1
ดวงตะวันสีแดงพระจันทร์สีเลือด
“นี่เธอ เมื่อไหร่จะเลิกให้ข้าวคนไร้บ้านพวกนั้นสักที” ชายหนุ่มแต่งตัวจัดจ้านถามขึ้น ขณะดวงตาก็ปรายมองยังคนไร้บ้านสองคนที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ตรงโต๊ะนอกกระจกร้านอาหารของเธอ
พิมดาว หญิงสาวอายุยี่สิบสองเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีสาขาโภชนาการอาหาร หลังเรียนจบก็นำเงินที่มีมาลงทุนเปิดร้านอาหาร ทำเลตั้งอยู่ตรงข้ามทางเข้าหมู่บ้านหรูหากเทียบกับค่าครองชีพในปัจจุบัน
“จะทำได้ยังไงคะพี่ เป็นร้านอาหารแต่ปล่อยคนหิวพิมทำไม่ได้” เธอตอบเขาพลางเหลือบมองไปนอกกระจกร้าน มือก็เช็ดโต๊ะที่พึ่งเก็บเสร็จ แม้ไม่ใช่คนร่ำรวย แต่เธอก็มีมากพอจะแบ่งปันให้ผู้อื่นถึงจะแค่เล็กน้อยก็ตาม
เธอเป็นลูกคนเดียวและตอนนี้ก็เหลือเพียงตัวคนเดียวจึงไม่กังวลกับสิ่งใดอีก ชีวิตเธอก็มีเพียงแค่นี้ทำงานหาเงิน ทำบุญให้อาหารคนหิวโหยบ้าง หลังปิดร้านก็นอนอ่านหนังสือ ดูซีรีส์ตามประสาสาวโสด
“งั้นเธอก็ไปใจบุญที่อื่นสิ ลูกบ้านร้องเรียนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว เขาบอกว่าร้านเธอทำให้หมู่บ้านดูโลมาก”
“ก็แค่ให้อาหารคนหิว มันดูต่ำตรงไหนคะ พิมไม่ย้ายหรอก ถ้าใครไม่พอใจก็ย้ายเองเลย” หญิงสาวไม่ยอมแพ้ เดือนนี้นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่นิติบุคคลของหมู่บ้านมาเตือนเธอให้ย้ายออกไป แต่เธอก็ยังไม่คิดจะย้ายไปไหน เธอไม่ได้ทำอะไรผิดทำไมต้องย้าย
อีกอย่างร้านของเธอไม่ได้อยู่ในโครงการสักหน่อย อย่างมากก็แค่อยู่ใกล้เคียงกันเท่านั้น
“ฉันมาเตือนเธอครั้งสุดท้าย หลังจากนี้อาจจะเป็นคนอื่นแต่คงไม่ได้มาเตือนเหมือนฉันหรอกนะ” พูดจบผู้ชายคนนั้นก็เดินจากไป ทิ้งให้เธอมองตามด้วยความไม่เข้าใจ
ไม่ได้มาเตือน ทำไมจะมาพังร้านเธอหรือไง นี่มันปีอะไรแล้วยังจะมาข่มขู่ไล่ที่อีก บ้านเมืองมีขื่อมีแปเธอกลัวที่ไหนกัน
นอกกระจกคนไร้บ้านกินข้าวเสร็จก็ยืนยกมือไหว้เธออยู่นอกร้านหลายครั้ง ก่อนจะช่วยกันเก็บกวาดใบไม้ที่ตกหล่นบนโต๊ะอาหารนอกห้องแอร์ แล้วพากันจากไป
ถึงเวลาปิดร้านของเธอสักที...
