูบไหวจากเขา ฉันผละถอยหลัง รู้สึกแปลกและร้อนวูบเพราะรอยยิ้มของไลน์เนอร์
“ก็ต้องอยากสิ ช่วยปล่อยให้ฉันใช้ชีวิตเงียบๆเหมือนเดิมได้ไหม การที่นายมาวุ่นวายกับฉันหลังจากที่รู้แล้วว่าฉันไม่ใช่ไนท์ มันทำให้ฉันลำบากนะ”
เพราะรอยยิ้มนั้นของไลน์เนอร์ กับใบหน้าที่ดูอ่อนโยนลงกว่าที่เคยเห็น ฉันจึงลองคุยกับเขาดีๆ
“ทำไม?”
“ไม่ต้องรู้หรอกว่าทำไม ฉันมีเหตุผลก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นปล่อยฉันไปเถอะ”
“ …”
“ …?”
ดวงตาสีเข้มของไลน์เนอร์ เปลี่ยนไปจนฉันใจสั่น
‘ เสียดาย’ และ ‘เสียใจ’
ไม่รู้ฉันเพี้ยนไปหรือเปล่า ถึงรู้สึกว่าดวงตาของเขาแสดงความรู้สึกแบบนั้นออกมา
“ขะ ขอบคุณที่เข้าใจนะ”
ฉันก้าวเดินออกมาด้วยความรวดเร็ว หัวใจเต้นเร็วจนผิดปกติ ไม่อยากคิดอะไร ไม่อยากให้ภาพของไลน์เนอร์ฝังอยู่ในหัวเหมือนสองวันที่ผ่านมา จึงสลัดทุกอย่างเกี่ยวกับเขาทิ้งไป คงไม่มีโอกาสให้เจอกันอีกแล้ว ฉันต้องดีใจ และกลับไปใช้ชีวิตปกติ
ชีวิตที่หลบๆซ่อนๆ เหมือนเป็นเพียงแค่เงา
18 : 45 น.
เรื่องราวของผู้ชายชื่อไลน์เนอร์ ยังคงรบกวนฉันอยู่เหมือนเดิม ฉันนอนคิดเรื่องของเขาอยู่บนเตียง หาเหตุผลมาตอบตัวเองว่าทำไม ไลน์เนอร์ถึงยังวุ่นวายกับฉันไม่เลิก ทั้งที่รู้แล้วว่าฉันไม่ใช่ไนท์ ทำไมถึงมาวุ่นวายกับฉันอยู่เรื่อยเลย
Tru Tru
ในขณะที่ยังหาคำตอบเรื่องไลน์เนอร์ไม่ได้ โทรศัพท์รุ่นล่าสุดที่เฉียดเงินเก็บไปซื้อมาได้ไม่ถึงเดือน ก็ส่งเสียงดังสั่นห้อง ฉันพลิกตัวไปอีกด้านของเตียง เพื่อหยิบโทรศัพท์ที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะขึ้นมาดู คลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นรูปโปรไฟล์ของคนที่โทรมาหาชัดเจน
“ว่าไงข้าว?”
ฉันรับสายวีดีโอคอลของข้าวหอม รุ่นน้องคณะมนุษยศาสตร์ชั้นปีที่สอง ฉันกับเธอรู้จักกันเพราะอยู่กลุ่มจักรราศีเดียวกัน เราสนิทกันมาก และเคยไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ
{ คืนนี้พี่ไวน์ว่างไหมคะ? }
สาวแว่นสุดเนิร์ตตรงหน้า ไม่ได้ทำให้ภาพจำที่ฉันมีต่อข้าวหอมเปลี่ยนไป เธอคล้ายๆกับฉัน ซ่อนความลับไว้ภายใต้รูปลักษณ์ไม่น่ามอง จริงๆแล้วข้าวหอมสวยมาก แต่มีเหตุผลส่วนตัวให้ต้องทำตัวเป็นยัยแว่นสุดเนิร์ต
“จะชวนพี่ไปไหน?”
