เช้าวันถัดมา ผมตื่นขึ้นความรู้สึกดีกว่าเมื่อวานมากนัก รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลยทีเดียว เวลาสายของวัน พี่เนมก็เข้ามา และบอกให้ผมอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมที่พี่เนมเป็นคนนำมา และเราก็ออกจากโรงพยาบาลกัน โดยมีพี่เนมเป็นคนขับรถให้ เมื่อผมได้เห็นรถของพี่เนมชัดๆ รถ Lamborghini อเวนทาดอร์ สีดำสนิท รถของพี่เนมหรูมากครับ จนผมไม่กล้าที่จะเข้าไปนั่ง กลัวจะทำให้รถของพี่เนมเสียหาย เกิดเป็นรอยขึ้นมา ผมแย่แน่ๆ วันนั้นอะไรดลใจให้ผมโบกรถของเขาไปกันนะ!! พี่เนมบอกให้ผมขึ้นรถพร้อมกับจ้องมองนิ่งๆ เหมือนบังคับกลายๆ ผมเลยจำใจต้องขึ้นรถมานั่งข้างเขา ที่นั่งภายในมีเพียง 2 ที่เท่านั้นเอง ถ้าเป็นผม ผมจะไม่ซื้อรถแบบนี้มาใช้เด็ดขาดเลย ไม่มีความคุ้มค่าเลยสักนิด ราคาแพงแต่ไปได้น้อยคนแบบนี้
“จะไปสุสานใช่ไหม” พี่เนมถามผม ทำลายความเงียบที่อยู่ในบรรยากาศ
“ครับ ใช่ครับ” ผมตอบกลับพี่เนมและนั่งตัวเกร็ง ไม่กล้าให้ร่างกายไปโดนส่วนไหนของรถมากนัก ผมกลัวว่าจะทำให้รถพี่เนมเสียหาย
“นั่งตามสบายเถอะ ไม่ต้องเกร็ง มันน่าหงุดหงิด” พี่เนมบอกขึ้น เพื่อให้ผมนั่งสบายๆ แต่พี่โว้ยยยยยย เกร็งยิ่งกว่าเดิมอีกครับ!!! พี่เนมเล่นพูดแบบนี้แล้วผมจะได้นั่งตามสบายได้ยังไง ฮืออออ
“ฉันบอก ได้ยินไหม” พี่เนมพูดย้ำขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น เมื่อผ่านไปสักพัก แต่ผมยังนั่งตัวเกร็งยิ่งกว่าเดิม แถมยังเป็นมากกว่าเดิมเสียอีก ก็ใครมันจะไปกล้าว่ะ
“คะ ครับ” ผมตอบรับเสียงสั่นๆ และค่อยๆ แนบหลังลงกับพนักพิง พี่เนมมีท่าทีที่ดีขึ้น ฟู่ววววว ผมว่าพี่เนมใจดีนะครับ ในเวลาเดียวกัน พี่แกก็น่ากลัวด้วย เมื่อเห็นว่าพี่เนมลดบรรยากาศกดดันนั้นลงแล้วนิดหนึ่ง ทำให้ผมก็ผ่อนคลายไปหลายส่วน และยอมนั่งแบบสบายๆ จริงๆ สักที
“จะซื้อดอกไม้ไหม”
“อ่อ ไม่ครับพี่เนม ผมไม่มีเงิน” ผมตอบกลับพี่เนมพร้อมๆ กับรถที่หยุดลงที่หน้าร้านดอกไม้พอดี ถ้าพี่จะถามผมโดยไม่รอคำตอบ พี่จะถามทำไมคร้าบบบบบบ
“อืม รอนี่” พี่เนมพูดแล้วก็ลงจากรถไป ผ่านไปสักพักใหญ่ จึงเห็นพี่เนมเดินถือดอกไม้มา 2 ช่อใหญ่ แล้วเปิดประตูรถ ส่งมันให้กับผมทั้ง 2 ช่อ