ไม่ไกลจากร้านเป็นสวนสาธารณะที่มักมีคนพาเด็ก สุนัขไปเดินเล่นกัน เพราะมีมุมให้พักผ่อนออกกำลังกาย ซ้ำยังมีบึงน้ำขนาดใหญ่ให้คนได้ปั่นจักรยานเล่นรอบบึงด้วย
พิมดาวปิดร้านเสร็จก็มักจะไปนั่งเล่นในสวนเพื่ออ่านหนังสือ บางทีก็นั่งมองเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน มันช่วยให้เธอไม่เหงาหรือแปลกแยกเกินไป ขณะกำลังหย่อนตัวลงใต้ต้นไม้ข้างบึงใหญ่
“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย” ดวงตากลมโตตวัดขวับเมื่อได้ยินเสียงเด็กผู้ชายร้องให้ช่วยเสียงดังลั่น มุมหนึ่งที่ริมบึงเธอพบเด็กหญิงอายุประมาณห้าหกขวบกำลังตีน้ำในบึงเป็นวงกว้างอยู่
ในบริเวณนั้นไม่พบผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ที่สามารถช่วยเหลือได้เลย พิมดาววิ่งไปอย่างรวดเร็วไม่หยุดชั่งใจใด ๆ โยนกระเป๋าสะพายทิ้งกระโดดลงน้ำเพื่อช่วยเด็กผู้หญิง
“ไม่ต้องร้อง ๆ พี่มาช่วยแล้ว”
“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย” เด็กผู้ชายคนนั้นยังร้องตะโกนเสียงดัง มีหลายคนได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาเพื่อช่วยเธออีกแรง พิมดาวพยายามว่ายน้ำลากเด็กน้อยเข้าฝั่งเพื่อส่งขึ้นไปบนบก แต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะกลืนน้ำเข้าไปเยอะ
ทุกอย่างดูวุ่นวายมากจนไม่มีใครทันสังเกตเธอที่ตอนนี้ถูกตะคริวกินจนไม่สามารถขยับได้และค่อย ๆ จมลงไปในน้ำอย่างเชื่องช้า
ไม่มีใครสักคนเลยที่จะทันสังเกตคนให้การช่วยเหลือ เพราะตอนนี้ทุกคนกำลังสนใจการช่วยให้เด็กน้อยคนนั้น
ภาพตรงหน้าเป็นเวลาเย็นแต่ท้องฟ้ากลับไม่สว่างอย่างที่ควร พระอาทิตย์ดวงโตเปล่งแสงสีแดงราวเลือดนก นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้ก่อนที่การมองเห็นของเธอจะมืดดับ…
งานเทศกาลโคมไฟ
โจวเจียวเจียวมองเห็นภาพตรงหน้าและรู้สึกริษยาในใจ กับนางมู่หลินเฟิงไม่เคยยิ้มให้แม้สักครั้งแต่กับสืออีหรานผู้นั้น ทั้งยิ้มให้และมอบสายตาอบอุ่นอ่อนโยนให้
หญิงสาวบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นกระทั่งมันขาดเพราะแรงดึงรั้ง
“เสี่ยวมั่ว จืออวิ๋นพวกเราไปกันเถอะ” สุรเสียงหวานใสดังขึ้นพร้อมกับเรือนร่างอรชนขยับไปจากลานชมโคมไฟ หญิงสาวเดินไปหยุดตรงศาลาริมน้ำเพื่อรอคอยพี่ชายและสหายของพี่ชายตามคำนัดหมาย
ทั้งสามรออยู่เกือบหนึ่งเค่อก็มีคนมาเสียที แต่กลับมิใช่คนที่นางรอคอย
“เจียวเจียว เจ้ารอผู้ใดอยู่หรือ” สืออีหรานเป็นผู้เอ่ยทักขึ้นมาก่อน เมื่อเห็นสตรีวัยเดียวกัน หาใช่เพราะมีจิตไมตรีต่อกัน ไม่ว่าผู้ใดก็รับรู้ว่าโจวเจียวเจียวมีใจให้มู่หลินเฟิง แต่มู่หลินเฟิงกลับมีใจให้สืออีหรานคุณหนูชื่อเสียงโด่งดังอันดับหนึ่งในเมือง