ฉันถามด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ฉันเป็นตัวของตัวเองได้เพราะข้าวหอมนี่แหละ เธอเป็นคนจุดประกายให้ฉัน เป็นคนที่ทำให้ฉันอยากแต่งตัวเป็นผู้หญิง ทำให้ฉันอยากเลิกซ่อนตัวเอง และฉันก็หวัง ให้คนพวกนั้นเลิกตามล่าฉันสักที
{ คืนนี้มีแข่งรถอะพี่ไวท์ ข้าวได้ข่าวว่าพี่อาเธอร์ก็ลงแข่งด้วย }
ดวงตาหลังแว่นเปร่งประกาย เรื่องที่ข้าวหอมชอบพี่อาเธอร์ ฉันรู้หลังจากที่ออกมาจากกลุ่มแล้ว ไม่ได้อิจฉาหรือรู้สึกเสียใจ ถ้าหากข้าวหอมพิชิตใจคนอย่างพี่อาเธอร์ได้ ฉันก็ต้องยินดีกับเธออยู่แล้ว
แต่ … เป็นที่รู้กันดีว่าพี่อาเธอร์คนนั้น เปลี่ยนผู้หญิงข้างกายทุกสัปดาห์ เขาไม่มีแฟน แต่ไม่เคยขาดแคลนผู้หญิง รักคนแบบเขาได้ แต่อย่าหวังที่จะครอบครองจะดีสุด
“ก็เลยจะชวนพี่ไป?”
{ ก็ นั่นแหละค่ะ แหะๆ }
ข้าวหอมหัวเราะแห้งๆ พลางทำหน้าลำบากใจ เพราะเธอก็รู้ไง ว่าผู้ชายหนึ่งเดียวที่ฉันคนนี้ปลื้ม คือพี่อาเธอร์ แต่ฉันเคยบอกเธอไปแล้วนะ ว่าความรู้สึกที่มีต่อเขามันเปลี่ยนไปแล้ว เธอคงกลัวฉันอึดอัด ที่ต้องไปเจอคนที่ตัวเองเคยชอบ ซ้ำยังต้องเลิกชอบ เพราะเขาไม่เคยมองตัวเองเป็นผู้หญิง
“พี่กำลังเบื่อๆอยู่พอดีเลย ที่สนามเดิมใช่ไหม?”
ฉันยิ้ม เพราะแบบนั้นสีหน้ากังวลของข้าวหอมถึงเปลี่ยนไป รอยยิ้มดีใจเหมือนเด็กทำให้อดเอ็นดูไม่ได้ ทำไมนะทำไม น้องชายฝาแฝดของฉัน ไม่รู้จักอ้อนแบบนี้บ้าง
{ เจอกันที่สนามเดิมตอนสองทุ่มนะคะพี่ไวท์ หรือพี่จะให้ข้าวไปรับที่บ้าน }
คุณหนูลูกเจ้าของบริษัทผลิตรถยนต์เสนอตัว ฉันส่ายหน้าระรัวเป็นคำตอบ ไม่อยากให้ข้าวหอมมาเกี่ยวข้องด้วยมากเกินไป นั่งรถโดยสารสาธารณะไปปลอดภัยกว่า
{ เดี๋ยวข้าวส่งโค้ดบัตรวีไปให้ค่ะ }
“จ้า”
ข้าวหอมกดวางสายไป ไม่นานเสียงเตือนจากแอพพลิเคชันหนึ่งก็ดังขึ้น เป็นข้าวหอมนั่นแหละที่ส่งบาร์โค้ดบัตรแบบวีไอพีมาให้ สาเหตุที่ต้องมีบัตรวีไอพี ก็เพราะต้องการไปดูการแข่งแบบใกล้ชิด คนที่มีบัตรวีไอพี จะได้รับที่นั่งซึ่งดีกว่าคนมาดูการแข่งทั่วๆไป
ฉันวางโทรศัพท์ไว้บนเตียง รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเพราะกลัวเตรียมตัวไม่ทัน มันเป็นการแข่งรถตอนกลางคืน ฉันจึงเลือกเสื้อผ้าที่มันกลืนกับความมืด ด้านในคือบราลูกไม้สีดำปักเลื่อม สวมทับไว้ด้วยเสื้อเชิ้ตสีเดียวกัน แต่ปลดกระดุมลงมาถึงกลางอก เพื่อโชว์ลายเสื้อตัวข้างใน กางเกงใส่เป็นขาสั้นสีดำอวดขาเรียวยาว รองเท้าใส่เป็นผ้าใบสีขาวจะได้ไม่เหมือนคนกำลังจะไปงานศพ
แต่งตัวเสร็จแล้วก็มานั่งแต่งหน้า เพราะโครงหน้าดีอยู่แล้วฉันจึงไม่เสียเวลากับมันมาก มีเพียงแค่ผมจริงที่มันยาวมากลางหลัง ฉันต้องเสียเวลาม้วนมันนานกว่าครึ่งชั่วโมง และมันกำลังจะเป็นสาเหตุให้ฉันไปถึงช้ากว่าเวลานัดหมาย
ตึก! ตึก!
“จะรีบไปไหนเหรอลูก?”