“พี่เนมซื้อไปให้ใครครับ” ผมถามพร้อมกับเอียงหน้ามอง คงจะเป็นพวกสาวๆ นั้นละมั้ง แต่มี 2 ช่อเนี้ยนะ สาว 2 คนเลยหรอว่ะ เห็นนิ่งๆ เจ้าชู้ใช่เล่นแฮะ
“ของนายกับของฉัน คนละช่อ” พี่เนมตอบกลับมาและออกรถอีกครั้ง
อ้าว นึกว่าเอาไปให้สาว ผมขอโทษครับพี่มองพี่เป็นคนไม่ดี ผมมันเนรคุณ งื้อออ ว่าแต่ พี่เขาเอามาให้ผมทำไม
“พี่เนมให้ผมทำไมครับ??” ผมถามพร้อมกับเครื่องหมายเควสชั่นมาร์คเต็มหัวไปหมด
“เอาไปไหว้ที่สุสาน” พี่เนมตอบผมมานิ่งๆ และตั้งใจขับรถ
“ขอบคุณครับ พี่ให้ผมมากเกินไปแล้ว ผมจะใช้คืนพี่ยังไง” ผมตอบพร้อมกับน้ำตาที่รื้นขึ้น ผมบอกแล้วไงครับ พี่เนมเขาใจดี ผมไม่ค่อยได้เจอคนที่มีน้ำใจแบบนี้เท่าไหร่นัก ทำให้ผมอดรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณไม่ได้เลย
“แล้วอีกช่อนี่ละครับ” ถึงช่อหนึ่งจะเป็นของผม แต่อีกช่อนี่สิของใครกันนะ
“ของพ่อกับแม่พี่” พี่เนมตอบมานิ่งๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก และบรรยากาศรอบๆ ตัวก็เปลี่ยนไป มันกดดันอย่างกับปล่อยจิตสังหารออกมาได้เลย ทำให้ผมกลับมานั่งตัวเกร็งอีกครั้ง และไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก
ไม่นานเราก็มาถึงสุสานครับ พี่เนมกับผมถือดอกไม้กันคนละช่อ แล้วเดินตรงมายังสุสาน พอถึงทางแยก ผมก็เห็นพี่เนมเดินแยกไปอีกทาง ผมจึงเดินมาหาพ่อของผมบ้าง แล้วเอาดอกไม้ไปวางไว้หน้าหลุมศพ ผมไม่ค่อยได้มาหาพ่อเท่าไหร่ครับ เพราะมันไกลจากบ้านผมพอสมควรเลย แม่ผมพามาอยู่ไม่กี่ครั้ง ไม่ได้บ่อย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับห่างหายไปเลย ผมคุกเขาอยู่ที่พื้น และคิดถึงคำพูดของแม่ตอนนั้น
‘นะ นะ นาย ฟังแม่นะลูก ไป อึก ไปหาพ่อ ที่สุสานนั้น เปิดแผ่นหินออก แค่กๆ แม่คงอยู่กันหนูไม่ได้แล้ว แค่กๆ แม่ยังไม่ได้บอก ไม่ได้บอก แค่กๆ แค่กๆ’
อืมมม ไปหาพ่อที่สุสาน เปิดแผ่นหินออก มีเรื่องที่แม่ยังไม่ได้บอก คำพูดของแม่ทำให้ผมนั่งนิ่งคิด เรื่องอะไรที่ไม่ได้บอกผม เรื่องอะไรที่ปิดบังผมอยู่ ไม่รอให้สงสัยนาน ผมเริ่มคลำๆ หาที่เปิดแผ่นหินทันที ผิวด้านหน้าเรียบเนียน ไม่มีอะไรที่คล้ายกับลูกบิด หรือที่เปิดเลย แต่ที่มุมด้านหนึ่งเหมือนกับเป็นรอยแตกเล็กๆ ที่ทำให้สอดนิ้วเข้าไปได้ 