“เราสองไม่สนิทมากพอจะให้เจ้าเรียกข้าเช่นนี้กระมัง” โจวเจียวเจียวตวัดสายตามองพลางเอ่ยชัดถ้อยคำ นางเกลียดสืออีหรานแต่ไม่เคยทำร้ายนางเพราะกลัวว่าท่านพี่มู่จะเกลียดนาง
สิ่งที่นางทำได้ก็แค่พูดจากระทบกระเทียบสืออีหรานให้เจ็บใจบ้างเท่านั้น
สืออีหรานรู้ดีอยู่แก่ใจจึงจงใจยั่วโทสะโจวเจียวเจียวทุกครา เพื่อให้ตนเองดูน่าสงสารในสายตามู่หลินเฟิง ครานี้ก็เช่นกัน
“เหตุใดจึงไม่สนิทเล่า ท่านพี่มู่กับคุณชายโจวเป็นสหายกัน ภายหน้าข้ากับท่านพี่มู่แต่งงานก็ย่อมต้องไปมาหาสู่กับเจ้า” เสียงเล็กเสียงน้อยที่เอ่ยออกมาช่างขัดหูโจวเจียวเจียวยิ่งนัก ดวงตากลมโตมองสตรีตรงหน้าด้วยความกรุ่นโกรธ
“ผู้ใดกล่าวว่าจะแต่งกับเจ้ากันสืออีหราน”
“เมื่อครู่เจียวเจียวก็เห็นแล้วมิใช่หรือ ท่านพี่มู่เป็นผู้บอกกับข้าเอง” หญิงสาวผู้นั้นกล่าวพลางยกยิ้มมุมปาก นางรู้ดีว่าจะทำเช่นไรให้โจวเจียวเจียวมีโทสะจนเผลอทำตัวไม่ดีต่อหน้ามู่หลินเฟิง
สืออีหรานเหยียดยิ้มเยาะจนโจวเจียวเจียวสังเกตได้ จึงยื่นมือไปกระชากแขนนางอย่างแรง ปลายหางตาเรียวของสืออีหรานสังเกตได้ว่าด้านหลังของนางเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ที่บนผืนน้ำมีโคมน้ำลอยอยู่มากมาย
ตัวนางนั้นว่ายน้ำได้บ้างเล็กน้อยผิดกับโจวเจียวเจียวที่ว่ายน้ำไม่เป็นเลย นางแสร้งหย่อนเท้าไปบนผืนน้ำก่อนจะกระชากให้โจวเจียวเจียวหล่นลงไปกับตนเอง
“กรี๊ด”
“คุณหนู ช่วยด้วยช่วยคุณหนูด้วย” เสี่ยวมั่วตะโกนเสียงดัง นางรู้ดีว่าผู้เป็นนายของตนว่ายน้ำไม่เป็น
“แค่ก ๆ ช่วยด้วย” แม้จะตกน้ำสืออีหรานก็ยังร้องให้คนช่วยด้วยน้ำเสียงหวานหยด ต่างกับโจวเจียวเจียวที่เอาแต่ตีน้ำ ไม่มีแรงจะมาสนใจร้องเรียกผู้ใด
รอบบริเวณโกลาหลนัก ผู้คนตะโกนพากันร้องตะโกนว่าบุตรสาวตระกูลโจวและตระกูลสือตกน้ำ โจวจี้หยวนและมู่หลินเฟิงที่เพิ่งเดินมาถึงจึงรีบวิ่งไปยังริมบึงกว้าง พุ่งกระโจนลงน้ำเพื่อไปช่วยสตรีทั้งสอง
สืออีหรานยังคงลอยตัวอยู่บนผืนน้ำ แต่โจวเจียวเจียวกำลังจมลงสู่ก้นบึงลึกเบื้องล่าง ภาพสุดท้ายก่อนนางจะจมลงไปเป็นภาพที่มู่หลินเฟิงเลือกช่วยสืออีหรานไม่ปรายตามองนางแม้แต่น้อย
ไม่มีใจจะเหลียวมองนางเลยสักช่วงเวลา…
เช่นนี้นางจึงปล่อยตัวไม่พยายามไขว่คว้าที่จับยึดอีกต่อไป พระจันทร์สีเหลืองกระจ่างพลันเปลี่ยนเป็นสีชาดราวกับโลหิตนก นางจึงปิดตาลงยอมรับชะตากรรมที่ผู้อื่นมอบให้
ฤกษ์ดีงานวิวาห์สองงานถูกจัดขึ้นพร้อมกัน เป็นเหตุให้เรื่องนี้ร่ำลือไปทั่วเมืองเทียนเผิง สองตระกูลขุนนางสำคัญวิวาห์บุตรสาวจากตระกูลคหบดีชื่อดัง งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่โรงเตี้ยมมีชื่อแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของตระกูลโจวอีกเช่นกันทั้งสองไม่ได้คิดจะแต่งวันเดียวกัน แต่ฤกษ์ดีวันนี้กลับมีเพียงห้าปีครั้ง