ในที่สุดพิธีอภิเษกสมรสก็มาถึง....
‘ฉู่เหลียน’ บุตรีของท่านแม่ทัพ ผู้เป็นเจ้าสาวนั่งอยู่ในเกี้ยวสีแดง นางบีบมือตนเองเพื่อระงับความตื่นเอาไว้ ริมฝีปากแย้มนิดๆ ไม่คิดไม่ฝันว่านางจะได้แต่งเป็นภรรยาของบุรุษที่นางแอบชอบมาตั้งแต่เด็ก
เมื่อฮ่องเต้มีพระบัญชาพระราชทานมงคลสมรส แม่ทัพฉู่เหวินรับราชโองการด้วยสีหน้าหนักใจ
“เหลียนเอ๋อร์... พ่อทำให้เจ้าลำบากแล้ว”
ฉู่เหวินในวัยห้าสิบปี ผมสีขาวขึ้นแซมเกือบทั้งศีรษะ กอบกุมมือลูกสาวเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง และหวงแหนเป็นที่สุด
ฉู่เหลียนยิ้มให้บิดา “ท่านพ่อ ท่านอย่าได้โทษตัวเองเลย อีกทั้งข้าเต็มใจเข้าพิธีอภิเษกกับองค์ชายใหญ่”
องค์ชายซ่งเทียนยังคงแจ่มชัดในความทรงจำนางเสมอ เมื่อสิบปีก่อน นางอายุเพียงแปดขวบได้ไปเที่ยวกับบิดาในการล่าสัตว์ประจำปี เพราะความซุกซนจึงทำให้นางหลงเข้าไปในป่าคนเดียว ในขณะที่นางกำลังจะถูกเสือขย้ำ องค์ชายซ่งก็เข้ามาช่วยชีวิตนางได้ทันเวลาพอดี นับตั้งแต่วันนั้น นางก็เฝ้าคิดถึงเพียงเขา
ฉู่เหวินมองบุตรสาวเต็มตา บัดนี้ ลูกของเขาได้เติบโตเป็นดรุณีแรกสาว ใบหน้าสดใสงดงาม ดวงตากลมโตคู่นั้นส่องประกายความเด็ดเดี่ยวออกมา
“แต่ใคร ๆ ต่างก็เล่าลือกันว่า องค์ชายใหญ่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต อีกทั้ง ยังใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกชาวบ้าน”
บิดาพูดไม่ทันจบ ฉู่เหลียนก็เอ่ยเสริมต่อท้ายว่า “ทุกคนต่างขนานนามเขาว่าเป็นองค์ชายทรราชแห่งแคว้นผิงอัน ใช่ไหมเจ้าคะท่านพ่อ”
แม่ทัพชราสีหน้าไม่สู้ดี “นั่นแหะที่ทำให้พ่อไม่วางใจ เป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน กลัวว่าเจ้าจะถูกรังแก”
ฉู่เหลียนหัวเราะคิกคักโผเข้ากอดบิดา “ท่านพ่ออย่าได้กังวลไปเลย เสียงเล่าลือเล่าอ้างทั้งนั้น อีกอย่าง... ตามที่ข้ารู้มา คนที่องค์ชายใหญ่รังแกล้วนเป็นพ่อข้าหน้าเลือดทั้งนั้น หรือไม่ก็พวกขุนนางที่เอาแต่ประจบสอพลอวัน ๆ ไม่ทำอะไร”
ฉู่เหวินเลิกคิ้วสูงประหลาดใจไม่น้อยที่บุตรสาวรู้เรื่ององค์ชายใหญ่ยิ่งกว่าเขาเสียอีก “ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้เรื่องขององค์ชายซ่งเป็นอย่างดี?”