1 นิ้ว ผมสอดนิ้วชี้เข้าไปอย่างกลัวๆ แล้วลองดึง ก็ผมไม่รู้นี่น่า ว่ามันจะมีตัวอะไรในนั้นบ้าง แต่ดึงยังไงก็ดึงไม่ออก หรือจะไม่ใช่ตรงนี้นะ ผมนึกพร้อมกับจะชักนิ้วออก ขณะนั้นผมรู้สึกว่านิ้วโดนตออะไรสักอย่าง นิ่มๆ เหมือนจุกยาง นูนขึ้นมาหน่อยๆ เลยลองใช้นิ้วชี้สำรวจแล้วลองกดลงไป
แกร็ก
แผ่นหินที่มีรูปของพ่อผมติดอยู่เด้งออกมานิดๆ ผมเลยลองใช้นิ้วชี้ลองดึงออกอีกครั้ง และครั้งนี้มันเปิดออกได้จริงๆ เมื่อเปิดออกผมเห็นกล่องเหล็กขนาดไม่เล็ก ไม่ใหญ่ ขนาดใกล้ๆ กับครึ่งกระดาษ A4 เลยหยิบขึ้นมาสำรวจและเปิดดู ในนั้นมีรูปถ่ายของพ่อกับแม่ยืนยิ้มหน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งอย่างมีความสุข ในชุดแต่งงานที่ทำให้แม่ของผมเหมือนกับนางฟ้าเคียงคู่กับเทวดารูปหล่อข้างกาย ผมยิ้มให้กับรูปภาพนั้น ความสุขที่ผมรู้สึกได้ทำให้ผมรู้สึกดีตามไปด้วย ผมไม่เคยเห็นรูปงานแต่งของพวกท่านมาก่อนเลย นี่จึงเป็นรูปแรกที่ผมได้เห็นพ่อกับแม่สมัยยังหนุ่มยังสาว นอกจากนี้ภายในกล่องยังมีซองจดหมาย และซองเอกสารสีน้ำตาล สิ่งที่ผมเปิดอ่านเป็นอันดับแรกคือจดหมายครับ ผมอยากรู้ว่าเรื่องอะไรที่แม่ไม่เคยบอกผม
"นายลูกรัก ถ้าลูกได้เปิดจดหมายนี้อ่าน แสดงว่าพ่อกับแม่ คงไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว จดหมายนี้พ่อและแม่ร่วมกันเขียน พ่อกับแม่รู้ดีสักวันมันจะเกิดขึ้น เราแค่ไม่รู้ว่าใครจะตายก่อน สิ่งที่จะบอกต่อไปนี้คือสิ่งที่พวกเราทั้งคู่พยายามกลบฝังมัน อยากลบมันออกไปจากชีวิต เราไม่อยากให้ลูกต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องพวกนี้ แต่หากเราทั้งคู่ไม่อยู่แล้ว อย่างน้อยลูกก็ต้องสามารถอยู่ได้โดยไม่ลำบาก
ครอบครัวของพ่อ แต่เดิมทำธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ และพบรักกับแม่ของลูก แม่เขาเป็น PR หน้าเคาน์เตอร์ของโรงแรมในเครือของพ่อ พ่อตกหลุมรักแม่ของลูกตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรก แม่ของลูกสวยมาก พ่อตามจีบแม่อยู่หลายเดือน และฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน เนื่องจากคุณย่าไม่ยอมรับแม่ของลูก แต่สุดท้ายก็ยอมใจอ่อน และให้เข้ามาอยู่บ้านด้วยกัน