“อืม ไว้ตอนเย็นผมจะเข้ามาดูคุณอีกที” พี่เนมบอกไว้แค่นั้นแล้วเดินออกจากห้องไป เมื่อผมอยู่คนเดียว ผมก็ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปกับเหตุการณ์ที่ผมได้พบเจอมา
ผมเจ้านายครับ ชื่อจริง เจ้านาย พัชรวิทิต อายุ 18 ครับ แม่ของผมบอกว่าพ่อผมตั้งชื่อนี้ให้เพราะผมจะได้เป็นเจ้าคน นายคน ส่วนนามสกุลก็แปลว่า ผู้มีความรู้และแข็งแกร่งดั่งเพชร พ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กครับ ผมยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำให้ผมอาศัยอยู่กับแม่แค่ 2 คน บ้านเรามีสถานะกลางๆ ไม่ได้ยากจนแต่ก็ไม่ได้รวยอะไรขนาดนั้น แต่เราก็ประคับประคองให้มีชีวิตรอดในแต่ละวัน เรามีบ้านหลังเก่าๆ แค่เพียงพอให้อยู่อาศัย หลายคนอาจจะสงสัยว่าผมจะไปทำอะไรที่สุสานวัดนาไพร พ่อของผมถูกฝังอยู่ที่นั่นครับ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ทำให้ผมต้องไปที่นั่น
แม่ของผมถูกฆ่า แม้จะไม่ใช่ต่อหน้าต่อตา แต่ผมก็อยู่ในเหตุการณ์นั้น วันนั้นผมกลับมาจากการสอบชิงทุนเข้ามหาวิทยาลัย ผมเห็นรถยนต์ที่ไม่คุ้นตาจอดอยู่หน้าบ้าน แม่ของผมคุยกับผู้ชายใส่สูทชุดดำ 2 คน ดูคล้ายกับกำลังโต้เถียงอะไรบางอย่าง และผู้ชาย 2 คนนั้นก็ลากแม่ของผมเข้าบ้านไป เมื่อผมเห็นก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปภายในบ้าน ขณะนั้นผมก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 2 นัด ทำให้ผมรีบวิ่งเป็นเท่าตัว ชาย 2 คนนั้นขึ้นรถ และขับรถออกไปแล้ว พร้อมๆ กับที่ผมไปถึงบ้านพอดี แม่ของผมหายใจรวยรินอยู่บนพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยเลือด ที่ไหลออกมาจากบริเวณช่องท้องและช่วงอก
“แม่!!!! แม่อย่าเป็นอะไรนะ แม่อย่าทิ้งผมไป อยู่กับผม อย่าทิ้งผมไป!!!” ผมกอดแม่ไว้แนบอกและพร่ำร้องบอกให้แม่อยู่กับผม อย่าทิ้งผมไว้คนเดียว น้ำตาของผมนองหน้าจนมองแทบไม่เห็น ผมไม่เคยมีความกลัวเกิดขึ้นในใจขนาดนี้ ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวเท่านี้ ผมกลัวว่าแม่จะทิ้งผมไป ผมไม่อยากให้ท่านไป ไม่อยาก...