ฉู่เหลียนใบหน้าร้อนผ่าว กลัวว่าบิดาจะจับได้ว่าเป็นสตรีที่ทำตัวไม่เหมาะสม จึงรีบแก้ตัวว่า ”แหมท่านพ่อ ใคร ๆ เขาก็รู้เรื่องขององค์ชายใหญ่กันทั้งนั้น ข้าไปเดินตลาดยังได้ยินแม่ค้าพ่อค้าเขาพูดกัน ข้าก็เพียงแค่รับฟังบ้าง ไม่รับฟังบ้างก็เท่านั้น”
“เอาเถอะ... หากลูกเต็มใจแต่งงานจริงพ่อก็วางใจ แต่หากว่าองค์ชายรังแกเจ้า เจ้าก็รีบมาบอกพ่อ พ่อจะไปทูลขอให้ฮ่องเต้มีคำสั่งหย่าให้เจ้าด้วยตัวเอง”
“เจ้าค่ะ ข้ารักท่านพ่อที่สุดเลย”
ฉู่เหลียนโผเข้าหอมแก้มบิดา นางเหลือบิดาเพียงคนเดียว แม่ตายไปตั้งแต่นางอายุไม่ถึงห้าขวบ ดังนั้น สองพ่อลูกจึงรัก และสนิทกันมาก
ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงประทัดก็ดังสนั่นหวั่นไหว ดึงสติของฉู่เหลียนกลับมาอีกครั้ง
“ถึงตำหนักขององค์ชายซ่งเทียนแล้ว”
เสียงแม่สื่อเอ่ยเบา ๆ ขณะที่บุรุษชุดสีแดงทั้งแปดคนหามวางเกี้ยวลง แม่สื่อก็เลิกผ้าม่านขึ้นพร้อมกับจับจูงเจ้าสาวในชุดสีแดงส่งให้ถึงมือเจ้าบ่าวที่มารับอยู่ที่ประตูทางเข้า
พิธีอภิเษกสมรสดำเนินไปตามลำดับขั้นตอน คู่บ่าวสาวคํานับฟ้าดิน ไหว้บรรพบุรุษ จนกระทั่งเสร็จสิ้นการยกน้ำชารับพรจากญาติผู้ใหญ่ เจ้าสาวจึงถูกนำตัวส่งเข้าห้องหอเพื่อรอเจ้าบ่าวมาเปิดผ้าคลุมหน้า
ณ เรือนหอ
ฉู่เหลียนในชุดเจ้าสาวนั่งรอเจ้าบ่าวในห้องหอตั้งแต่ยามอู่ ล่วงเข้ายามซวีเจ้าบ่าวของนางก็ยังไม่เข้าห้องมา นางไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้าหิวก็หิว ปวดเหมือนทั้งตัวก็ปวด เพราะต้องแบกรับน้ำหนักของมงกุฎเจ้าสาวไว้บนศีรษะรอให้เจ้าบ่าวมาเปิดผ้าคลุมหน้าเสียก่อนจึงจะถอดออกได้ และได้กินอาหารบนโต๊ะ
“เมื่อไหร่องค์ชายจะมาสักทีนะ ข้าหิวจนตาลายหมดแล้ว”
ฉู่เหลียนลูบท้องตัวเอง มองผ่านผ้าคลุมหน้าเห็นอาหารบนโต๊ะเลือนรางก็กลืนน้ำลายลงคอ
แก๊ก....
เสียงเปิดประตู ตามด้วยเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา
ฉู่เหลียนนั่งตัวตรง... นิ่ง.. แต่หัวใจนางกับเต้นระทึกอยู่กลางอก
บุรุษในชุดสีแดง หน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์สุราที่ดื่มเข้าไปมาก ซ่งเทียนจ้องมองเจ้าสาวบนเตียงด้วยแววตารังเกียจผสมกับความไม่พอใจ สตรีที่ควรจะอยู่ในห้องหอกับเขาวันนี้ควรเป็นเหมยลี่ ไม่ใช่นาง !
“ลุกขึ้นมาดื่มเหล้ามงคลให้จบ ๆ ไป จะได้เสร็จสิ้นพิธีบ้าบอนี้”
เจ้าบ่าวเอ่ยเสียงต่ำพลางใช้ไม้เขี่ยผ้าคลุมหน้าเปิดขึ้น
“........”
