หนึ่งปีผ่านไป
ธาวินเข้าเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งช้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่นไปสองปีเพราะผลกระทบจากอุบัติเหตุ ก้องเกียรติจ้างครูพิเศษมาสอนเขาอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อปรับพื้นฐานการเรียนใหม่ทั้งหมด รวมถึงช่วยให้เขาเริ่มเรียนรู้การเข้าสังคมอีกครั้งหนึ่ง
แม้พี่สาวทั้งสองคนอย่างเมธาวีและเกวลินจะอยากแอบไปดูน้องที่ห้องเรียนมากแค่ไหนแต่ก็ต้องอดใจเอาไว้เพราะตึกเรียนชั้นมัธยมกับชั้นประถมแยกจากกันโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น ทุกคนจึงฝากความหวังไว้ที่วเรณย์ให้คอยไปส่งและรอรับกลับบ้านพร้อมกัน แม้เจ้าตัวจะทำสีหน้าไม่เต็มใจก็ตาม แต่พอคิดอีกแบบหนึ่งแล้ว คงจะเป็นการดีที่ได้กันธาวินออกจากพี่สาวทั้งสองไปโดยปริยาย
ความคิดนี้ดูเหมือนจะไม่เลว แต่วเรณย์ไม่รู้เลยว่าเพื่อนร่วมห้องชั้นประถมปีที่สามของเขาจะคิดว่าตัวเขามีน้องชายอีกคนจึงสนใจอยากทำความรู้จักพลันได้มาหาธาวินที่ห้องเรียนกับวเรณย์ทุกวัน
“บอกว่าไม่ใช่น้องไง” เขาตะโกนบอกเพื่อนที่ไม่ยอมหยุดฟังแม้แต่น้อยและกำลังสนใจเครื่องช่วยฟังแบบคล้องหลังหูสีน้ำเงินของธาวิน
อารมณ์หดหู่เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว นอกจากคนที่บ้านจะสนใจแต่ธาวินแล้ว เพื่อนของเขาเองก็เหมือนกัน เวลานี้จึงได้แต่ยืนไม่พอใจเงียบ ๆ
“นายได้ยินฉันไหม” คีตา เพื่อนของวเรณย์ถามธาวิน พอเห็นว่าเจ้าตัวไม่ตอบจึงถามใหม่อีกครั้งว่า “นี่ ได้ยินฉันหรือเปล่า”
เสียงตะโกนทำให้ธาวินตกใจเล็กน้อยรีบตอบกลับทันทีเพราะคิดว่าวเรณย์พาคนมาหาเรื่อง แต่ท่าทางของคีตากลับแตกต่างจากที่คิด
“ขอโทษ ถ้านายตกใจ”
ธาวินพยักหน้าพลางเหลือบมองคนบ้านเดียวกันอยู่เนือง ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงเพื่อนคนอื่นผลัดกันถาม
“อันนี้อะไรเหรอ”
“ใส่แล้วเจ็บไหม”
“เหมือนที่พวกนักร้องชอบใช้เลย”
“ขอดูใกล้ ๆ หน่อยสิ”
ความสนใจที่ถาโถมเข้ามาเป็นสิ่งที่ธาวินมักเจอจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว จะมีสักกี่คนที่ใส่เครื่องช่วยฟังทั้งสองข้างแบบเขากันล่ะ อย่าว่าแต่พวกเด็ก ๆ หรือเพื่อนร่วมชั้นเลย แม้แต่ผู้ปกครองก็สงสัยสิ่งที่เห็นตรงหน้าเหมือนกัน
วเรณย์คิดในใจ แม้แต่เพื่อนฉันนายก็ไม่เว้นเหรอ คิดจะแย่งทุกคนไปจากฉันหมดเลยหรือไง จนรังสีความไม่เป็นมิตรแผ่ซ่านจากดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น
ธาวินขนลุกราวกับรู้สึกว่ามีอะไรน่ากลัวจ้องมองเขาอยู่จึงไม่หันไปทิศทางนั้นโดยเด็ดขาด
วันหนึ่ง