“นะ นะ นาย ฟังแม่นะลูก ไป อึก ไปหาพ่อ ที่สุสานนั้น เปิดแผ่นหินออก แค่กๆ แม่คงอยู่กับหนูไม่ได้แล้ว แค่กๆ แม่ยังไม่ได้บอก ไม่ได้บอก แค่กๆ อึก แค่กๆ” ผมได้แต่กอดแม่ และจับมือของแม่เอาไว้ ผมไม่อยากให้ท่านฝืนพูดอะไรอีก ผมกลัวว่าท่านจะไม่ได้อยู่กับผม
“ฮืออออ แม่ไม่ต้องพูดแล้วนะ ฮือออ ผมจะพาแม่ไปโรงพยาบาล แม่อดทนก่อนนะ ฮึบ” ผมพูดพร้อมกับพยายามจะอุ้มแม่ขึ้นมา ผมจะพาแม่ไปโรงพยาบาลให้ได้ ผมให้แม่ขี่หลังผมและเริ่มเดินออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปทางประตู
“แค่กๆ ๆ นะ นาย ไม่ทันหรอกลูก อึก แม่รู้ว่าแม่ไม่ไหวแล้ว นะ นายต้องอยู่ อยู่ให้ได้ ตะ ต้องเป็น ผู้มีความรู้ และ และ อึก และแข็งแกร่งดั่งเพชร แค่กๆ แม่รัก แม่รัก ระ” เสียงของแม่ผมขาดหายไปพร้อมๆ กับมือที่ตกลงด้านข้าง ทั้งๆ ที่ผมยังไม่ทันได้เดินออกจากบ้านเลยด้วยซ้ำ
“แม่ แม่ แม่!!! แม่ตอบผมสิ! ฮืออออออออออออ อย่าทิ้งผมไป อย่าทิ้งผมไว้ ไม่!!! อย่าทิ้งผม ฮืออออออออออ” ผมกรีดร้องออกมาสุดเสียง เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากแม่ของผม แม่ของผมท่านได้จากไปแล้ว ผมไม่มีทางได้แม่ของผมกลับคืน พวกคุณลุงคุณป้าที่อยู่ข้างบ้านก็รีบเข้ามาดู เพราะตกใจกับเสียงปืนที่ดังขึ้น แต่มันไม่ทันเสียแล้ว แม่ของผมจากไปแล้ว และท่านจะไม่กลับมาหาผมแล้ว
ผมได้พวกคุณลุงคุณป้าช่วยในการจัดงานศพของแม่ผม งานที่จัดเป็นไปอย่างเรียบง่าย และไม่ได้สวดหลายคืนเท่าไหร่ เราไม่มีญาติที่ไหน จึงมีคนไม่กี่คนที่มาฟังสวดศพ ผมเองไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ผมนอนอยู่ที่วัดเป็นระยะเวลาตลอด 3 วัน 3 คืน นอนเฝ้าแม่ของผมและนอนร้องไห้ทุกคืน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำลายความสดใสที่ผมเคยมีติดตัวมาตลอดหายไปจนหมดสิ้น เมื่อผ่านพ้นงานศพของแม่ผมไปแล้ว ผมก็กลับบ้านไปจัดการบ้านที่รกเละเทะ และยังมีคราบเลือดของแม่ผมอยู่ ผมเริ่มลงมือทำความสะอาด เช็ดคราบเลือดนั้นออก ยิ่งเช็ดน้ำตาผมยิ่งไหล จนในที่สุดผมทนไม่ไหวและนอนร้องไห้อยู่ตรงคราบเลือดของแม่จนหลับไป เมื่อผมตื่นขึ้นมาทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม ผมรวบรวมสติและเริ่มเก็บกวาดอีกครั้ง กว่าจะกลั้นใจทำให้มันเสร็จไปได้ ผมร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลอีกต่อไป มีเพียงความนิ่งเงียบและซึมเศร้าที่ถูกแสดงออกมา ผมนั่งทบทวนคำพูดของแม่ ที่ให้ออกไปหาพ่อที่สุสาน ไว้พรุ่งนี้แล้วกันนะ ตอนนี้ผมเหนื่อยเหลือเกิน...
เช้าวันถัดมาผมก็เดินทางไปที่สุสานตามที่แม่บอก แต่ระยะทางค่อนข้างไกล ผมไม่มีเงินพอที่จะไปและกลับทำให้ผมต้องเผื่อเงินสำหรับขากลับด้วย ผมจึงเลือกนั่งรถครึ่งทาง และเดินเท้าอีกครึ่งทาง ผมไม่ได้ทานข้าวเลยตลอดทั้งวัน เมื่อต้องมาเดินเท้าระยะไกลแบบนี้ทำให้ผมจะเป็นลมเสียให้ได้ เพราะเดินติดต่อกันเป็นเวลาหลายชั่วโมงจนฟ้ามืด และยังไม่หายเหนื่อยล้าจากการจัดงานศพให้กับแม่ของผม เมื่อผมคิดว่าจะไม่ไหวแล้ว ผมก็เห็นรถยนต์ที่ขับผ่านมาในเวลากลางคืนเช่นนี้ ทำให้ผมรีบร้อนออกไปดักรถคันนั้นไว้ทันที ผมอยากจะขอติดรถเขาไปหาพ่อของผม ขณะที่ผมก้าวขาออกไป ฉับพลันสติของก็ดับวูบลงพร้อมๆ กับเสียงเบรกของรถยนต์คันนั้นที่ดังลั่นถนน และผมก็ไม่ได้รับรู้อะไรอีกเลย