หลินซีเองก็ไม่อยากรอ มู่หลินเฟิงก็ไม่อยากรอ ยิ่งมีบุตรปีนี้จะเกื้อหนุนครอบครัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งสตรีทั้งสองยังกลัวจะไม่ได้ไปร่วมดื่มอวยพรให้อีกฝ่ายเมื่อเลือกไม่ได้จึงตกลงแต่งพร้อมกัน มู่หลินเฟิงและหลินซียังคงปะทะฝีปากกันบ่อย ๆ แต่ทุกครั้งก็ถูกว่าที่ภรรยาตำหนิจนหน้าบูดกันไปทุกทีหากงานจัดในบ้าน เจ้าสาวย่อมไม่มีหน้าที่มาต้อนรับ แต่งานวิวาห์นี้กลับจัดในโรงเตี้ยมใหญ่โต เจ้าสาวทั้งสองจึงสวมผ้าคลุมหน้าพูดคุยกับผู้มาร่วมยินดีด้วยได้ กระทั่งมีชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่งเดินเข้ามาคารวะสุรากับโจวเจียวเจียว“
ตอนพิเศษอารมณ์ดีหลังถูกสตรีในใจปฏิเสธชัดเจน หลินซีรู้สึกว่าตนเองต้องเสียใจมากเป็นแน่ ทว่าเรื่องราวไม่เป็นเช่นนั้น เขารู้สึกราวยกภูเขาออกจากอกเสียมากกว่า ร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้างดงามราวอิสตรีเดินเอื่อยไปเรื่อย ๆ บนถนนเส้นหลักของตลาดฝั่งประจิมแม้จะมีใบหน้างดงามจนหาที่เปรียบได้ยากและเป็นที่ชื่นชอบของสตรีมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าก่อกวนเพราะตระกูลนักรบเช่นเขาไหนเลยจะรู้จักรักหยกถนอมบุปผาได้เฉิงเชียงที่เดินอยู่ด้านหลังขยับขึ้นมากระซิบชายหนุ่มแผ่วเบา“คุณชายนั่นแม่นางจืออวิ๋นขอรับ” หว่านจืออวิ๋นเป็นสตรีที่งดงามราวเทพธิดาไม่ต่างสืออีหราน ต่างกันเพียงนางไม่ใช่บุตรสาวตระกูลขุนนาง หากแต่เป็นบุตรสาวพ่อค้ายามนี้ไร้ซึ่งเงาของสืออีหราน นางจึงเป็นที่เลื่องลือมากยิ่งขึ้น มีบรรดาบุตรชายขุนนางหลายคนมาทำความรู้จัก บางคนต้อ
47พิมดาวจวนตระกูลมู่เงียบเชียบราวกับจวนร้างแต่ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาทำให้รู้ว่าแท้จริงที่นี่มิได้ร้างผู้คน สตรีวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเตียงสีหน้าเศร้าหมองไม่น้อย นางชี้หน้าผู้เป็นสามีต่อว่าเขาแต่ตนเองกับร่ำ ๆ จะร้องไห้บุตรชายนางไปทำงานต่างเมืองสองเดือนแล้ว แม้มีจดหมายแต่ราวกับไม่มี จดหมายนั้นหาใช่บุตรชายนางเขียน หากบุตรชายนางยังอยู่ดีเหตุใดจึงไม่เขียนจดหมายมาเอง“ท่านโกหกข้า ลูกข้าอยู่ที่ใด ฮือ...” อี้ฮูหยินกล่าวไปร่ำไห้ไป จดหมายสองฉบับที่ส่งมา ลายมือแทบไม่ต่างจากบุตรชายแต่นางที่เฝ้ามองบุตรชายเติบใหญ่ มีหรือไม่สามารถจำได้ลายมือบนจดหมายถูกปลอมแปลงขึ้น แล้วเหตุใดต้องปลอมหากไม่ใช่เพราะบุตรชายนาง...“ฮูหยินเจ้าใจเย็น ๆ เสียก่อน เฟิงเอ๋อร์ยังอยู่ดี”“อยู่ดีหร