เพื่อนร่วมชั้นของวเรณย์พูดถึงสัตว์เลี้ยงที่บ้านของตัวเอง พลางอวดรูปให้ดูว่าแต่ละตัวน่ารักขนาดไหน เขาจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าจะลองเลี้ยงอะไรสักอย่างไว้เหมือนกัน อย่างน้อยจะได้มีเรื่องไว้พูดคุยกับเพื่อน ๆ ดึงดูดความสนใจกลับมาที่ตัวเองเหมือนเดิม
เจ้าชายน้อยเดินมุ่งหน้าจริงจังไปหาทุกคนในบ้านที่กำลังนั่งดูละครหลังข่าว
เขายืนบังจอโทรทัศน์แล้วโพล่งออกมาว่า “ผมอยากเลี้ยงหมาครับ”
“นายเนี่ยนะ” เกวลินเลิกคิ้วไม่เข้าใจอารมณ์ของน้องชายพลางหันไปสะกิดถามเมธาวี
“ทำไมถึงอยากเลี้ยงขึ้นมาล่ะ” พี่สาวคนโตจึงเอ่ยถามเหตุผลเพราะดูจากพฤติกรรมของน้องชายที่มักจะเป็นฝ่ายได้รับความรักจากคนอื่นและไม่เคยต้องดูแลใครแล้ว ต้องมีเรื่องอะไรมาพัวพันอย่างแน่นอน
“เลี้ยงไม่ได้เหรอ” สีหน้าของเขาเศร้าสลดในสิบวินาที “ทำไมล่ะ ทำไมผมเลี้ยงไม่ได้ครับ” เจ้าตัวไม่เข้าใจอย่างยิ่งยวดเบะปากเหมือนคนที่กำลังถูกขัดใจ
“ยังไม่มีใครว่าอะไรสักหน่อย” ก้องเกียรติรีบเอ่ยปาก “เรย์อยากเลี้ยงพันธุ์อะไร บอกพ่อหน่อยได้ไหม”
“...” เขานิ่งเงียบ ไม่รู้จะเลือกอะไรดี
ขณะที่ธาวินได้ยินว่าบ้านนี้กำลังจะมีลูกหมาตัวน้อย ๆ เขาจึงตื่นเต้นไม่แพ้กัน พูดพึมพำออกมาว่า “ลาบราดอร์”
สุนัขใจดี เป็นมิตร อ่อนโยน เข้ากับคนได้ง่าย แถมธาวินยังเคยเห็นคนใช้เป็นสุนัขนำทางอีกด้วยจึงอยากลองเล่นกับมันดูสักครั้งหนึ่ง แต่วเรณย์ได้ยินอย่างนั้นจึงคิดเลือกพันธุ์อื่น
“โกลเด้นครับ ผมอยากเลี้ยงโกลเด้น”
สีหน้าของธาวินจ๋อยลงเล็กน้อย แต่ว่าโกลเด้นก็เหมือน ๆ กันนั่นแหละ จะลูกหมาตัวไหนเขาก็อยากเล่นกับมันทั้งนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น จันทร์วิมลจึงพาลูกชายตัวน้อยไปเลือกซื้อถึงฟาร์มเลี้ยง วเรณย์ตาโตเห็นความน่ารักของลูกหมาแล้วอดใจไว้ไม่อยู่ เข้าไปลูบขนแล้วเล่นกับมันด้วยความตื่นเต้น
จากนั้นจึงอุ้มตัวขนสีอ่อนกว่าเพื่อนเพราะหมาน้อยตัวนั้นนอนนิ่งอยู่มุมหนึ่งของรั้วแต่สายตาเอาแต่มองเขาไม่วางจนวเรณย์นึกสนใจ
เขาตั้งชื่อลูกหมาว่า แฮปปี้ แล้วเอาแต่เล่นกับสมาชิกใหม่ไม่ยอมปล่อย ส่วนแฮปปี้เองก็ติดเขาและคิดว่าเป็นเพื่อนคนใหม่เช่นกัน
ธาวินได้แต่แอบมองอยู่ไกล ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะดุเอา
ครั้นวันหนึ่งเห็นว่าแฮปปี้วิ่งลงมาจากห้องนอนด้านบนบ้านกลัวว่าหมาน้อยจะหายไปจึงเข้ามาจับเอาไว้ แต่เจ้าของแฮปปี้ดันเห็นพอดิบพอดีว่าธาวินกำลังอุ้มแฮปปี้ขึ้นมาโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงรีบวิ่งลงบันไดมาดึงแฮปปี้กลับคืน
“นายจะขโมยแฮปปี้ไปจากฉันเหรอ” น้ำเสียงฉุนเฉียวของเขาทำให้ธาวินต้องรีบอธิบายว่าไม่ใช่อย่างนั้น แต่เขาไม่เชื่อคำพูดเลยสักนิด พลันสั่งห้ามเข้าใกล้ลูกหมา “ไม่ต้องมายุ่ง”
