เบ็กกี้เป็นเด็กใหม่ของที่นี่ เธอเพิ่งมาถึงหอพักแห่งนี้ยังไม่ครบวันเลยด้วยซ้ำ พอได้ยินว่ามีประกาศข่าวใหม่ เธอเห็นแต่ละคนรีบวิ่งไปที่โทรทัศน์จอยักษ์ เด็กสาวร่างเล็กเดินไหลไปตามกระแสมนุษย์ มือข้างซ้ายกุมข้อมือข้างขวาเอาไว้ เธอเดินค้อมตัว มองซ้ายมองขวาเหมือนกับมีคนกำลังจับผิดอยู่ และถ้าหากเธอทำอะไรผิดแปลกไป ทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เธอจะโดนลงโทษ เมื่อเดินมาถึงข้างหน้าจอทีวี เด็กสาวแหงนหน้ามองข้อความที่เขียนบนนั้น
กำหนดการเคลื่อนย้ายผู้พักอาศัยจะมีขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม 3012 กรุณาทิ้งสัมภาระไว้ที่ห้อง และมารวมตัวกันเพื่อรอสัญญาณที่ห้องโถงในเวลา 18 นาฬิกา
หมายเหตุ: ห้ามพกกระเป๋าสัมภาระ
“เคลื่อนย้ายเหรอ หมายความว่าพวกเราต้องย้ายที่อยู่งั้นเหรอ” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเธอพูดขึ้น เขามีผมสีแดงเช่นกัน แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยกระ เขามากับเพื่อนสาวคนหนึ่ง พอพูดจบ ทั้งสองก็พากันขยับมาข้างหน้า เบ็กกี้จึงมองเห็นแต่แผ่นหลัง เธอไม่ใช่เด็กหญิงตัวน้อย แต่เป็นเด็กสาวที่ร่างเล็กเหมือนเด็กน้อย แม้อายุครบสิบห้าปีเมื่อสองเดือนก่อน แต่เธอหาได้ตัวสูงขึ้นมากกว่าเดิมไม่ ที่สำคัญ ไซส์มินิแบบเบ็กกี้ไม่ได้ทำให้เธอดูน่ารักเหมือนผู้หญิงร่างเล็กคนอื่น และแทนที่จะดึงดูดเพื่อน กลับกลายเป็นว่าเธอมีออร่าดึงดูดพวกอันธพาลแทน ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ในโรงเรียน สถานพักฟื้น หรือแม้แต่ที่นี่ คนพวกนี้ชอบเข้าหาเธอเสมอ
“ถ้าต้องย้ายที่อยู่ แล้วไปไหนต่อ...ย้ายทำไม อุ๊ย ขอโทษจ้ะ” เด็กสาวที่โตกว่ารีบพูด เพราะเธอเผลอเอาศอกมากระแทกคนที่อยู่ข้างหลัง “ขอโทษจริง ๆ ฉันไม่เห็นเธอ”
ใช่สิ เบ็กกี้ไม่เคยอยู่ในสายตาใครอยู่แล้ว และเธอคุ้นชินกับความรู้สึกนี้ดี สาวน้อยพยักหน้าน้อย ๆ “ไม่เป็นไรหรอก” ทว่าเสียงที่ตอบกลับไปเบาเหมือนเสียงกระซิบ เบ็กกี้แอบมองด้านข้างของเด็กสาวคนนั้น เพียงแค่เห็นเสี้ยวหน้า เธอยังรู้สึกว่าคนข้างหน้ามีโครงหน้าที่สวยมาก สาวน้อยได้แต่เม้มปาก เด็กผู้หญิงทุกคนล้วนอยากมีใบหน้าแบบนั้น เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพระเจ้าถึงเกลียดชังเธอนัก แทนที่จะมอบมันสมองอันปราดเปรื่อง รูปลักษณ์ที่งดงาม หรือ ความรักจากผู้อื่น อย่างใดอย่างหนึ่งก็ยังดี พระเจ้ากลับมอบคำสาปมาให้แทน ท่านรักบุตรธิดาไม่เท่ากัน เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างหน้าคือตัวอย่างของบุตรธิดาที่พระเจ้ารักยิ่งกว่าคนอื่น