46ขอเพียงท่านฟื้นปลายวสันต์ลมโชยพัดผ่านกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีกันฟังราวกับกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเขียวขจีให้ความสดชื่นไม่น้อย เพียงแต่ที่นี่คือเรือนข้างในคฤหาสน์หลังใหญ่สกุลโจว ร่างสูงโปร่งบนเตียงก็ยังคงหลับตาอยู่เช่นเดิมหญิงสาวใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมดำสนิทที่ถูกลมพัดของมู่หลินเฟิงออกจากใบหน้า“สองเดือนแล้วที่ท่านปล่อยให้ข้าพูดคุยเพียงลำพัง ยังไม่ทันได้หมั้นหมายก็ทิ้งให้ข้ากังวลเช้าเย็นเช่นนี้ คิดว่าข้ายังจะอยากแต่งกับท่านอีกหรือคุณชายมู่” บ่นไปก็เช็ดตัวเขาไป นางทำจนเคยชินไปเสียแล้ว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนนางจึงเช็ดเนื้อเช็ดตัวของเขาทั้งเช้าและเย็นเดิมทีนางคิดว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาภายในหนึ่งเดือน เพราะก่อนนี้เขาตอบสนองนางด้วยการขยับนิ้ว แต่ก็เพียงแค่ครั้งเดียว ดูเหมือนอี้ฮูหยินเองก็เริ่มสงสัยแล้วเหมือนกันว่าบุตรชายไม่ได
45ข้ายังรออยู่ตระกูลสือที่รุ่งเรืองในอดีต ยามนี้จบสิ้นแล้วทั้งตระกูล ประตูใหญ่จวนสือที่เคยรุ่งโรจน์บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ตบเท้าเข้ามาทำความรู้จัก บัดนี้มีเพียงเศษใบไม้ปลิดปลิว เวิ้งว้างวังเวง ประตูปิดสนิทถูกแปะทับด้วยกระดาษสีแดงแผ่นยาวในตลาดมีประกาศความผิดติดไว้ให้ผู้คนรับรู้ ตระกูลสือกำเริบเสิบสาน ไม่เกรงกลัวกฎหมาย สตรีสกุลสือไร้คุณธรรมบงการลอบทำร้ายผู้อื่น ต้องโทษทั้งตระกูล ยึดทรัพย์ยึดจวน ริบคืนบรรดาศักดิ์ทั้งหมดสือจินเฉิงถูกโบยห้าสิบครั้ง เนรเทศไปชายแดน สืออีหรานถูกโบยสามสิบครั้งถูกกรีดใบหน้าด้านขวาว่าไร้คุณธรรม เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางคงไม่อาจผูกสมัครรักผู้ใดได้อีก ส่วนมารดาของนางถูกโบยยี่สิบครั้งฐานเป็นมารดาที่สั่งสอนบุตรสาวไร้คุณธรรมเมื่อได้ยินเรื่องนี้โจวเจียวเจียวไม่ได้มีท่าทางยินดียินร้ายใดต่อเรื่องที่ได้ย
44ท่านต้องฟื้นจวนแม่ทัพหลินมู่หลินเฟิงถูกพากลับมายังจวนตระกูลหลิน เพราะอยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งหมอของตระกูลหลินเชี่ยวชาญชำนาญบาดแผลเช่นนี้มากกว่า ร่างโชกเลือดถูกยกเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง สาวใช้สองสามคนช่วยท่านหมออยู่ภายใน ผ่านไปเกือบสองเค่อจึงยกเอาอ่างไม้ออกมา เปลี่ยนเป็นน้ำร้อนแล้วเข้าไปอีกโจวเจียวเจียวเดินวนไปวนมา ร้อนใจนักไม่รู้คนโง่ผู้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง มีดปักคาไว้ไม่รู้ถูกส่วนสำคัญบ้างหรือไม่เหตุใดคน ๆ นั้นจึงโง่เช่นนี้ การช่วยคนต้องช่วยโดยไม่ให้ตนเองเป็นอันตรายไปด้วย นี่อันใดกันทำตนเองบาดเจ็บคาบเกี่ยวชีวิต คิดแล้วยิ่งขุ่นเคืองเป็นถึงจอหงวนสิ้นคิดนักหญิงสาวทำได้เพียงต่อว่าเขาในใจ นางต่อว่าเขาจนลืมไปกระมังว่าตนเองก็ตายเพราะช่วยผู้อื่น“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ร่างเล็กปรี่เข้าไปถาม