ธาวินจึงได้แต่ถอนหายใจ อันที่จริงแล้วเขาอยากเป็นเพื่อนกับวเรณย์แต่ทั้ง ๆ ที่พยายามผูกมิตรตามคำแนะนำของคนในบ้านแล้ว ไม่มีอะไรฟื้นฟูความสัมพันธ์ของพวกเขาได้เลย
ทุกคนในบ้านเข้าใจความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดีจึงมักจะหาเรื่องให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดทำกิจกรรมร่วมกันอยู่เสมอ แต่ว่าวเรณย์ประกาศชัดเจน “ถ้าเขาไป ผมไม่ไป”
วันนี้ก็ด้วย เกวลินชวนพวกเขามาทำไอศกรีมช็อกโกแลตกินด้วยกันแต่วเรณย์ปฏิเสธแล้วเล่นกับแฮปปี้ที่สวนหน้าบ้านแทน เธอจึงมีลูกมือคนเดียวอย่างธาวินคอยช่วยเหลือ
เด็กชายตัวน้อยดูจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างถึงขั้นออกปากว่าอยากลองทำรสนู้นรสนี้ในคราวหน้า กล่องไอศกรีมหลากสีสันถูกเก็บไว้ในช่องฟรีซจนแน่นขนัด
ทั้งคู่หยิบไอศกรีมรสที่ตัวเองชอบออกไปนั่งกินข้างนอกพลางมองดูวเรณย์เล่นกับแฮปปี้ไปด้วย แต่ก็นั่นแหละ อีกฝ่ายไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาจึงอุ้มแฮปปี้กลับขึ้นห้องทันที
“ให้ตายสิ” เกวลินกุมขมับ ไม่คิดว่าน้องชายจะเป็นเอามากขนาดนี้ จึงหันมาหาธาวินพลางเปลี่ยนเรื่อง “อร่อยไหม คราวหน้าลองทำวานิลลาดูดีไหม”
“ครับ” เจ้าตัวยิ้มแป้นอดใจรอไม่ไหว “ถ้วยผมหมดแล้ว ขอกินอีกได้ไหมครับ”
“ตามใจสิ เอาถ้วยสีแดงมาให้พี่ด้วยนะ”
ธาวินรีบวิ่งมาที่ห้องครัวเพื่อหยิบถ้วยสีแดงตามที่เกวลินบอกหากแต่เห็นวเรณย์กำลังยื่นช็อกโกแลตให้แฮปปี้กินจึงเข้ามาห้ามเอาไว้
“อย่านะ” เขาตะโกนเสียงดัง “กินไม่ได้”
“ไม่ต้องมายุ่ง” วเรณย์สะบัดมือแล้วยื่นให้แฮปปี้ต่อ “แฮปปี้เป็นเพื่อนฉันทำไมจะกินไม่ได้”
“หมาห้ามกินช็อกโกแลต เอาคืนมานะ” ธาวินสู้สุดใจเพราะรู้ว่าอันตรายแต่แรงที่มีและขนาดตัวที่น้อยกว่าไม่อาจยื้อไว้ได้ ตอนที่โดนผลักออกไป ช็อกโกแลตก็เข้าปากแฮปปี้เรียบร้อย เขาจึงรีบวิ่งไปบอกเกวลินที่รออยู่ข้างนอก
ครั้นพี่สาวคนรองเข้ามาเห็นเหตุการณ์จึงตวาดดุน้องชายไปหนึ่งทีแล้วพาแฮปปี้ไปหาหมอทันที
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง วเรณย์เห็นแฮปปี้นอนหมดแรงก็ร้องไห้ไม่ยอมหยุดจนคนเป็นแม่เข้ามาปลอบใจหลังรู้ข่าว
“ผมไม่ได้ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่ากินไม่ได้” เขาสะอึกสะอื้นน้ำตาไหลเปื้อนแก้มแดง ตาบวมฉ่ำเพราะเสียใจที่ทำให้แฮปปี้เป็นแบบนั้น “ผมแค่คิดว่าถ้าแฮปปี้ได้กินของอร่อย ๆ จะต้องชอบผม อยากเล่นกับผมคนเดียว”
คนเป็นแม่เห็นลูกชายร้องไห้ขนาดนี้แล้วก็สะเทือนใจไม่น้อยเพราะวเรณย์ไม่ใช่คนที่จะร้องไห้ง่าย ๆ “เรย์” เธอเรียกเขาน้ำเสียงแผ่วเบา
“...”