คนส่วนใหญ่ในนี้ต่างรู้จักค่าหน้าค่าตากันดีแล้ว พวกเขาจับกลุ่มกันและเป็นเพื่อนกัน เบ็กกี้มองไปรอบกาย มีคนอยู่ในนี้มากกว่าร้อยคน นับว่าค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว เธอไม่เคยผูกมิตรกับใครเลยและไม่เก่งเรื่องนี้ด้วย อาจเป็นเพราะว่า บ้านเกิดของเธอคือเมืองแคสติโมเนีย ซึ่งเป็นเขตหนึ่งในรัฐโลน อัลเลย์ เมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องสังคมวัฒนธรรมคร่ำครึ เคร่งครัด และสุดโต่ง แคสติโมเนียเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลจากความเจริญแบบเมือง ทั้งประเพณีและการใช้ชีวิตจึงต่างจากผู้คนในเมืองใหญ่ คนนอกมักมองว่าชาวแคสติโมเนียนเป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ ผู้ซึ่งปราศจากมันสมองที่พัฒนาแล้ว ครอบครัวของเบ็กกี้มีสมาชิกทั้งหมดแปดคนกับฝูงแกะอีกหนึ่งฝูง ผู้คนที่นั่นเคร่งครัดในหลักศาสนาอย่างจริงจัง รวมทั้งพ่อแม่ของเธอด้วย และเธอเป็นตัวประหลาดประจำหมู่บ้าน เพราะเหตุนี้ พวกแกะจึงเป็นเพื่อนเพียงกลุ่มเดียว อีกเหตุผลหนึ่งที่เบ็กกี้ไม่มีเพื่อน นั่นคือเธอสามารถทำให้คนรำคาญได้เสมอ ดังนั้นการอยู่ห่างจากคนอื่นจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด
เพราะตัวเล็ก เธอจึงสามารถแทรกออกมาจากกลุ่มคนที่อัดแน่นราวกับปลากระป๋องได้อย่างง่ายดาย ด้วยความที่ไม่เข้าใจข้อความบนจอทีวีเลยแม้แต่นิดเดียว เธอจึงหันมาจดจ่ออยู่กับปัญหาของตัวเอง นั่นคือเจ้าสายรัดข้อมือที่ติดมาตั้งแต่อยู่ในสถานรักษา มันทำจากพลาสติกเหนียวทนทาน เธอเคยพยายามใช้มีดในห้องอาหารตัดแล้ว แต่มันไม่คมพอ หากไม่นับนิสัยขี้อาย การที่เธอไม่กล้าขอให้ใครช่วยก็เพราะกลัวว่าหากคนมองเห็นสายรัดอันนี้ พวกเขาจะมองเธอด้วยสายตาที่แปลกไป ของสิ่งนี้ทำให้เธออับอายจนไม่กล้ามองหน้าใคร
ไม่มีทางเอาออกแล้วล่ะ สาวน้อยถอดใจ ฉันคงต้องอยู่กับแกไปตลอดชีวิต เธอไม่รู้หันหน้าไปทางไหนดี ที่นี่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย แต่เธอไม่ใช่คนช่างสำรวจเท่าไร
“เบ็กกี้ อยู่ที่นี่เองเหรอ” เด็กหนุ่มดวงตาสีน้ำตาลช็อกโกแลตยืนขวางไว้ พวกเขารู้จักกันมาก่อน ไม่นานนักหรอก และมันไม่น่าประทับใจเลย ทำไมเขามีกลุ่มเพื่อนเป็นของตัวเองทั้ง ๆ ที่พวกเขายังอยู่ที่นี่ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง พวกเจ้าหน้าที่บอกว่ากลุ่มเบ็กกี้เป็นกลุ่มสุดท้าย “ฉันบอกเพื่อน ๆ ว่า เธอมาจากสถานบำบัดอะไรสักอย่าง พวกเขาอยากรู้ว่ามันเป็นสถานที่แบบไหน”