ฉู่เหลียนมองเจ้าบ่าวตรงหน้าด้วยความตกตะลึง นางเคยเห็นเขาอยู่ไกล ๆ ก็นับว่าดูดีแล้ว แต่เมื่อได้เห็นใกล้ ๆ ยิ่งรูปงามราวกับเทพเซียน ทำเอานางเกือบลืมหายใจไปเสียสนิท
ชีวิตการแต่งงานของนางไม่ได้งดงามหอมหวานเหมือนกับที่คิดเอาไว้เลย เพราะองค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นฮั่นจิตวิปริต ทุกครั้งที่รวมหอกันจะต้องตบตีนางให้เจ็บตัว ยิ่งนางกรีดร้อง เขาก็ยิ่งฮึกเหิม"อะ.. องค์ชายเพคะ วันนี้หม่อมฉันระบมไปทั้งตัวแล้วนะเพคะ ปล่อยหม่อมฉันสักคืนเถิด"องค์หญิงกู่เยี่ยรีบกระทดตัวก็เข้าไปยังเตียง ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นสามีกระชากอาภรณ์ของตัวเองออกจนเผยให้เห็นเรือนกายกำยำเปล่าเปลือย"เจ้าคิดว่าทำผิดพลาดแล้วจะไม่ต้องรับโทษรึ คืนนี้เจ้าต้องได้รับโทษจากข้าอย่างสาสม !"สิ้นคำ เขาก็กระชากนางอย่างแรง“ว๊าย.... โอ๊ย !”แรงกระชากนั้นทำให้นางอยู่ใต้ร่างกำยำ ดวงตาของสามีเต็มไปด้วยความหื่นกระหายราวกับสัตว์ป่า ไม่มีความรักให้กับนางแม้แต่น้อย“พระชายา.... จะบ่ายเบี่ยงไปไย... เจ้าเป็นภรรยาข้า ชั่วชีวิตนี้ เจ้าต้องสนองความต้องการของข้าเท่านั้น !”สิ้นคำ เขาก็กระชากอาภรณ์ของนางออกแคว่ก !"กรี้ดดดดด อึก อื้อออ"องค์หญิงกู่เยี่ยร้องได้เพียงเท่านั้นก็ถูกสามีบดจูบอย่างรุนแรง อีกทั้งสองมือของเขายังเข้ากอบกุมทรวงอกของนางทั้งสองข้าง แล้วออกแรงเฟ้นฟอนอย่างหนักหน่วง“อึก... อื้อออ”นางได
"กระหม่อมก็เห็นด้วยกับการอภิเษกสมรสระหว่างสองแคว้นในครั้งนี้"จากนั้นทุกคนก็พร้อมใจกันเปล่งเสียงออกมาว่า"กระหม่อมเห็นด้วย ขอพระองค์โปรดราชทานพิธีอภิเษกสมรสระหว่างแคว้นฉีและแคว้นฉู่ด้วยเถิด"ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าอย่างพอพระทัย“หากทุกท่านเห็นสมควรดังนั้นแล้ว ข้าก็จะส่งสารไปถึงฮ่องเต้แคว้นฉีขอสานสัมพันธไมตรีอภิเษกสมรส เจ้ากรมพิธีการโปรดดำเนินการจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่ เชิญทุกแคว้นมาร่วมงาน รวมถึงเตรียมค่าสินสอดให้มากกว่าที่แคว้นฮั่นไปสู่ขอแคว้นฉี !""รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ"เจ้ากรมพิธีการโค้งคารวะน้อมรับพระบัญชาองค์ชายเซวียนอี้ยิ้มแย้มออกมา เขารีบคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้"ขอบพระทัยเสด็จพ่อ"ด้านหน้าท้องพระโรงหลังจากเลิกประชุมในท้องพระโรงเสร็จ ต่างฝ่ายต่างก็ไปจัดการเตรียมงานพระราชพิธีอภิเษกสมรสองค์ชายรัชทายาทเร่งฝีเท้าเข้ามาหาพระปิตุลา แล้วเอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจว่า"ท่านอา ขอบใจท่านมากที่ช่วยทูลขอกับเสด็จพ่อ หากท่านไม่ช่วยทูล เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงกริ้วมากกว่านี้"เซวียนซ่งวางมือบนบ่าองค์ชายรัชทายาท พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยเมตตาว่า"เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น หลานอย่าใส่ใ
