“ไม่เป็นไร เราไปกินข้าวกันเถอะ ไปช้าเดี๋ยวเจ้าวีกินกับข้าวเล่นหมด”
สามพี่น้องมานั่งรวมกันที่โต๊ะรับประทานอาหาร บนโต๊ะอาหารตอนนี้มีกับข้าวที่เป็นของโปรดของชมชีวันอยู่หลายอย่างที่ชื่นชีวาตั้งใจทำให้ เพราะหวังเล็กๆ ว่ารสชาติของอาหารจะกระตุ้นความทรงจำของน้องตัวเองได้
“วันนี้มีแต่ของโปรดพี่ชมพูเหรอ ไก่ผัดตะไคร้ของผมไม่เห็นมีเลย” โชติรวีบุ้ยปากมองไปยังถาดปลาทับทิมนึ่ง ต้มจืดมะระยัดไส้ และน้ำพริกหนุ่มกับกากหมูติดมัน นอกจากนั้นก็เป็นต้มยำกุ้งและผัดผักของชอบของพี่สาวคนโต
“ก็พี่ลืมซื้อไก่มาวันหลังจะทำให้กินแล้วกัน ของพวกนี้แกก็ชอบเหมือนกัน ทำเป็นขี้น้อยใจไปได้”
โชติรวีจ้วงตักปลานึ่งเต็มช้อน ก่อนจะวางลงไปยังจานข้าวของชมชีวัน “พี่กินเยอะๆ จะได้แข็งแรงเร็วๆ”
“พี่ไม่อยากกินปลา ดูน่าสงสารเหลือเกิน”
“ฮะ!” โชติรวีเกาหัวยิก เหลือจะเชื่อว่าพี่สาวคนรองของเขาจะเอ่ยว่าสงสารของอร่อยที่เคยสวาปามทีละสองสามตัวยังได้
“ปลาทับทิมนึ่งของโปรดชมพูเลยนะ บางที่ที่ชมพูหิวมากๆ ก็กินทีละสองตัวเลย” ชื่นชีวามีอาการตกใจไม่ต่างจากโชติรวี
“ฉันกินมันลงด้วยเหรอ” สีหน้าของชมชีวันเหือดแห้งไร้สี ดูไม่สู้ดีจนคนทั้งสองเข้าใจโดยที่ไม่ต้องถามอะไรเพิ่มเติม
“งั้นกินผัดผักไหม” ชื่นชีวาตักผัดผักใส่จานให้น้องสาว
“อืม” และแล้วอาหารเย็นวันนี้ที่ทำให้ชมชีวันรับประทานได้เยอะที่สุดก็คือผัดผัก เพราะเธอไม่แตะอะไรที่เป็นเนื้อเลย เช่นเดียวกับตอนที่อยู่โรงพยาบาลที่เธอรับประทานแต่ข้าวต้มเห็ดหอมและข้าวผัดไข่เท่านั้น
หลังรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อย ชื่นชีวาก็มาย้ำสอนการใช้อุปกรณ์ในห้องน้ำกับน้องสาวของเธออีกรอบ เพราะกลัวว่าหากน้องใช้ผิดวิธีจะเกิดอันตราย
“กดตรงนี้เป็นน้ำอุ่น ส่วนตรงนี่เป็นปุ่มกดน้ำเย็น จำได้ใช่ไหม” คนนั่งอยู่ขอบอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่เงยหน้ารอคำตอบน้องสาว
“ค่ะ ฉันจำได้ พอใช้น้ำเสร็จแล้วก็เปิดน้ำทิ้งตรงนี้” ชมชีวันชี้ไปยังปุ่มสีดำข้างก๊อกน้ำทองเหลือง
“ใช่ แต่อย่าแช่นานล่ะ ร่างกายชมพูยังไม่ค่อยแข็งแรงดี เดี๋ยวจะพาเป็นไข้”
“ค่ะ”
“พรุ่งนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
“อะไรก็ได้ค่ะ แต่ว่าฉันไม่ชอบกินเนื้อสัตว์”
“โอเค เดี๋ยวพี่จะเตรียมเอาไว้ให้”
หลังจากพี่สาวออกไปจากห้องน้ำได้ชมชีวันก็เปิดน้ำจนเต็มอ่าง จากนั้นก็ถอดชุดที่สวมใส่พับแล้ววางเอาไว้ในตะกร้าหวายที่วางอยู่ไม่ไกล วินาทีแรกที่เท้าเรียวสัมผัสน้ำอุ่นในหัวของเธอก็เริ่มมีภาพอะไรบางอย่างลอยเข้ามา ไม่เพียงแค่ภาพที่ฉายให้เธอได้เห็นเหล่าสรรพสัตว์ในท้องทะเล ทว่าเธอก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองคุ้นเคยกับสายน้ำจนอยากจะลงไปแหวกว่าย แต่ก็ไม่มีพื้นที่