เขารู้อยู่แล้วว่ามันเป็นสถานที่แบบไหน เขารู้อยู่เต็มอก เด็กหนุ่มคนดังกล่าวสวมเสื้อเชิ้ตสีครีมสะอาดสะอ้าน ในขณะที่เบ็กกี้สวมชุดกระโปรงที่เคยเป็นสีขาวแต่ตอนนี้กลายเป็นสีเหลืองสกปรก อันที่จริงมันไม่ใช่เสื้อผ้าของเธอด้วยซ้ำ แต่เป็นชุดคนไข้ต่างหาก รองเท้าหนังของเขาไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ตรงกันข้ามกับรองเท้าทรงบัลเล่ต์สีเขียวเก่า ๆ ของเธอ เขาคงเป็นลูกคุณหนูจากครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง พลูทักซ์ นั่นคือชื่อของคนคนนี้ ไม่ทันไร เด็กหนุ่มคว้าแขนข้างขวาของเธอ
“ปล่อย!” เธอพยายามดึงแขนกลับ แต่เขาบีบข้อมือเล็กจนเจ็บ คนนิสัยไม่ดีจงใจอ่านตัวอักษรบนสายรัดเสียงดัง “เบ็กกี้ ควินน์ สถานพักฟื้นจิตเวชเมืองแคสติโมเนีย เขตสาม โอ้โห พวกนายได้ยินไหม ยัยนี่เป็นคนไข้จิตเวช”
เบ็กกี้ปิดหน้าตัวเอง อีกส่วนก็พยายามดึงมือกลับออกมา พลูทักซ์คงชอบเห็นเธอร้องไห้งอแง
“อย่าทำแบบนี้”
“ยัยบ้า”
“เธอเป็นบ้าเหรอ เธอมีโรคทางสมองหรือเปล่า”
“เปล่า เป็นบ้าต่างหาก นี่คนไข้โรคจิตนะ”
“มันก็เหมือนกันป่ะวะ มันแปลว่าเธอป่วยทางสมองไม่ใช่เหรอ”
“เป็นบ้าถือว่าเป็นโรคด้วยเหรอ”
“ปล่อยเธอซะ ไอ้พวกเด็กเกเร!”
เบ็กกี้เห็นเด็กหนุ่มสวมเสื้อสเวตเตอร์สีเขียวเดินปรี่เข้ามาช่วย เขาสูงกว่าพลูทักซ์ไม่เท่าไร และไม่ถือว่าเป็นคนสูง น่าจะอายุมากกว่าพวกเบ็กกี้ประมาณสองสามปี เด็กหนุ่มผลักหัวโจกจอมรังแกออกไป เด็กสาวรีบหลบหลังเขา
“ฉันพูดกับเธอ ไม่ใช่กับนายสักหน่อย”
“นี่คือการรังแก โตได้แล้วไอ้หนู”
เด็กคนนั้นดึงเธอออกไปจากที่นั่น เธอเหลือบมองผมสีวอลนัทของเขาแล้วอดฉงนไม่ได้ที่มันตั้งตรงเรียงกันสวยงาม ส่วนผมด้านข้างถูกไถเรียบ เธอคุ้น ๆ ว่ามันเรียกว่าทรงโมฮอว์ก เบ็กกี้ได้ยินเสียงพลูทักซ์ตะโกนด่าเด็กหนุ่มไล่หลัง
พลูทักซ์โตกว่าเธอปีหนึ่ง เขาอายุสิบหก ทั้งสองมาถึงในเวลาเดียวกัน เด็กหนุ่มแนะนำตัวและนั่งร่ายยาวชีวิตของตัวเองจนเธอเกือบหลับ ตอนแรกเธอคิดว่าเขาเป็นคนน่ารักพอใช้ได้และอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทว่าเมื่อเขาเห็นข้อความบนสายรัดข้อมือ ท่าทีก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขากลายเป็นปีศาจอันธพาลที่แสนน่าเกลียด ทำตัวเหมือนพวกหัวโจกในโรงเรียนไม่มีผิด
เด็กหนุ่มที่เพิ่งช่วยเธอหยุดเดินและหันมาคุยกับเธอ “ฉันชื่อ เรมี เธอชื่อเบ็กกี้ใช่ไหม”
สาวน้อยพยักหน้าช้า ๆ พอมองใกล้ ๆ จึงเห็นว่าเขายังเด็กมาก อาจจะอายุใกล้กับเธอด้วยซ้ำ แต่มีบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกว่าเขาโตกว่า อาจเป็นเพราะบุคลิกที่ดูเป็นผู้ใหญ่
“เธอไม่ต้องกลัวฉันหรอก พอดี ฉันเพิ่งมาถึงที่นี่เมื่อวานนี้เอง พอจะบอกได้ไหมว่าที่นี่มีไว้ทำอะไร แล้วข้อความบนจอหมายความว่าอะไร”