พ่อมีน้องชายอยู่ 1 คน น้องชายของพ่อคนนี้ต้องการครอบครองธุรกิจทั้งหมด และไม่ยอมรับการแต่งงานนี้ เพราะเขาเองก็หลงรักแม่ของลูกอยู่เช่นกัน เขาจึงคิดครอบครองทุกอย่าง รวมถึงแม่ของลูกด้วย พ่อไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรขึ้นมาอีก จึงได้ละทิ้งทุกอย่าง และออกมาใช้ชีวิตอย่างสงบๆ กับแม่ของลูก
ถึงแม้จะลำบาก แต่พ่อมีความสุขมาก เมื่อมีแม่ของลูกและลูกอยู่ข้างๆ กัน คุณย่ายืนยันว่าทรัพย์สินของพ่อ ก็ยังคงเป็นของพ่อ พ่อจึงเขียนพินัยกรรมนี้เอาไว้ให้ลูก หากไม่มีใครให้พึ่งพิง ไปหาย่าของลูกนะ หากลูกไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็เก็บเงินจำนวนนี้ไว้ตั้งตัว ทำธุรกิจของตัวเอง พ่ออยากให้ลูกเลือกทางที่ลูกมีความสุขที่สุด และพ่อรู้ว่าลูกจะเลือกทางที่ดีให้ตัวเอง แต่ลูกจงรู้ไว้ ระวังตัวให้มาก เพราะเราไม่รู้ว่าใครมาดีหรือมาร้าย อย่าให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก หากมีเรื่องอะไรที่ลูกแก้ไม่ตก ติดต่อหาทนายวิทยา เขาเป็นเพื่อนของพ่อเอง ลูกไว้ใจเขาได้ พ่อรักลูกนะ
จากพ่อและแม่ที่รักลูกที่สุด"
เมื่อผมอ่านจบก็เปิดพินัยกรรมที่พ่อทิ้งไว้ให้ โดยสรุปเป็นข้อๆ
1. ที่ดินพร้อมบ้าน 1 หลัง เนื้อที่ 1,500 ไร่ ที่จังหวัดอยุธยา ผู้ทำพินัยกรรม นายพิชิต พัชรวิทิต มอบให้ เจ้านาย พัชรวิทิต พยาน นางสุจิตรา พัชรวิทิต
2. โรงแรมกรีนวิลล์, โรงแรมโอเชียนวิลล์, พิชิตรีสอร์ต และ โรงแรมบลูสกาย เนื้อที่ 300, 500, 200 และ 30 ไร่ ที่จังหวัดนครราชสีมา ภูเก็ต เชียงราย และ กาญจนบุรี ผู้ทำพินัยกรรม นายพิชิต พัชรวิทิต มอบให้ เจ้านาย พัชรวิทิต พยาน นางสุจิตรา พัชรวิทิต
3. เงินในบัญชีธนาคาร จำนวน 530 ล้านบาท เจ้าของบัญชี นายพิชิต พัชรวิทิต มอบให้ เจ้านาย พัชรวิทิต พยาน นางสุจิตรา พัชรวิทิต
4. หุ้นส่วน ของบริษัท โอแกรนวิลล์ 35%
ผู้ทำพินัยกรรม นายพิชิต พัชรวิทิต มอบให้ เจ้านาย พัชรวิทิต พยาน นางสุจิตรา พัชรวิทิต
เงื่อนไข
1. ติดต่อ นายวิทยา แสงจันทร์หอม ทนายความผู้ร่างพินัยกรรม เบอร์โทร
086-966-xxxx
วันที่ 11 สิงหาคม 2543
เมื่อผมอ่านจบ ผมได้แต่นั่งนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น....