เมื่อผมตื่นมา ผมก็พบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาล และเป็นห้องพักที่หรูหราเกินกว่าที่คนอย่างผมจะมีปัญญาเข้ามาพักได้ ผมมองไปรอบๆ ห้องไม่เห็นใคร จึงหันออกไปนั่งมองท้องฟ้าสีครามสดใสนอกหน้าต่างนั้น นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้นั่งดูท้องฟ้าแบบนี้ ผมมองก้อนเมฆหลากหลายรูปแบบที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านไปอย่างช้าๆ ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคนเปิดประตู จึงผินหน้ากลับไปมองที่หน้าประตู ทำให้เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีดำสนิท คิ้วหนา ดวงตาคมคาย จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากหนาเป็นรูปกระจับ สวมชุดสูท เรียบหรู เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยรวมที่เป็นเขาเรียกได้ว่าดูดี หล่อ และมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ผมว่าผมเคยเจอคนแบบนี้มาก่อน เพียงแต่ผมจำไม่ได้ว่าเคยเจอที่ไหน จึงเผลอจ้องเขานานเกินไป และเขาก็กำลังมองสบตากับผมอยู่ เขาเดินนำของที่ซื้อเข้ามาไปวางไว้ที่โต๊ะหน้าประตู แล้วนั่งลงบนโซฟารับแขก และเอ่ยทักขึ้น
“เป็นยังไงบ้าง” เสียงของเขานุ่มทุ้มน่าฟัง จากการพูดคุยในวันนี้ จึงทำให้ผมรู้จักเขา ชายที่ชื่อเนม ผู้ที่ช่วยชีวิตผมไว้
ผมนอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่นานก็ผล็อยหลับไป เนื่องจากความอ่อนเพลียของร่างกาย และตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงเย็นของวัน เมื่อตื่นขึ้นมาผมก็พบอาหารและยาที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ จึงเริ่มลงมือทานข้าวเย็นเงียบๆ ก็ไม่มีใครอยู่ในห้องนี่น่า ผมทานไปได้สักครึ่งจาน หน้าประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น ผมจึงเอ่ยปากอนุญาตให้เข้ามาได้
“เชิญครับ”
แกร็ก แอดดดดด
เป็นพี่เนมนั่นเองครับที่มา ผมเงยหน้าและส่งยิ้มให้ ก่อนจะยกมือขึ้นสวัสดีพี่เนม
“สวัสดีครับ พี่เนม”
“อืม ทานข้าวอยู่ใช่ไหม งั้นนี่คงไม่จำเป็นแล้ว” พี่เนมพูดขึ้นพร้อมกับชูถุงอาหารที่พกพามาด้วย
“อ่อ ผมทานได้ครับ”
“อืม” พี่เนมพูดแล้วนำอาหารไปจัดใส่จานและวางไว้ตรงหน้าของผม รวมกับอาหารของโรงพยาบาล
“เป็นยังไงบ้าง” พี่เนมถามขณะที่เรากำลังทานข้าวอย่างเงียบๆ
“ดีขึ้นแล้วครับ ได้นอนพักไปหน่อยหนึ่ง รู้สึกดีขึ้นมากแล้วครับ”
“อืม” พี่เนมพูดแค่นั้นแล้วก้มหน้าทานอาหารต่อ เมื่อทานเสร็จพี่เนมก็นำจานไปล้างและเก็บเข้าชั้นตามเดิม และนั่งรออยู่ที่โซฟาเฉยๆ ท่าทางของพี่เนมดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก เพราะคอและหลังของพี่เนม แนบพิงไปกับพนักพิงของโซฟาอย่างรอคอย ด้วยความสงสัยผมจึงเอ่ยปากถามออกไป