“ฉันไม่รู้เหมือนกัน...คือ ฉันก็เพิ่งมาถึงเมื่อวาน” เด็กสาวตอบ เธอก้มหน้า กลัวว่าจะทำให้เขาไม่พอใจที่เธอไม่รู้อะไรเลย
“ไม่เป็นไร ๆ ถ้าอย่างนั้นเธอคงเป็นพวกกลุ่มสุดท้ายแน่ ๆ ฉันมาตอนเช้าของเมื่อวานน่ะ” เขาเล่า แต่เหมือนปลอบมากกว่า เรมีพิจารณาสายรัดบนมือของเธอ เขาพยายามจะดึงมันออกโดยไม่ปริปากหรือทำสีหน้าตัดสินแต่อย่างใด ทว่าผลลัพธ์เหมือนเดิม พลาสติกเหนียวเกินไป แต่เบ็กกี้ก็ยังรู้สึกดีที่เขาไม่พูดอะไรเหมือนคนอื่น
“เหนียวจริง ๆ...เอางี้ เฮ้ พวกนาย ใช่แล้ว พวกนายนั่นแหละ ช่วยพวกเราหน่อยได้ไหม” เขาเรียกหนุ่มผมแดงกับสาวหน้าสวยที่เธอเจอตรงหน้าห้องอาหาร
เปล่า ไมเคิลแน่ใจว่าอเล็กซ์ไม่ได้รู้สึกแบบเขา อีกฝ่ายเข้าใจไปอีกอย่าง ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะพูดกับอเล็กซิสเดี๋ยวนี้ บางที...มันอาจเป็นพลังของเธอ แต่ทำไมอเล็กซ์ไม่รู้สึก หรือเพราะเขายังไม่ได้สู้ เขายังไม่ได้ใช้พลัง แล้วพลังของอเล็กซิสเป็นแบบไหนกันแน่ เพิ่มพลังให้คนอื่นงั้นหรือ หรือปลดล็อกให้อีกฝ่ายรู้จักใช้พลังของตัวเอง“บรรยากาศไม่ดี” อาคุสะพูดขึ้น“กลับไปดูพวกเทสซ่าก่อนกันเถอะ” อเล็กซิสตบไหล่แฟนหนุ่มสองสามทีเพื่อให้เขาออกไปจากตัว “ถ้าพวกมันแห่ไปที่นั่น ทุกคนแย่แน่” ทั้งหมดพยักหน้า เด็กสาวกำลังจะขยับเท้าก็หันมาไมเคิล “ไว้อธิบายว่าเมื่อกี้นายทำอะไร” เธอยกมือตีหน้าผากตัวเองแต่ก่อนจะไปไหนได้ ทั้งหมดได้ยินเสียงกรีดร้อง...*****เทสซ่าไม่เคยยินดีเท่านี้มาก่อนที่ได้เจอพวกบลูในเวลานี้ เธอผล็อยหลับไปเมื่อไรไม่รู้ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็มีมนุษย์รูปร่างคล้ายหุ่นยนต์สองตนตรงเข้ามา ทีแรกเธอคิดว่าพวกเขาต้องการจะสังหารฝ่ายต่อต้าน แต่ไม่ใช่แค่นั้น พวกเขามาเพื่อลักพาตัวโคดี้เด็กหนุ่มผมบลอนด์ยังนอน
“หาเองสิวะ” เขาตะโกน ทว่าไม่ทันระวังเพราะมันดาปาอาวุธกลับมา เมื่อหันหน้ากลับไปก็เห็นรอยเท้าเต็มหน้ากระแทกเข้าที่หน้า ร่างของเขากระเด็นกระแทกกำแพงตึก ไมเคิลส่ายหัว มึนไปมันหมด อเล็กซิสวิ่งเข้ามาช่วยพยุงตัวขึ้น“พวกมันไม่บอก อย่าเสียเวลา” เขาได้ยินดังนั้นคิ้วขมวดกันทันที เดี๋ยว... กลายเป็นว่าพวกเขาทั้งหมดจำต้องรั้งพวกมันให้สู้กับตัวเอง ไม่อย่างนั้นพวกเทสซ่าแย่แน่ เขาไม่รู้ว่ามีกลุ่มอื่นตามหาโคดี้อีกหรือไม่ และถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งไม่สามารถปล่อยให้พวกมันไป พอเห็นเขายืนได้ อเล็กซิสตัดสินใจค่อย ๆ เดินตรงไป มือยังยิงปืนไม่หยุด “เก็บไฟแช็ก” เธอสั่งเขา “ห้ามทำมันหายเด็ดขาด”“อย่าไป” เขาร้อง แต่เธอไม่ฟัง อเล็กซิสหยิบดาบของไมเคิลขึ้นมาอีกข้างแล้วโถมตัวใส่มันแล้วไมเคิลเห็นดังนั้นรีบตะครุบไฟแช็กแล้วจุดมันขึ้น“อเล็กซิส” เขาร้องเมื่อเห็นเธอบ้าบิ่นจะสู้กับมันตัวต่อตัว พลันร่างเธอก็กระเด็นล้มไปทางเรมีที่กำลังรับมือกับอีกตัวคู่กับอาคุสะ อเล็กซ์สบถอะไรบางอย่าง แล้วจัด