ตอนนี้ผมกำลังยืนตัวหนาวสั่นอยู่ที่ท่าอากาศยานลอนดอนฮีทโธรว์ โดยมีชายรูปร่างสูงใหญ่ร่างกายกำยำ เจ้าของใบหน้าคมคายในมาดที่นิ่งขรึมของประธานบริษัทยืนอยู่คู่กัน ฝ่ามือถูกกุมกระชับไว้เพื่อเพิ่มความอบอุ่น ขณะรอรถที่เช่าไว้มาส่งให้ที่บริเวณด้านหน้าครับ ใช่ครับ เรากำลังอยู่ที่ลอนดอน เพราะผมเองที่เอ่ยปากว่าอยากไปเที่ยว พี่เนมก็จัดการให้ในทันที ตอนแรกผมคิดว่าเราคงจะเที่ยวกันใกล้ๆ ไม่ไกลบ้านสักเท่าไหร่ หากแต่คนข้างกายนี้กลับจองตั๋วเครื่องบิน ที่พักให้พร้อมสรรพโดยหลังจากที่ผม อ่อ หลังจากที่พี่เนมชวนผมล้างรถนั่น เราก็นอนพักเอาแรง นอนคุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อย ในช่วงเย็นของวันพี่มาคัสก็โทรมาแจ้งว่าชิ้นส่วนที่ส่งไปที่ต่างประเทศนั้นมีปัญหา แล้วเป็นทั้งล๊อต มูลค่าไม่ใช่น้อยๆ จนพี่เนมต้องรีบบินมาไกลถึงลอนดอนนี้เอง โดยหลังจากที่ทราบข่าวเราก็พากันเก็บข้าวของ รีบบึ่งรถออกมาจากบ้านทันที ตรงดิ่งเข้าบ้านแล้วจัดกระเป๋าอย่างรวดเร็ว พี่เนมนะครับ ไม่ใช่ผม ผมเองก็ช่วยพี่เนมเก็บกระเป๋า นั่งพับผ้าใส่ให้ อย่างเหงาหงอย ก็อุตส่าห์ได้ลาหยุด 1 อาทิตย์ พึ่งใช้ไปแค่ 2 วันเอง ส่วนพี่เนมแม้จะลาพักร้อนแล้ว แต
ในเช้าวันนี้ผมตื่นมาพร้อมกับความสดชื่นและสดใสอย่างที่สุดในรอบหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา หันมองข้างกายก็ไม่พบพี่เนมแต่อย่างใด คิดว่าคงจะไปออกกำลังกายที่ข้างล่างหรือไม่คงไปหาอะไรมาทานเป็นอาหารเช้า ผมจัดการลุกขึ้นจากฟูกนอน ความเจ็บแสบที่ช่องทางรักทำให้ผมมีความสุขแทนที่จะทรมานจากการขยับตัวจนอดยกยิ้มออกมาไม่ได้ ผมเดินเข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็นำผ้าทั้งหมดที่ใช้แล้วเดินไปทางหลังบ้าน ซักผ้าสักหน่อยครับ เดี๋ยวจะไม่มีใส่เอา เมื่อเดินลงมาแล้วก็ไม่พบพี่เนมแต่อย่างใด แถมรถสปอร์ตคู่ใจก็หายไปด้วย คิดได้อย่างเดียวคือออกไปหาอะไรมาทานแน่ๆผมละความสนใจในการตามหาพี่เนม เดินไปรองน้ำใส่กะละมัง เมื่อน้ำพอประมาณแล้วก็เอาผงซักฟอกที่อยู่ในกระปุกใกล้ๆ กันนั้นมาใส่ในน้ำ ตีกระจายฟองอยู่ชั่วครู่จนแน่ใจว่าละลายดีแล้ว ถึงได้เอาผ้าลงใส่ แล้วรองน้ำใส่กะละมังใบอื่นแทนเพื่อใช้สำหรับล้างน้ำเปล่า ผมขยี้ผ้าไปด้วย เพื่อให้มั่นใจว่ามันจะสะอาดจริงๆ เริ่มซักผ้าได้ไม่นาน เสียงรถยนต์ก็ดังให้ได้ยินจากด้านหลัง จนผมต้องหันไปมอง พี่เนมก้าวขาลงจากรถพร้อมกับอาหารมากมายทั้งของคาวของหวาน ทั้งปรุงเสร็จแล