“เหนื่อยมากไหมครับ จริงๆ พี่เนมไม่ต้องแวะมาหาผมก็ได้นะครับ ผมเกรงใจ”
“อืม นิดหน่อย”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เชิญ”
“ไงมึง” คุณหมอคนเมื่อเช้าเดินเข้ามาและทักทายพี่เนมอย่างเป็นกันเอง
“เออ ว่ามา”
“ก็ไม่มีอะไรแล้ว อาการดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พรุ่งนี้เช้ากลับบ้านได้” คุณหมอตอบพี่เนมก่อนจะหันมายิ้มให้กับผม ผมว่าเพื่อนๆ พี่เนมต้องหล่อหมดทุกคนแน่ๆ เลย เขาถึงบอกว่าคนแบบเดียวกันถึงจะคบกันได้
“อืม กูนัดไอพวกนั้นแล้ว เป็นช่วงสิ้นเดือนนี้ วันที่ 28 มึงเคลียร์คิวไว้เลย” พี่เนมพูดพร้อมกับลุกขึ้น และทำท่าจะเดินออกจากห้องไป
“เออๆ เดี๋ยวกูหาคนมาเข้าเวรแทนก่อนแล้วกัน ผับของไอ้ต้องใช่ไหม ที่เดิมใช่ป่ะ”
“เออ ที่เดิม คุณอยู่ได้ใช่ไหม” พี่เนมบอกกับเพื่อนของเขา ก่อนจะหันมาถามผม
“ครับ จะกลับแล้วใช่ไหมครับ สวัสดีครับ” พี่เนมไม่ได้พูดอะไร แต่พยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป เมื่อห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง จึงทำให้ผมรู้สึกง่วงนิดๆ ผมล้มตัวลงนอนและปล่อยใจให้ล่องลอยคิดถึงเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ อ่า ทำไงดี ผมคิดถึงแม่จัง หยดน้ำตากลิ้งตามแก้มผมลงมาและหยดลงไปบนหมอนที่ผมหนุนนอนอยู่ ผมหลับตาลงช้าๆ และเข้าสู่ห้วงนิทราไป
“ใจเย็นๆ มึง” ไอ้ซันไอ้เบสลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจผม ให้คลายความตื่นเต้นลง เมื่อตอนนี้กำลังเตรียมตัวเดินผ่านเข้าประตูบานใหญ่ มีซุ้มดอกไม้จัดแต่งอย่างสวยงาม ซึ่งดอกไม้ที่ใช้ ก็คือ เยอบีร่า ไฮเดรนเยีย ดอกลิลลี่สีชมพู ทิวลิปสีแดงและขาว เหมือนกับตอนที่พี่เนมขอผมแต่งงาน....งานในครั้งนี้พี่เนมขอเป็นคนจัดการเรื่องสถานที่ การจัดตกแต่ง อาหารและรูปแบบตรีมของงาน ในขณะที่ผมดูเรื่องเสื้อผ้า ของชำร่วย การถ่ายภาพ และเราก็ช่วยกันดูรายชื่อแขกด้วยกัน เราจัดเตรียมงานด้วยความวุ่นวาย หัวแทบหมุน วิ่งไปวิ่งมาไม่หยุด ถึงจะอย่างนั้น เราก็มีความสุขเมื่อวันงานใกล้เข้ามามากขึ้นตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่หน้าประตูโรงแรมในเครือของวรโชติวาทิน ที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน เรียกได้ว่าเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด และชั้นบนสุดของห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม มือของผมเย็นเยียบเต็มไปด้วยเหงื่อ กำช่อดอกไม้ในมือไว้แน่น มีเพื่อนสองคนคอยปลอบอยู่ไม่ห่าง หลังบานประตูมีอากันต์ที่คอยยืนรอให้ผมเดินคล้องแขนเข้างาน ผมพยายามระงับความแตกตื่นของตัวเอง พยักหน้าช้าๆ เมื่อพร้อมแล้ว เพื่อนทั้งสองคนมองหน้ากัน ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปภายใน
...Name Part“พี่เนมครับ มาเร็ว” เสียงของคนตัวเล็กที่ร้องตะโกนเรียกผมให้เร่งสาวเท้าเดินเข้าไปหาอย่างเร่งรีบ ตอนนี้พวกเรามาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตครับ และครับ ตอนนี้เป็นช่วงที่ปี พ.ศ. ใหม่กำลังจะเริ่มต้น จึงพาคนตัวเล็กออกมาเที่ยวบ้าง หลังจากที่ผมกรำงานจนเหนื่อยล้า และทะเลาะกับคนตัวบางไปเมื่อคราวนั้น ทำให้ผมดาวน์งานลงทันที กระจายงานออกไปให้ลุงชาญบ้าง ให้มาคัสบ้าง แต่อำนาจการตัดสินใจยังอยู่ที่ผมอยู่ดี ทำให้มีเวลาให้เจ้านายได้มากขึ้น ซึ่งเจ้าตัวเองก็ดูแฮปปี้ขึ้นมาก“เดินดีๆ เดี๋ยวก็ล้มหรอก” ผมเอ็ดเจ้านายนิดหน่อย เมื่อเจ้าตัวเดินไปกระโดดโลดเต้นไปด้วย ตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้าไปที่เกาะแห่งหนึ่ง เป็นเกาะส่วนตัวที่อำนวยความสะดวกสบายครบครันของครอบครัวผมเอง เรากำลังเดินทางไปที่เรือสปีดโบ๊ทที่กำลังจอดรอเทียบท่าอยู่ อาจจะแปลกที่มันเป็นหน้าหนาว แต่พวกเราดันเลือกที่จะมาทะเล แต่ก็เป็นเพราะเรามีเกาะส่วนตัวอยู่ จึงเลือกที่จะไปพักผ่อนที่ๆ ห่างไกลผู้คน หลบหนีความวุ่นวาย ไปพักผ่อนสบายๆ ซัก 3-4 วันเจ้านายหันมายิ้มเผล่ให้ ก่
ครับ วันนี้วันลอยกระทงครับ เนื่องจากไม่ใช่วันหยุดนักขัตฤกษ์ พี่เนมจึงไม่ได้หยุดงาน ตัวผมเองก็ยังต้องไปเรียนตามปกติ แต่วันนี้ผมรีบกลับบ้านมา ชวนป้านุ่มกับเด็กๆ มาทำกระทงด้วยกัน โดยที่ผมทำกระทงอันใหญ่อันเดียว แต่มี 2 ชั้น เอาไว้ลอยกับพี่เนม ผมกับพี่เนมคุยกันแล้วครับ เราจะไปลอยกันที่มหาลัยของผม เพราะมีการจัดงานลอยกระทงและออกร้านค้าต่างๆ มากมาย แต่จนถึงตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 2 ทุ่มแล้วแต่พี่เนมก็ยังมาไม่ถึงบ้าน ผมก็ไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่น มองออกไปนอกหน้าต่างก็พบกับพระจันทร์ดวงโตที่มีกระต่ายตัวน้อยอยู่ภายใน ผมนั่งมองอยู่สักพักแล้วเหลือบดูเวลา เกือบจะ 3 ทุ่มแล้ว พี่เนมก็ยังมาไม่ถึง แต่แล้วแสงไฟจากรถยนต์ก็สาดส่องเข้ามา บ่งบอกว่าพี่เนมมาถึงแล้ว“นาย! พี่ขอโทษนะครับ ที่พี่มาสาย พอดีติดประชุมยาวไปหน่อย แล้วก็รถติดอีก เรารีบไปกันเถอะ” พี่เนมพูดไป ถอดชุดสูทไปพลาง ปลดเนกไทและกระดุมเสื้อไปพลาง ผมหันไปยิ้มให้น้อยๆ แล้วพยักหน้าลุกขึ้น เราเดินไปที่รถด้วยกัน พี่เนมก็ออกรถด้วยความรวดเร็ว ตรงดิ่งไปที่มหาลัยทันที กว่าเราจะมาถึงก็เป็นเวลา 3 ทุ่มครึ่งแล้วครับ ร้านค้าต่างๆ ก็พากันปิดหมดแล้ว
“เพราะนายเมาแล้วเกเร แถมยังแต่งตัวแบบนี้มาอีก ต้องโดนลงโทษนะครับ หึหึหึ พี่รับรองว่ามันจะทำให้นายทรมานจนแทบขาดใจ” พี่เนมกล่าวด้วยเสียงพร่าแหบ นัยน์ตาประกายวาววับ ตาของผมเสมองหลบดวงตาคมกล้า มองออกไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นอะไรๆ ชัดขึ้นในห้องที่ผมอยู่ ตรงกลางห้องเป็นเตียงขนาดใหญ่ ถูกล้อมด้วยลูกกรงที่เป็นวงกลม ห้องทั้งห้องถูกทาสีดำมืดทึบ ให้เข้ากับบรรยากาศ มีไม้เป็นรูปกากบาทตั้งอยู่ที่มุมกำแพง และมีสายรัดทั้งบนล่างดูก็รู้ว่าเอาไว้รัดอะไร ตามแต่ละซี่ของลูกกรง มีของแขวนไว้เต็มไปหมด โซ่ แส้ กุญแจมือ เชือก และพวกเซ็กส์ทรอย