เฒ่าทรอยนอนฟุบลงกับพื้นจนหน้าคลุกไปกับหิมะสกปรกบนพื้น ไม่มีใครคิดช่วยให้เขาลุกขึ้นมา และถ้าใครทำแบบนั้น ไมเคิลจะเป็นคนกระชากคอออกมาเอง เด็กหนุ่มยืนพักหอบหายใจ กว่าจะพาทรอยออกมาได้ยากลำบาก หุ่นยนต์ถูกตั้งโปรแกรมให้กำจัดใครก็ตามที่อยู่ในสถานะเจ้าพนักงานของทอยซิตี้ ก่อนหน้านี้ เขาขอให้ฟีบี้รีเซตพวกมันใหม่เป็นหน่วยทหารแทน แต่เพราะเธอยืมพลังมาจากโคดี้ ประสิทธิภาพของมันไม่แน่ไม่นอน เมื่อเซตได้ตัวหนึ่งก็ต้องเซตตัวอื่น เธอไม่สามารถทำได้ทีเดียว พอทำงานซ้ำไปซ้ำมา หญิงสาวก็เริ่มหมดความอดทน ฟีบี้บอกว่าเธอไม่ได้ทำหน้าที่ปกป้องชีวิตเจ้าหน้าที่ แต่เพื่อสานงานของโคดี้และเพื่อปกป้องพวกเราทุกคนต่างหาก ศูนย์กลางของทอยซิตี้คือ เดอะ วาล และถ้าหากเจาะเข้าไปยังศูนย์บัญชาการได้ พวกทหารจะแพ้ราบคาบ นั่นคือสิ่งที่เธอบอก แต่ไมเคิลเข้าใจว่ามันคือการคาดเดามากกว่า และเขาก็รู้ว่าเธอไม่ได้คิดขึ้นเอง แต่มันมาจากลูไมเคิลเดินตรงไปแล้วดึงคอเสื้อทรอยขึ้นมาอีก คราวนี้เขาลากเข้าไปในตึกของเมลิสซ่า ที่พักเก่าของตนกับเรมี ตอนนี้แทบไม่มีใครอยู่ในตึกแล้ว ประชากรในเดอะ วาลบางส่วนที่ไม่อยากต่อสู้ก็อพยพไปยังเขตอื่น เนื่อง
ขณะนั้นริงโก้ตัดสินใจอุ้มเอมอนขึ้นมาคนเดียว เพียซจึงอุ้มเดสซิเรตามมา เบลินดาเห็นพวกเขาเดินตรงมาก็ลุกขึ้น เธอส่งขวดน้ำดื่มให้อย่างรู้งาน ระหว่างนั้นเพียซก็เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากประตูเปิด พวกเขาก็บุกเข้าไปข้างในเพื่อหาตัวเอมอนกับเดสซิเร ทั้งสองถูกจับสวมกุญแจมือ อาวุธโดนยึดหมด แต่เดสซิเรและเอมอนก็ทำให้กำลังพลภายในนั้นปั่นป่วนไปมาก พวกเขาเจอศพทหารหลายราย คงเป็นฝีมือของทั้งสอง ตอนไปถึง หญิงสาวยังพอมีสติจึงเล่าว่า ทั้งคู่พยายามหาห้องควบคุม แต่ภายในมีระบบเชื่อมต่อกับชุดสูทที่เอมอนสวม เพียงย่างก้าวไปในส่วนที่เป็นสำนักงาน หน้ากากจึงถูกปลดออกอัตโนมัติ ทั้งสองจึงต้องสู้และพยายามจะออกมา ทว่าก็สู้จำนวนคนและอาวุธไม่ได้ จากนั้นจึงถูกจับทรมาน อาจเป็นโชคดีในโชคร้ายของเดสซิเรที่ไม่มีแผนอะไรอยู่แล้ว บวกกับพลังพิเศษที่ทำให้พวกนั้นไม่อาจสัมผัสหรือเข้าใกล้ได้มากนัก ส่วนเอมอนนั้นแย่หน่อยเพราะพอรู้แผนของลูคร่าว ๆ แต่ไม่ได้ปริปากออกไปเลย ดังนั้นเขาจึงโดนซ้อมหนักที่สุด“แล้ว...ทำไมพวกเธอมานั่งอยู่ตรงนี้” โอลิแวนถาม “พวกอเล็กซิสล่ะ ฉันได้ยินกว่าทั้งกลุ่มเข้าไปในเขตเธอไม่ใช่หร