“ภาพเมื่อครู่ ทำไมถึงอยู่ในหัวของเราได้นะ” หญิงสาวนั่งลงแช่น้ำจนถึงคอ จากนั้นก็ครุ่นคิดถึงนิมิตที่เธอได้เห็น “มนตรามัจฉาคือใคร” ทำไมในเสียงที่เหล่าสรรพสัตว์ในท้องทะเลถึงได้เรียกชื่อนี้กันทุกตน
“อาบน้ำเสร็จแล้วก็ลงมาหาข้าที่ต้นไม้ใหญ่หน้าหอพัก สิ่งที่เจ้ากำลังสงสัย ข้าอาจมีคำตอบให้เจ้า”
“เสียงใครกัน” อีกแล้ว เป็นอีกครั้งที่เธอได้ยินเสียงแว่วเข้าหู ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่เสียงของผู้ชาย แต่เป็นเสียงของผู้หญิงที่เธอรู้สึกคุ้นเคยกับการใช้ภาษามากกว่า
หญิงสาวอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยเธอก็สวมใส่ชุดนอนที่เป็นเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้นสีขาว แม้จะเป็นชุดที่เธอไม่ได้ชอบใจนัก ทว่าก็ได้รับการสอนจากชื่นชีวาว่าชุดนี้ต้องสวมใส่ตอนนอน
“ต้นไม้ใหญ่หน้าหอพัก” หญิงสาวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าเธอจะออกไปตามเสียงที่แว่วเข้ามาในหูหรือไม่ ทว่าเธอก็ไม่อาจต้านทานความอยากรู้ของตัวเองได้
ก่อนจะก้าวขาออกจากบ้านดวงตาก็ไปบรรจบอยู่ที่ศาลพระภูมิ จำได้ว่าเมื่อกลางวันเธอเห็นว่ามีใครบางคนอยู่ในนั้น ทว่าก็ยังไม่ทันได้สังเกตให้ดีชื่นชีวาก็พาเธอเข้าไปในบ้านเสียก่อน
“รีบมาสิ”
เสียงเรียกของผู้หญิงปริศนาดังแว่วเข้ามาในหูของเธออีกรอบ ทว่าตอนนี้เธอไม่ได้ยินแค่เสียง เพียงแค่หันหน้าไปยังต้นไม้ใหญ่หน้าหอพัก เธอก็เห็นผู้หญิงสวมอาภรณ์สีแดงสวยงามยืนเปล่งประกายยิ้มให้อยู่ก่อนแล้ว เห็นเช่นนั้นเธอจึงรีบเดินเข้าไปหา
“ท่านฤาที่คุยกับข้า เอ่อ...คุณเหรอคะที่คุยกับฉัน”
“พูดตามที่เจ้าถนัดเถิด ข้านามว่าสาลิกา เป็นนางไม้ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้มานานแสนนาน ผู้คนทั้งหลายไม่เคยเห็นข้า ยกเว้นคนที่ข้าอยากให้เห็นก็จักได้เห็น เช่นเจ้า มนตรามัจฉา”
“มนตรามัจฉา ข้าเคยได้ยินนามนี้”
“นั่นเป็นนามของเจ้า ในตอนที่เจ้าอยู่ในม่านมิติของเหล่าสรรพสัตว์ชั้นสูง”
“ท่านรู้ได้อย่างไร ข้าเองมิเคยรู้”
“ข้าให้เจ้ารู้ได้เพียงว่า เจ้านามว่ามนตรามัจฉา เป็นธิดาของราชาแลราชินีเงือก หากเจ้าอยากจดจำทุกอย่างได้ เจ้าต้องหมั่นสั่งสมความดีงาม หน้าที่ของเจ้าในร่างของชมชีวันมีอันใด เจ้าต้องทำหน้าที่นั้นให้จงดี เจ้าในร่างของชมชีวันมีสามีแล้ว ในเพลาที่สามีของเจ้าเจ็บป่วย เจ้าจักต้องดูแลอย่างดี รวมไปถึงคนในครอบครัวของสามีเจ้าด้วยเช่นกัน แลเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายที่เข้ามาขอความช่วยเหลือจากเจ้า หากเจ้าเต็มใจที่จักช่วย สิ่งนั้นก็จักเป็นพลังบุญให้เจ้าได้กลับมาจดจำทุกอย่างได้ แลแม้กระทั่งอาจจักทำให้เจ้ากลับไปยังที่ที่เจ้ามาได้”