ทำให้ผมตาเหลือกทันทีเมื่อหันกลับมาเจอพี่เนมที่กำลังยกยิ้มแบบจิตๆ อยู่“มะ มะ ไม่เอา ไม่เอาห้องนี้” ผมส่ายหน้าไปมาระรัว จนผมกระจาย“หึหึหึ” พี่เนมหัวเราะเสียงต่ำ จ้องมองเหมือนสิงโตที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ ก่อนจะพูดต่อ“เสียใจด้วยนะครับ พี่เลือกห้องนี้ไปแล้ว” จบคำคนตัวโตพี่เนมก็ก้มหน้าลงฉกวูบมาที่ซอกคอของผม ขบกัดรุนแรงเป็นการลงโทษ“อะ จะ เจ็บ” ผมบอกเสียงสั่น เอามือดันอกแกร่งให้ออกห่าง
“มึงว่างมากรึไง”ผมหันไปตามเสียงของเพื่อนที่ดังขึ้นอย่างเบื่อหน่าย เมื่อผมนั้นมาหามันแทบจะทุกวัน เพื่อนคนนั้นก็ไม่ใช่ใคร ไอ้ซันกับไอ้เบสครับ ตอนนี้พวกผมทั้ง 4 คนเรียนจบแล้วครับ และกำลังอยู่ในช่วงเอื่อยๆ พักผ่อนหลังเรียนจบ เพื่อรอให้ถึงวันรับปริญญาในอีก 2 – 3 เดือนข้างหน้านี้เอง“เออ กูว่าง” ผมหันไปตอบมันกวนๆ และว่างในที่นี้คือว่างจริงๆ ครับ ผมขออากันต์ไว้แล้วว่าจะเข้าไปช่วยงานหลังรับปริญญาเสร็จ ซึ่งอากันต์ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากนี้หลังจากรับปริญญาแล้ว ผมกับพี่เนมมีแผนว่าจะแต่งงานหลังจากนั้นกันด้วย แต่รายละเอียดยังไม่ได้ลงลึกสักเท่าไหร่ส่วนสาเหตุที่ผมมาหมกตัวอยู่กับพวกมันก็เป็นเพราะว่าผมว่างจริงๆ และพี่เนมเองก็ทำงานอย่างหนักหน่วงอีกด้วย เนื่องจากตอนนี้มีผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์ที่คอยส่งให้กับบริษัทของคุณรอลเลนอยู่เพิ่มปริมาณมากขึ้น และยังมีโปรเจ็คใหม่ๆ ที่จะทำร่วมกัน ทำให้ต้องบินไปๆ มาระหว่างประเทศไทยกับลอนดอน ถามว่าทำไมถึงไม่เอาผมไปด้วย เพราะผมไปแล้วพี่เนมไม่มีเวลาให้เลย สรุปคือผมไปแล้วก็ไปนั่งรอพี่เนมในห้องเฉยๆ หรืออาจจะออกไปเที่ยวคนเด
หลังจากที่พี่เนมขอผมแต่งงาน ในค่ำคืนวันนั้นเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งคืน เฝ้าเพียรบอกรักกันไม่ขาด กระซิบถ้อยคำหวานหูคลอเคล้าไปกับเสียงครางรัญจวนและในตอนนี้ผมก็เดินทางกลับประเทศไทยแล้วครับ ที่ๆ ผมยืนอยู่ตอนนี้มีสายลมพัดมาเอื่อยๆ กระทบกับผิวกายให้พอเย็นๆ ไม่ได้รู้สึกร้อนมากมายเท่าไหร่นัก และมีคนตัวสูงยืนอยู่ข้างกัน ในมือของเราถือดอกไม้ไว้คนละช่อที่เบื้องหน้าคือแผ่นหินแกะสลักชื่อของผู้ที่เป็นบิดาและมารดา ครับ ตอนนี้เราอยู่กันที่สุสานวัดนาไพร พี่เนมวางดอกไม้ในมือลงให้กับหลุมศพตรงหน้า เราจุดธูปกันคนละหนึ่งดอก เพื่อทำความเคารพให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว“พ่อครับ แม่ครับ ผมพาสะใภ้มาหานะ” คำพูดของพี่เนมทำให้ผมหน้าแดง ก่อนจะหันไปมองค้อนให้หนึ่งที คนตัวสูงสบสายตากลับมา ก่อนจะยกยิ้มให้เบาๆ ก่อนที่ผมจะเริ่มพูดบ้าง“ขออนุญาตให้ผมได้ดูแลพี่เนมด้วยนะครับ แม้เราจะมีลูกกันไม่ได้ แม้ผมจะช่วยงานของพี่เนมไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ผมมั่นใจคือไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหน ผมก็จะยืนเคียงข้างพี่เนมเสมอ ผมขออนุญาตนะครับ.... ถือว่าพวกท่านตกลงแล้วนะครับ” ผมว่