ไมเคิลสบตากับเรมี อีกครั้งที่พวกเขาไม่เข้าใจว่าพวกเธอวางแผนอะไรกัน“ฉันต้องการคำอธิบาย ตั้งแต่เช้า พวกเราวุ่นจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ยังไม่นับเรื่องที่พวกเธอทำโดยไม่บอกก่อน”ฟีบี้กลอกตา เธอไม่ได้มีท่าทีสำนึกหรืออ่อนข้อลงแบบเทสซ่า แต่กลับยักไหล่ไม่สนใจ แม้บุคลิกหญิงสาวจะเป็นแบบนี้ และปกติก็ไม่มีใครถือสา (ยกเว้นเทสซ่า) แต่เวลานี้ เขาอดฉุนไม่ได้“ทำไมฉันต้องบอกพวกนายด้วย โต ๆ กันแล้ว อีกอย่างก็ใช่ว่าฉันจะรู้ก่อนหน้าอะไรนักหนา ถ้าไม่ใช่เพราะโคดี้ ฉันก็อาจจะนั่งทำหน้าโง่เหมือนพวกนายนี่แหละ” อาคุสะทำเสียงจุ๊ ๆ แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปรามเรื่องคำพูด เธอยักคอไปมาอย่างกวนประสาท “เฮ้อ เอาเป็นว่าตอนนี้โคดี้ต้องพัก ส่วนฉันก็ยืมพลังเขามาใช้ จะพยายามเปิดไอ้ประตูยักษ์นั่น” พูดจบก็ถูมือ“ฟีบี้...” อเล็กซิสพูดขึ้น “ฉันเดินผ่านศูนย์อนามัย...เห็นศพพยาบาลเต็มไปหมด ยังไม่รวมเจ้าหน้าที่คนอื่นที่ไม่ใช่ทหารอีก...”หญิงสาวเงียบไปเมื่อเจอคำถามนี้ เทสซ่าก็เม้มปากแน่น เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นทั้งสองมองหน้ากันอย่างเข้า
11:45 PM หน้าประตูเขตเครสเตอร์ - เดอะ วาลกระแสไฟฟ้าแผ่กระจายเป็นวงกว้าง มันส่งแรงต้านผลักก้อนคอนกรีตชิ้นโตหล่นกลับลงมบนพื้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไมเคิลทึ่งที่โคดี้สามารถป้อนชุดคำสั่งพิลึกพิลั่นให้กับหุ่นพิฆาต หรืออันที่จริงคือ ใครจะคิดว่าเขาจะป้อนคำสั่งแบบนั้นในเวลารีบเร่งเช่นนี้ ทุกครึ่งชั่วโมงจะมีหุ่นสองสามตัวเดินกลับมาปาก้อนหินหนักขึ้นไป กำแพงกั้นเขตแน่นหนาจนแม้แต่พวกมันข้ามไปไม่ได้ จึงใช้วิธีนี้เช็กดูว่าระบบรักษาความปลอดภัยของทอยซิตี้สั่นคลอนแล้วหรือยัง จะว่าเป็นเพราะระบบถูกออกแบบมาดีก็ว่าได้ ถ้าหากไม่ใช้เพราะโคดี้มีพลังพิเศษ ไมเคิลไม่เห็นหนทางเลยว่าพวกเขาจะออกไปได้ ต่อให้เครสเตอร์และนอร์ธพังทลายเพียงใด มันก็ยังไม่ลามไปถึงอีกฝั่งที่ถือว่าเป็นศูนย์กลาง และเมื่อนั้น ถ้าหากพวกเขาจะล้างศัตรู ก็อาจปล่อยระเบิดลงมาลูกเดียว แบบที่เคยเกือบล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ไปเมื่อหลายพันปีก่อนยุคก่อนหายนะ...พี่สาวฝาแฝดเคยเล่าให้เขาฟังเข้าเที่ยงคืนกว่าแล้วหรือ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น อเล็กซิสจะกินอะไรแล้วหรือยัง เขานั่งนับวันแล้วเหงื่อตก พวกเขาทำปฏิทินเช็กความถี่ว่าอะวีซีจะออกฤ