"เจ้ายอมแต่งงานกับข้าแล้ว !” องค์ชายเซวียนอี้ตะโกนออกมาด้วยความดีใจราวกับคนบ้า “ข้าดีใจที่สุดเล้ย... อะ... อื้ออ อู้ยยย คัน ๆ ทำไมทั้งแสบร้อนทั้งคันแบบนี้ โอ๊ย.... อู้ยย คัน ๆ"องค์ชายเซวียนอี้ยืนอยู่นิ่งไม่ได้ เขาขยับตัวขยุกขยิกไปมา เพราะเขารู้สึกคัน และปวดแสบปวดร้อนไปหมดทั้งตัวเขาคันมากจนทนไม่ไหว คิดว่าอาจจะมีมดหรือแมลงซ่อนอยู่ในอาภรณ์ของตนจึงรีบวางผลกลอเซียะลงกับพื้น แล้วถอดอาภรณ์ของตนเองออกจนเหลือแต่กางเกงตัวใน"โอ๊ย.... อู้ย.. ทำไมคันไปหมดแบบนี้ อ๊ะ อู้ยย โอ๊ย แสบ ๆ คัน ๆ"ผิวของเขาแดงเถือกไปหมด อีกทั้งยังมีรอยเล็บข่วนไปทั้งตัว ใบหน้าแดงก่ำองค์หญิงกู่ชิงกลั้นหัวเราะเอาไว้เต็มที่ ก่อนเอ่ยกับเขาว่า"ขออภัยเพคะ หม่อมฉันลืมบอกองค์ชายไปว่า ทั้งต้นและผลของกลอเซียะล้วนทำให้ระคายเคืองผิวหนัง ใครสัมผัสเป็นต้องทั้งแสบทั้งคันไปทั้งตัว""อู้ยย โอ๊ย แสบ ๆ คัน ๆ นี่เจ้ารู้ว่าต้นนี้มีพิษแต่เจ้าก็ยังให้ข้าแก้เสื้อผ้าปีนขึ้นไปเอาผลของมัน เจ้าจงใจแก้แค้นข้าใช่ไหม โอ๊ย คัน ๆ อู้ยยยย"องค์ชายเซวียนอี้โวยวายออกมา พร้อมกับเกาตัวเองไปด้วย"อี้เอ๋อร์.... เจ้าจะโวยวายกู่ชิงทำไม ในเมื่อเจ้าเป็นคนรับปาก
องค์หญิงกู่ชิงปรายตามองไปยังแผ่นหลังของเขาที่ยังคงชุ่มไปด้วยเลือด ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากแห้งผาก หากไม่ใช่เพราะเขาปกป้องชีวิตของนาง เขาก็คงไม่อยู่ในสภาพเช่นนี้ท่ามกลางความเงียบนั้น จู่ ๆ เสียงแหบแห้งของบุรุษบนเตียงก็ดังขึ้นว่า"เสด็จแม่.... หากนางไม่อยากแต่งก็อย่าบังคับจิตใจของนางเลย ลูกรู้ว่าลูกกระทำผิดกับนางไว้มาก ลูกจะยอมรับผลกรรมที่เกิดขึ้นนี้เอง”องค์หญิงกู่ชิงได้ยินเช่นนั้นจึงขึ้นว่า“ท่านรับลูกธนูแทนข้า ก็นับว่าเป็นการชดเชยความผิดที่ท่านได้กระทำไว้กับข้าแล้ว”“เจ้าหมายความว่า เจ้าตกลงยอมแต่งงานกับข้าใช่หรือไม่ อ๊ะ... โอ๊ย... เจ็บ ๆ”องค์ชายเซวียนอี้ดีใจจนเผลอขยับลุกขึ้น สะเทือนถึงบาดแผลที่กลางหลังจนต้องร้องออกร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดฮองเฮาเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปประคองโอรสของตนให้ลุกขึ้นนั่งดี ๆ พลางเอ็ดว่า“ดูสิ เจ้าลูกคนนี้ บาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ยังเลือดร้อนเหมือนเดิมไม่มีผิด เมื่อไหร่เจ้าจะสุขุมเยือกเย็นให้สมกับเป็นองค์ชายรัชทายาท”“โธ่.... เสด็จแม่ เป็นเพราะลูกดีใจมากที่ได้ยินว่ากู่ชิงจะยอมยกโทษให้ลูกแล้ว และยังยอมแต่งงานกับลูกด้วย จะไม่ให้ลูกตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร”ริมฝีปาก