ฉันไม่มีเวลาตอบคำถามของแม่ ก้มหน้าลงทักทายท่าน จากนั้นก็วิ่งต่อไปจนถึงหน้าบ้าน มองซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง เมื่อไม่เห็นรถแปลกๆ หรือผู้คนแปลกๆ ก็แทรกตัวออกไปทางประตูเล็ก เดินต่อมาจนถึงหน้าปากซอย โดยสารวินมอเตอร์ไซค์ไปที่สนามแข่งรถ
“ฉัน ฉันเจอกับผู้หญิงคนนั้นตอนอายุย่างสิบสามปี เราเจอกันโดยบังเอิญ เธอโผล่เข้ามาในตอนที่ฉันกำลังถูกทำร้าย” ผมพยายามพูดเลี่ยงๆ เพราะไม่อยากให้ไวท์นึกภาพตาม ยังไม่อยากให้เธอเกิดความหวาดกลัวขึ้นตอนนี้ แต่เหมือนมันจะไม่เป็นอย่างที่ต้องการ คนที่ผมกอดอยู่กำลังสั่น ผมจึงขยับแขนลงช้อนบั้นท้าย อุ้มไวท์กลับมาที่เตียงนอนสีดำสนิท “…!” “เธอถูกคนที่ทำร้ายฉันจับตัวไว้ เราถูกขังอยู่ด้วยกันนานหลายชั่วโมง ฉันที่หมดหวังว่าจะรอดชีวิตออกไป ได้เธอช่วยให้กำลังใจจนอยากมีชีวิตอยู่ต่อ” ผมเล่าอ้อมๆ กดใบหน้าลงบนไหล่เล็ก พยายามไม่นึกถึงภาพเก่าๆเหล่านั้น แต่มันทำไม่ได้ ความกลัวทำให้ผมกอดไวท์แน่น คนบนตักนิ่ง มีเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาที่ผมได้ยินมันจากเธอ “ฉัน ฉันขอไม่ลงรายละเอียด เพราะฉันไม่อยากให้เธอนึกถึงมัน ฉันไม่อยากให้เธอจำเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น แต่ฉันไม่เคยลืมเธอเลยนะไวท์ ไม่เคยลืมเลย แม้กระทั่งตอนหลับ เธอก็ยังช่วยดึงฉันออกมาจากฝันร้ายเหล่านั้น” “ฮึก! นายจะบอกฉันว่า ฉัน ฉันคือผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม นายจะบอกฉันว่า เด็กคนนั้นที่อยู่กับฉัน ยังไม่ตายงั้นเหรอ นาย นายคือเขาเหรอ” ไวท์ขยับตัวหมุนมาเผ
“ทำอะไรอยู่อะไวท์?!” ตึง! ตึง! เสียงของไลน์เนอร์ดังขึ้นบริเวณหน้าห้อง ไม่นานเสียงวิ่งตึงตังก็ดังขึ้นมา และเพียงไม่นานสมุดบันทึกเล่มนั้นก็หลุดออกไปจากมือ ใบหน้าตกใจของเขา ทำให้ฉันเข้าใจทุกอย่าง เขาไม่ได้ต้องการให้ฉันอ่านมัน เธอคนนั้นที่เขียนไว้ในกระดาษแผ่นแรกไม่ใช่ฉัน แต่มันหมายถึงเธอ เธอที่เหมือนตุ๊กตาของเขา “ฉันจะกลับไปนอนที่บ้าน” ฉันบอกพลางลุกขึ้นจากเตียง เหมือนร่างกายมันจะหมดแรงลงดื้อๆ แต่ก็ฝืนจนยืนได้สำเร็จ คนตรงหน้าฉันเงียบ การที่เขาเงียบ มันทำให้ฉันเริ่มคุมการไหลของน้ำตาไม่ได้ เขาคิดยังไงกับฉันกันแน่ ฉันตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหม ที่เลือกคบกับเขา “ … เธอ อ่านถึงไหนแล้ว? ฉันบอกว่าอย่ายุ่งกับของอย่างอื่นไง” เขาถาม จากนั้นก็เริ่มตำหนิสิ่งที่ฉันทำ ฉันกำลังจะอ้าปากบอกเขาว่าเจอมันอยู่ในถุงกระดาษ แต่เสียงมันหายไป และไม่นานริมฝีปากก็เม้มแน่น น้ำตาของฉันไม่มีผลอะไรกับเขาเลย ทั้งๆที่เห็นมันแล้ว เขาทำแค่เพียงมองมันด้วยสายตาเรียบเฉย “ไวท์!” “ฮึก! … ขอ ขอโทษ!” “ไวท์! มันไม่ใช่สิ่งที่เธอควรเห็นหรอก ฉันผิดเองที่ไม่ได้ตรวจดูมันให้ดี” ไลน์เนอร์ก้าวเข้ามาใกล้ ฉันถอยทั