“ลงกันเถอะครับ นายคงจะหิวแย่แล้ว” พี่เนมจัดการปลดล็อกรถแล้วก้าวเดินลงไป ทำให้ผมหันมองรอบๆ ตัวด้วยความสนใจ สถานที่แห่งนี้เหมือนกับน้ำตกเลยละครับ มีร้านค้าต่างๆ มากมาย เพราะว่ายังเช้าอยู่คนเลยบางตา ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ผมรีบเปิดประตูก้าวเท้าตามลงไป พี่เนมจัดการกดล็อกรถไว้ แล้วกุมมือผมให้เดินไปด้วยกัน“ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนหรอครับ”“น้ำตกวังตะไคร้ครับ”“นครนายก?” พี่เนมพยักหน้าเป็นการตอบรับ ส่วนผมกะพริบตาปริบๆ มันไม่ได้ไกลจากบ้านพี่เนมเลยสักนิด!!!! ลุงชาญอุตส่าห์จับผมมา จับมาไกลแค่เนี้ยะ??? ผมถอนหายใจ ส่ายหัวนิดๆ ไอ้เรารึนึกว่าจะถูกจับมาไกลสุดสายตาของพี่เนม คิดว่าจะกักขังไว้ไม่ให้ได้เจอกันโดยง่าย แต่กลับอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง ผมอดหัวเราะหน่อยๆ ออกมาไม่ได้ สายตาหันไปมองร้านข้างทางที่มีอยู่เต็มไปหมด ก่อนจะหันไปเห็นเสื้อลายดอกสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสามส่วน เหมือนอยู่ในฮาวาย หันมองคนข้างกายที่ยังอยู่ในชุดคอเต่าแขนยาวสีดำกับกางเกงทหารมีกระเป๋าเยอะๆ ที่เนื้อผ้าดูแล้วไม่ระบายอากาศเท่าไหร่ผมเดินเข้าไปในร้านนั้น หยิบจับเส
ผมเอื้อมมือลูบหน้าของพี่เนมที่ตอนนี้เหมือนตกอยู่ในภวังค์ นิ้วโป้งของผมลูบรอยคล้ำใต้ตา ไล่ลงมาจนถึงแก้มตอบหน่อยๆ และมาจบอยู่ที่ปลายคางที่เริ่มมีไรหนวดขึ้นมาให้เห็น ใบหน้าของพี่เนมโทรมลงไปมาก คงเพราะปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าอยู่ในตอนนี้ และผมเองก็คงเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานั้นเช่นกัน ผมดึงรั้งตัวพี่เนมให้เข้ามาซบพิงกับไหล่ของผม จนคนตัวโตต้องโค้งตัวลงตาม พี่เนมวางหัวไว้ที่บ่าของผม รอบข้างตกอยู่ในความเงียบงัน แขนทั้งสองข้างของผมตระกองกอดคนตรงหน้านี้ ฝ่ามือลูบเส้นผมหนาดกดำนุ่มมือ อีกข้างลูบหลังแผ่วเบาปลอบใจ เรายืนกอดกันนิ่งๆ จนผมรับรู้ถึงความฉ่ำชื้นที่บนบ่า ก่อนจะพูดออกมา“ร้องมาเถอะครับ ผมบอกแล้วไง ผมจะยืนอยู่ข้างพี่ ผมจะเป็นพละกำลังให้พี่ และผมจะเป็นแรงใจให้พี่เอง” ไหล่กว้างที่เคยตั้งตรง สูงสง่า สั่นไหวน้อยๆ พร้อมกับความชุ่มชื้นที่เพิ่มมากขึ้น จนบ่าของผมเกิดเป็นรอยน้ำตา ผมกอดคนตรงหน้าให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ พูดปลอบใจไปเบาๆ อยากจะช่วยให้พี่เนมผ่านพ้นความทุกข์ทรมานนี้ไปได้“พี่... ไม่เคยคิดเลย อึก ว่าคนที่พี่ตามหามาตลอด คนที่เป็นคนวางแผนทั้งหมด จะเป็นแม่ของพี