“เป็นจริงเช่นนั้นฤา” แววตาของหญิงสาวเปล่งประกายพร้อมรอยยิ้มอย่างมีความหวัง ไม่เพียงลบความสับสนในหัวใจว่าตัวเองเป็นใคร ทว่าก็ยังรู้วิธีที่จะทำให้กลับไปยังที่ที่จากมา
“เป็นเช่นนั้น”
“ข้าเคยได้ยินเสียงของใครบางคนเรียกให้ข้าช่วย แต่ข้ามิเห็น”
กรรณิกากลับมาจากซื้อของสดในช่วงเช้าตรู่เธอก็เห็นชายสูงวัยรูปร่างซูบผอมผิวหน้าดำคล้ำมีกระเป๋าเป้สะพายหลังสีดำหนึ่งใบกำลังล้มทั้งยืนอยู่ที่หน้าบ้านของเธอ จึงรีบลงจากรถมอเตอร์ไซค์แล้วเข้าไปช่วยพยุง“คุณลุงคะ ไหวไหมคะ”“ลุงไม่มีแรงเลย ไม่ได้กินอะไรมาสามสี่วันแล้ว”“เข้ามานั่งในร้านฉันก่อนค่ะ” สาวเจ้าพยุงร่างชายสูงวัยเข้ามานั่งที่เก้าอี้หน้าร้านอาหารของตัวเอง จากนั้นจึงรีบหาน้ำหาท่ามาให้ชายสูงวัยได้ดื่ม“ขอบใจมากนะหนู”“แล้วบ้านคุณลุงอยู่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่คะ”“ลุงไม่มีบ้านแล้วล่ะ ลุงเดินมาที่นี่ก็เพราะจะเอาพระที่เก็บสะสมเอาไว้มาปล่อยแถวนี้”“ถ้าอย่างงั้นคุณลุงนั่งพักที่นี่ก่อนนะคะ เดี่ยวฉันจะทำอาหารให้ค่ะ”“แต่ลุงไม่มีเงินจ่ายนะหนู”“หนูให้ฟรีค่ะ ถือว่าช่วยกันนะคะ”“เจริญๆ นะหนูนะ”กรรณิการีบไปเอาของที่ซื้อมาจากตลาดสดมาเก็บเอาไว้ในตู้แช่อาหารหลังร้าน จากนั้นก็เร่งมือทำอาหารง่ายๆ ให้กับชายสูง
เสร็จจากการสวดอภิธรรมศพคืนที่สองของสมาน มนตรามัจฉาก็รีบบอกให้กรรณิกาได้รับรู้เรื่องที่เธอได้ติดต่อกับนายแบบชื่อดังให้เข้ามาช่วยโปรโมทร้านของเธอ“คุณโรมบอกว่าจะมาที่ร้านกระถินอาทิตย์หน้า เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ แล้วได้คนมาช่วยหรือยัง”“ค่ะ ได้ป้าเดือนกับลูกสาวมาคอยช่วยค่ะ วันนี้คนจากโรงพยาบาลมาซื้อข้าวร้านฉันหลายคนเลย ไหนจะต้องรีบทำอาหารมาส่งที่งานนี่อีก ดีนะคะที่พี่ชมพูเตือนว่าให้หาคนมาช่วยก่อน ไม่งั้นวันนี้รับลูกค้าไม่ทันแน่”“พี่ว่าอีกหน่อยจะเยอะกว่านี้หลายเท่า เตรียมตัวล่ะ”“ค่ะ”“พี่กลับก่อนนะ” คุยธุระเสร็จเรียบร้อยมนตรามัจฉาก็รีบเดินขึ้นรถที่มีชื่นชีวาคอยอยู่เรียบร้อยแล้ว“วีล่ะคะ” เธอหันไปถามพี่สาวมที่กำลังขับรถออกจากลานจอดทั้งที่โชติรวียังไม่มาขึ้นรถ“ให้เพื่อนมารับกลับไปแล้ว”“ทำไมวีไม่กลับกับเราคะ” คิ้วเรียวสวยเริ่มมุ่นเข้ากัน คราแรกที่มาก็ยังมาพร้อมกันแต่ดันไม่กลับด้วยกันเสียอย่างนั้น“ก็ตั้งแต่รู้ว่าชมพูคุยกับนางไม้ได้จริงๆ ก็กลัวน่ะสิ ไม่รู้ว่าจะเลิกตาขาวเมื่อไร ทีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นไม่เห็นจะกลัว อ่อ...แล้วชมพูจะกลับไปทำงานกับพี่ป้องไหม”“ยังค่ะ”“ทำไมเหรอ หรือว่าจะไม่ไปทำง