17 : 45 น. หลังจากเรียนคาบสุดท้ายจบ ไลน์เนอร์ก็อาสามาส่งฉันที่คอนโดก่อน เพราะเขามีท่าทีรีบร้อน ฉันจึงไม่อยากทำให้เขาเสียเวลา ปล่อยเขาไปทันทีที่วนรถขึ้นมาถึงชั้นบน คนตัวโตทำหน้าตึง แต่ก็รีบบึ่งรถหรูคันโปรดของเขาออกไป Tru Tru “มีอะไร ลืมอะไรหรือเปล่า?” คนที่เพิ่งจะมาส่งฉัน และยังขับรถไปได้ไม่ไกลโทรกลับมา ไลน์เนอร์ไม่ยอมพูด บอกให้ฉันรู้ว่าเขากำลังใช้สมาธิในการวนรถลงไปข้างล่าง [ คือ … ฉันซื้อชุดนอนมาให้ เธอช่วยใส่ชุดนั้นนอนรอฉันได้ไหม ] “ที่จะพูดมีแค่นี้ ทำไมไม่พูดตอนมาส่งล่ะ” ฉันแตะคีย์การ์ดเข้ากับเครื่องสแกนหน้าทางเข้า ใช้ใบหน้ากดโทรศัพท์ให้มันแนบกับใบหู ใช้มือดันประตูเข้าไป สอดตัวผ่านช่องว่าง จากนั้นก็ใช้มือถือโทรศัพท์อีกครั้ง [ เหอะน่า! ] “อือ ก็ได้ ขับรถระวังนะ” [ อืม ] ไลน์เนอร์เป็นฝ่ายตัดสายไป ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ ถึงจะเป็นคนรักของเขา ถึงผู้ใหญ่จะยินยอมให้เราคบหากัน แต่ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลย คงเพราะไลน์เนอร์เป็นคนแบบนั้น เขาไม่เคยพูดคำว่ารักหรือชอบออกมาดีๆ มันจึงทำให้ฉันเกิดความกังวล ว่าจริงๆแล้ว เขาชอบฉันจริง หรือแค่อยากกันฉันออกจากพี่ชายของเขา
“เสียดายจัง ไม่มีพี่ไวท์อยู่ ข้าวก็ไม่อยากไปเลยอะ ข้าวออกบ้างดีไหมคะ” “แต่นั่นก็เท่ากับว่า ข้าวลดโอกาสของตัวเองลงนะ” “ฮ่าๆ มันยังมีโอกาสเหลือให้ข้าวอยู่เหรอคะ ข้าวรู้สึกว่าตัวเองไม่มีหวังเลย ตั้งแต่การหมั้นถูกยกเลิก พี่เขาก็กลายเป็นคนเข้าถึงยาก ตอนนี้ใครก็เข้าหน้าเขาไม่ติด” ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันเจอกับข้าวหอมตอนเที่ยงทุกวัน และนั่งปรับทุกข์ให้กันฟังไม่ต่างจากตอนนี้ ทุกข์ของฉันมีไม่มาก แต่ความทุกข์ของข้าวหอมกองโตกว่าภูเขา และวันนี้ ดวงตาของเธอเริ่มฉายความอ่อนล้าออกมา มันเหมือนเธออยากจะตัดใจจากพี่อาเธอร์จริงๆ “อ่า ลอง … ลองทำแบบนั้นดูไหมอะ พี่ก็ พี่ก็ตกไลน์เนอร์ได้เพราะทำแบบนั้นกับเขา” กว่าจะพูดจบ ใบหน้าก็ร้อนเหมือนถูกไฟเผา ฉันแนะนำอะไรออกไป แล้วทำไมยัยแว่นนี่ ต้องทำหน้าตาจริงจังขนาดนั้น อย่าบอกนะว่า คิดจะทำตามคำแนะนำของฉันจริงๆ “แบบนั้นคือแบบไหนเหรอ?” “ก็แบบ … มีเซ็กส์ไง มีเซ็กส์ … กรี๊ด! ไอ้บ้า! จะแกล้งทำไมเนี่ย!” การปรากฏตัวของไลน์เนอร์ ทำฉันตกใจจนเกือบจะตกเก้าอี้ โชคดีที่เขาใช้แผ่นอกดันแผ่นหลังฉันไว้ ซ้ำยังใช้สองแขนโอบกอดรอบเอวแน่น เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในลำค
“บอกไว้เลยนะว่าฉันไม่ใช่ลูกรัก ไม่ได้มีพร้อมเหมือนที่พี่อาเธอร์มี แต่ฉัน …ฉันจะดูแลเธอให้ดีที่สุด” ผมเขินตอนพูดประโยคสุดท้าย คำพูดที่เหมือนคนกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ มากกว่าจะเป็นการมาฝากตัวกับครอบครัว ทำเอาไวท์หัวเราะคิกคัก “คิกๆ ฉันเตรียมใจตั้งแต่หลงรักคนอย่างนายแล้วแหละไลน์เนอร์ เพราะฉะนั้น อย่าห่วงเลย” “เธอ เข้มแข็งตลอดเลยนะ” ผมชมคนตัวเล็กที่ยังคงยิ้มไม่หุบ ก้าวเดินต่อไปช้าๆ คราวนี้ไม่มีความลังเลอยู่เลย การมาถึงของเราทั้งคู่ ไม่ได้ทำให้สองคนที่นั่งคุยกันอยู่เกิดความแปลกใจ ผมบอกแม่ไว้แล้วว่าจะพาไวท์มาหา ตั้งแต่ยังอยู่ที่มหาวิทยาลัย ส่วนอเล็กซ์ก็คงรู้มันจากแม่อีกที “สวัสดีครับแม่ อเล็กซ์” “สวัสดีค่ะ” “สวัสดีจ๊ะหนูไวท์ ไลน์เนอร์เล่าเรื่องหนูให้แม่ฟังเยอะเลย” แม่รับไหว้ผมกับไวท์ อเล็กซ์พยักหน้ารับเพียงอย่างเดียว จากนั้นก็ปล่อยให้แม่เป็นฝ่ายพูดคุยกับเรา ด้วยความที่แม่อยากจะมีลูกสาวมานาน การที่ผมพาไวท์มา สีหน้าของท่านจึงดูดีมาก ยิ่งตอนที่ไวท์ขยับเข้าไปยืนใกล้ๆท่านเพราะโดนฝ่ามือผมดัน ท่านยิ่งยิ้มไม่หุบ “ตายแล้ว! หน้าหนูไปโดนอะไรมาลูก?” รอยยิ้มของแม่หายไป เมื่อได้เห็
“อ๊ะ! นะ นาย / ชู่ว! เบาเสียงหน่อยสิ ฉันยังไม่อยากถูกคนอื่นจับได้นะ” ผมบอกไวท์ชิดแผ่นหลัง สอบเอวควงความใหญ่โตเข้าออกถี่ขึ้น ความอดทนเริ่มจะถึงขีดจำกัด แต่ก็พยายามยื้อเวลาออกไปอีก เพราะคนที่อยู่ใต้ร่างในท่าโก้งโค้ง ยังไม่ได้แตะขอบสวรรค์ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นมีหรือผมจะสนใจ แต่เพราะนี่คือไวท์ ผมอยากทำให้เธอเสร็จด้วย “อึก!” คนตัวเล็กตัดสินใจใช้มือตัวเองช่วยปิดเสียงคราง เห็นแล้วรู้สึกสงสาร ผมจึงเลื่อนมือไปด้านหน้า ดึงมือของไวท์ออกมาจากริมฝีปากของเธอ “อึก อื้อ!” ไวท์ลังเลที่จะใช้มือของผม แต่เพียงไม่นานริมฝีปากหยักสวยก็อ้าออก กดฟันซี่สวยลงบนอุ้งมือ เสียงครางหวานหายไปในทันที ผมสอบเอวถี่ยิบ อีกมือลูบวนบนจุดกระสัน ถี่รัวเป็นจังหวะเดียวกันกับสะโพก ความเสียวซ่านแผ่ไปทั่วลำกาย ความอ่อนนุ่มบีบรัดตัวแน่น สะโพกเล็กแอ่นขึ้นรับสัมผัสหนักหน่วง ตับ! ตับ! “อึก!” “เสียงดีใช้ได้เลยเนอะ” “อ๊ะ อื้อ!” ผมพูดจาหยอกล้อคนตัวเล็ก เพื่อระงับอารมณ์ที่พวยพุ่งขึ้นสูงจนเกือบจะถึงขีดจำกัด ผมยังอยากแช่ตัวตนอยู่ในความคับแน่น อยากกระแทกให้มันลึกกว่านี้ ถี่กว่านี้ แต่ไวท์เสร็จไปแล้ว ความคับแน่นของเธอ ก