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันอาทิตย์ อาการบาดเจ็บเริ่มดีขึ้นมาก ผมก็นั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้อง ไม่ได้ออกไปที่ไหน ถึงจะอยากออกไปก็คงออกไม่ได้อยู่ดี เพราะมีพวกพี่ๆ เข้าเฝ้าอยู่เต็มไปหมด แต่ว่าที่นี่ก็มีคนเข้าออกอยู่ตลอด ก็คือป้าที่คอยเอาข้าวปลาอาหารมาส่งให้กับคุณหมอที่คอยแวะเวียนมาตรวจอาการตอนนี้ก็ 5 วันเข้าไปแล้วที่ผมโดนจับตัวมา ผมเองทั้งวันก็ไม่ได้ทำอะไร นั่งดูคลิปวนไปอยู่แบบนั้น ทุกครั้งที่ได้ดูก็จะแสดงอาการทั้งสุข ทั้งเศร้า ทั้งเสียใจ และดีใจ ปะปนกันไปหมด หลากหลายอารมณ์ จนคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นบ้าไปเสียแล้ว แต่สิ่งหนึ่งเลยที่อยู่ในความคิดของผมมาตลอดก็คือ ผมคิดถึงพี่เนม ผมอยากกลับบ้าน อยากไปเจอหน้าเขา อยากอยู่ในอ้อมกอดอุ่นๆ นั้น ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยกให้ผมเป็นที่หนึ่งอยู่เสมอ ผมคิดถึงพี่เนมอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าคนตัวโตจะตามหาผมขนาดไหน ไม่รู้ว่าจะคลุ้มคลั่งไปไหมที่หาผมไม่เจอ พี่จะรู้บ้างไหมว่าผม คิดถึง....ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยจนมาถึงช่วงเย็นของวัน พี่มอสก็บอกให้ผมลงไปหาที่ด้านล่าง นายของพี่มอสอยากจะคุยด้วย ทำให้ผมตาลุกวาว ผมจะได้เจอคนที่จับผมมาแล้วใช่ไหม จะใช่คนที่ผมคิดไหมนะ ผมคิดพ
หลังจากที่ผมสั่งงานมาคัสเสร็จ ผมก็ขับรถตรงกลับบ้านทันที ผมถึงบ้านในราวๆ 5 ทุ่มของวัน ผมเดินเข้าบ้านด้วยสภาพอ่อนระโหยโรยแรง ไม่มีแม้แต่แรงจะเดิน ผมพาร่างตัวเองเดินมาเรื่อยจนถึงห้องนอน ก่อนจะทิ้งตัวลงอย่างอ่อนล้า กลิ่นหอมจางๆ ยังอยู่ทั่วทุกอณูภายในห้องนอน กลิ่นหอมของคนตัวเล็กที่ทำให้ผมโหยหา อยากกอด อยากสัมผัส ไม่อยากให้ระหว่างเราเป็นอย่างนี้ผมคว้าหมอนที่เจ้านายใช้หนุนนอนมาตระกองกอดไว้ เปรียบเสมือนตัวแทนของเจ้านายในช่วงเวลานี้ ฝั่งหน้าลงบนหมอนนุ่ม สูดลมหายใจเข้าลึก ติดตรึงอยู่ในภวังค์ของห้วงคำนึง น้ำสีใสไหลออกจากหางตา ตกกระทบกับหมอนใบใหญ่ ก่อนจะซึมหายไปในที่สุด หยดที่หนึ่ง.... หยดที่สอง.... หยดที่สาม.... ก่อนจะไหลออกมาไม่ขาดสาย ซึมลงไปในหมอนใบโตผมใช้มือแตะที่ใบหน้าของตัวเองอย่างแปลกใจ ก่อนจะพบว่าน้ำสีใสติดมือมา นี่ผม.... ร้องไห้?“ฮึก อึก” ผมกลั้นสะอื้น ปกปิดเสียงร้องไห้ของตัวเอง ซุกหน้าลงบนหมอน สูดกลิ่นกรุ่นของคนร่างบางที่ติดอยู่อย่างเจ็บปวด ผมยอมรับอย่างไม่อายเลยว่าผมเสียใจ เสียใจอย่างที่สุดแล้ว ความเจ็บปวดที่ไม่มีเสียงนี้ บาดลึกลงที่กลางใจ เพราะผมเ