“ทำไมฉันไม่เห็นคุณล่ะคะคุณอัคคี”“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้ทำไมผมถึงออกไปหาคุณไม่ได้ แต่ผมรับรู้ได้ถึงความเย็นในใจ วันนี้คุณไปทำบุญให้ผมอีกแล้วใช่ไหมครับ”“ฉันช่วยเหลือคนน่ะค่ะ อันที่จริงพูดว่าเป็นผู้ช่วยนางไม้เพื่อช่วยคนมากกว่า”“ยังไงเหรอครับ ผมอยากฟัง”“เรื่องมันยาวนะคะ เราจะคุยกันนานได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”“ผมรู้สึกว่าวันนี้ผมจะคุยกับคุณได้นานนะครับ ลองเล่าให้ผมฟังเถอะ”“ก่อนหน้านี้ป้าน้อยที่ขายอาหารตามสั่งอยู่ที่หอแกกำลังเจอปัญหาหนักค่ะ นางไม้เลยสื่อสารกับฉันให้ไปบอกหวยป้าน้อยค่ะ ปรากฏว่าแกถูกรางวัลใหญ่เลยนะคะ”“โชคดีจังเลยนะครับ”“ใช่ค่ะ คงเป็นเพราะบุญของแกด้วยค่ะ แต่หลังจากข่าวเรื่องที่ฉันสื่อสารกับนางไม้ทำให้คนถูกหวยลือไปทั่ว มันก็ทำให้ฉันต้องช่วยคนมากขึ้น แต่ก็ดีค่ะ ฉันจะได้ได้บุญเยอะๆ เอาไว้แผ่ให้คุณแล้วก็ตัวเองด้วยค่ะ”“แบบนี้คุณก็ต้องเหนื่อยแย่สิครับ”“ไม่หรอกค่ะ คนที่ฉันจะต้องช่วย นางไม้จะเป็นคนเลือกมาให้เอง”“แล้วคนที่คุณช่วยวันนี้เขามีปัญหาอะไรเหรอครับ”“เธอเป็นผู้หญิงอายุสิบแปดย่างสิบเก้าค่ะ เธออยากมีเงินเรียนต่อ แต่แม่ก็ดันมาป่วย พี่ชายก็ติดการพนันจนเอาเงินที่เธอเก็บ
มนตรามัจฉาและกรรณิกาเดินมานั่งคุยกันที่ศาลาริมคลองหน้าวัด เธอจำได้ว่าเมื่อคืนนี้ไม่มีเด็กสาวอยู่กับกลุ่มคนที่เข้ามาในรั้วหอพักยามวิกาล ทว่าทำไมนางไม้ถึงได้เลือกที่จะช่วยหญิงสาวคนนี้ได้“แต่พี่จำได้ว่าไม่เห็นกระถินเมื่อคืนนี้” มนตรามัจฉาเริ่มเกริ่นถามคนที่เพิ่งทิ้งตัวลงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม“ฉันไม่ได้เข้าไปในรั้วค่ะ ได้แต่ยืนไหว้ต้นไม้อยู่ข้างนอก”“กระถินอายุเท่าไรเหรอ”“ฉันอายุสิบแปดย่างสิบเก้าค่ะ ฉันอยากเรียนต่อก็เลยมาขอให้นางไม้ช่วย ก่อนหน้านี้ฉันกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย แต่แม่ดันมาป่วยพี่ชายก็เอาเงินที่ฉันเอาไว้จ่ายค่าเล่าเรียนไปเล่นพนันบอล ตอนนี้ฉันก็เลยต้องดรอปเรียนแล้วมาทำงานก่อนค่ะ”“คนที่เล่นการพนันไม่รู้จริงๆ เหรอว่าไม่มีทางรวยได้จริงๆ” มนตรามัจฉาว่าด้วยสีหน้าอ่อนใจ“คนคิดไม่ได้ก็คิดไม่ได้จริงๆ นั่นแหละค่ะ”“เดี๋ยวพี่ขอคุยกับท่านสาลิกาก่อนนะว่าจะช่วยกระถินยังไงได้บ้าง” เอ่ยจบก็เริ่มะละลึกถึงนางไม้รูปงามที่แสนใจดี“บอกนางให้เตรียมตัว เพราะต่อไปจะมีลูกค้าหลั่งไหลมาสั่งอาหารไม่ขาดสาย ให้นางหาลูกมือเอาไว้ นางจักเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่จักมีเงินรักษาแม่ ส่วนพี่ชายของนาง มินานจักกลับตัว