ณ ตำหนักฮองเฮา องค์ชายเซวียนอี้ใช้วิชาตัวเบาแอบย่องเข้ามาในตำหนักของฮองเฮา แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาขององค์หญิงกู่ชิงอยู่ในเรือนรับรอง จึงคาดว่านางน่าจะไปเดินเล่นที่อุทยานสวนดอกไม้ท้ายตำหนักเป็นแน่เขาจึงใช้วิชาตัวเบาเหาะไปยังสวนดอกไม้ท้ายตำหนัก แล้วแฝงตัวอยู่ที่พุ่มไม้หนา ไม่ไกลนัก แลเห็นองค์หญิงกู่ชิงเดินเคียงข้างกับพระมารดาของเขาวันนี้สีหน้าของนางดูแจ่มใสกว่าเมื่อวานยิ่งนัก พวงแก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อ ดวงตาเป็นประกายระยับ เรือนร่างบอบบางราวกับกิ่งหลิวต้องลมนั้นห่อหุ้มด้วยอาภรณ์สีชมพูสลับขาว บนศีรษะประดับด้วยปิ่นมุกห้อยระย้าลงมางดงามยิ่งกว่าบุปผาในส่วนนี้เสียอีกเขาอยากรู้นักว่ามารดาของเขาสนทนาอะไรกับนาง จึงทำให้นางหัวเราะน้อย ๆ เพียงแค่เขาเห็นกลีบปากบางฉ่ำน้ำของนางขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันสดใส เขาก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ในอกคล้ายกับมีผีเสื้อนับล้านกระพือปีกบินพร้อมกัน ให้รู้สึกปั่นป่วนระคนสุขซ่านอย่างที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อนความรู้สึกนี้มันทำให้เขาแทบอยากจะกระโจนออกจากที่ซ่อนตัว แล้วเข้าไปกระชากดึงนางเข้ามากอด ดอมดมความหอมกรุ่นของนาง ความหวานล้ำของกายนางนั้นเขายังจรดจำได้ดี และไม่เคยมีสตรีน
ณ ตำหนักองค์ชายรัชทายาท“องค์ชายเพคะ ฮือ ๆ หม่อมฉันผิดไปแล้ว ได้โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”เฟยเซี่ยคุกเข่าลงไปกอดขาขององค์ชายเซวียนอี้เอาไว้แน่น พร้อมกับร่ำไห้สะอึกสะอื้น“เฟยเซี่ย... เจ้าปรนนิบัติข้ามาตั้งนาน ย่อมรู้ดีกว่าข้าเกลียดคนโกหกหลอกลวงมากที่สุด แต่เจ้าก็ยังทำ !”องค์ชายรัชทายาทขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน ยืนนิ่งไม่มองนางแม้แต่น้อย เพราะเขารู้สึกผิดหวังในตัวนางเป็นอย่างยิ่ง“ที่หม่อมฉันทำไปทั้งหมดก็เพราะหม่อมฉันรักพระองค์นะเพคะ ฮือ ๆ”“เจ้าอย่าบอกว่ารักข้า เจ้ารักตัวเองต่างหาก ถึงได้กล้าทำเรื่องหลอกลวงทั้ง ๆ ที่รู้ว่าข้าเกลียดคนหลอกลวงที่สุด นับแต่วันนี้ไปเจ้าไม่ต้องมาปรนนิบัติข้า”“ไม่นะเพคะ องค์ชายโปรดยกโทษให้ด้วย หม่อมฉันจะไม่ทำอีกแล้ว”เฟยเซี่ยกรีดร้องออกมาเสียงหลงตั้งแต่นางเป็นที่โปรดปรานขององค์รัชทายาท นางก็ใช้อำนาจข่มเหงนางกำนัลที่ด้อยกว่า จึงสร้างศัตรูไว้มากมาย หากองค์ชายรัชทายาทขับไล่นางออกจากตำหนัก เกรงว่านางต้องถูกนางกำนัลเหล่านั้นแก้แค้นแน่ ๆ“เจ้าเก็บข้าวของออกไปอยู่ที่เรือนซักอาภรณ์เถอะ”องค์ชายเซวียนอี้สั่งน้ำเสียงเด็ดขาดระหว่างเขากับนางมีเพียงความสัมพันธ์ท