เช้าของวันใหม่ไม่ค่อยเป็นที่น่าสดใสนัก มนตรามัจฉาตื่นขึ้นมาก็มารับรู้เรื่องที่น่าเศร้าสลดขึ้น เพราะสมานได้จากโลกนี้ไปแล้ว เท่าที่เจ้าหน้าที่สันนิษฐานเป็นเพราะดื่มเหล้ามากเกินไปทำให้มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงจนทำให้หัวใจวายเสียชีวิตในค่ำคืนที่ผ่านมามนตรามัจฉาในชุดเสื้อเชิ้ตพร้อมกางเกงขายาวสีดำ เธอสะพายกระเป๋าเตรียมตัวที่จะไปช่วยงานป้าน้อยที่วัดในช่วงบ่าย ทว่าก่อนไปก็เดินเข้ามายืนที่หน้าต้นไม้ใหญ่ เพราะยังมีเรื่องที่ยังค้างคาใจที่จะต้องคุยกับนางไม้“ท่านบอกข้าว่าจักจัดการสามีของป้าน้อยเอง เหตุที่ทำให้ลุงหมานต้องตาย เป็นเพราะ...”“มิใช่ข้าที่ทำให้คนผู้นั้นตาย” สาลิกาปรากฎกายให้มนตรามัจฉาได้เห็นก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยคำถามจบ “คนผู้นั้นถึงคราวตายแล้วต่างหาก ถึงเพลาที่คนผู้นั้นจักต้องกลับไปชดใช้กรรมของตัวเองแล้ว ข้ามิมีสิทธิ์ทำให้ใครอยู่หรือใครตายหรอกหนา”“ข้าขออภัยที่คิดเช่นนั้น”“ข้าเข้าใจเจ้า เจ้าจักเดินทางไปที่วัดใช่ฤาไม่”“เจ้าค่ะ ข้าอยากไปช่วยป้าน้อย”“จักมีหญิงสาวนามว่ากระถินมาหาเจ้า หากเจ้าอยากรู้สิ่งใดให้นึกถึงข้าในใจ ถึงข้าจักไปหาเจ้ามิได้ แต่ก็พอจักสื่อสารกับเจ้าได้”“เป็นคนที่ข้า
ชื่นชีวาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ทั้งกลิ่นธูปควันเทียนก็เริ่มขโมง เธอจึงต้องรีบพุ่งตัวเข้าไปหยุดสถานการณ์ตรงหน้าก่อน“ทุกคนกำลังบุกรุกพื้นที่ส่วนบุคคลอยู่นะคะ หยุดจุดธูปกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”“แต่พวกเราอยากถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเหมือนนังน้อยบ้างนี่นา จะเก็บเงินพวกเราก็ได้ แต่ขอให้เราได้ขอหวยจากต้นไม้นี้ก่อนได้ไหม หรือไม่ถ้าไม่ให้ขอหนูชมพูก็บอกหวยพวกเรามาสิ ได้ข่าวว่าคุยกับนางไม้ได้ไม่ใช่เหรอ”“ใช่/ใช่” เมื่อหัวโจกเอ่ยนำ เหล่าคนพื้นที่ที่มารวมตัวกันก็ว่าตาม“ไปกันใหญ่แล้วค่ะ ชมพูจะไปสื่อสารกับนางไม้ได้ยังไง ถ้าพวกป้าๆ ลุงๆ อยากจะมาขอหวยที่นี่ฉันก็มีข้อแม้ค่ะ”“ยังไงว่ามาเลย”ชื่นชีวาหันมามองหน้าชมชีวันที่อยู่อยู่ไกลๆ เพราะเธอก็ยังคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน หากจะไล่ผู้คนเหล่านี้ออกไปเลยก็คงจะทำได้ยาก ทว่าจะให้มาจุดธูปจุดเทียนก็กลัวกลิ่นธูปควันเทียนจะรบกวนลูกหอ หากเลวร้ายกว่านั้นก็อาจจะเกิดอัคคีภัยได้ เพราะใต้ต้นไม้ใหญ่ค่อนข้างมีใบไม้แห้งเยอะพอสมควร“บอกผู้คนเหล่านี้ว่าจักสื่อสารกับข้ามิต้องใช้ธูปเทียน ใช้เพียงใจที่บริสุทธิ์ คนที่จักให้ข้าช่วยต้องเป็นคนที่มีบุญบารมี แลมิใช่ทุ