“แฮปปี้ไม่เป็นอะไรแล้วครับ แต่ว่าสัญญากับแม่ได้ไหม ว่าตั้งแต่นี้ไป ลูกจะเลี้ยงแฮปปี้ดี ๆ การเลี้ยงลูกหมาตัวหนึ่งก็เหมือนต้องรับผิดชอบดูแลอีกหนึ่งชีวิต ต้องใส่ใจและให้ความรัก” เธอกอดปลอบลูกชายที่กำลังสะอื้นตัวโยน “คงต้องเรียนวิธีการเลี้ยงให้ถูกต้องแล้วล่ะ ลูกทำได้ใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนั้น แฮปปี้จะได้อยู่กับลูกไปนาน ๆ”
“ครับ” วเรณย์รับปากแล้วปาดน้ำตา “ผมสัญญา”
ห้าวันต่อมาหลังจากเที่ยวเล่นอยู่บนเกาะตามลำพังสองคนแล้ว ทั้งคู่จึงนั่งรถไฟกลับมาที่ปารีสเพื่อมาพบกับเกวลินที่รอรับอยู่ชานชาลาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส“พี่ลิน” ธาวินเรียกเธอพลางเข้าไปกอด “ไหนพี่บอกว่าจะรีบตามมาไงครับ”“โทษทีนะ ธุระคาราคาซังจนเกือบหนีออกมาไม่ได้แน่ะ” เธอลูบหัวคนตรงหน้าด้วยความเอ็นดูพลางได้ยินเสียงน้องคนเล็กพึมพำ “ผมบอกพี่แล้วว่าให้ทำธุระก่อน พวกผมเที่ยวกันสองคนได้”เกวลินมองด้วยหางตา ถามธาวินว่า “เจ้าเด็กนี่แกล้งอะไรหรือเปล่า เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะดูแลนายเอง”แม้จะถามออกไปแบบนั้นแต่เธอเองก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศของคนทั้งสองเปลี่ยนไปจริง ๆ ตอนเห็นรูปถ่ายที่ธาวินส่งเข้าแชตครอบครัววันแรก
วันเดินทางคนในบ้านอิงสุนทรมาส่งวเรณย์กับธาวินที่สนามบินตอนสองทุ่มเพราะขึ้นเครื่องบินเที่ยวกลางคืน ทั้งคู่ตื่นเต้นที่จะได้เดินทางออกนอกประเทศเพียงลำพังครั้งแรกเพราะเกวลินติดธุระจึงตามไปทีหลังก้องเกียรติและจันทร์วิมลมองหน้าธาวินพลางเอ่ยปากบอกว่า “ยังไงก็คิดทบทวนอีกสักรอบนะวิน” พวกเขาไม่อยากปล่อยเด็กน้อยตรงหน้าไปจริง ๆ เพราะเลี้ยงดูมาตั้งนานแล้วรู้สึกว่าเหมือนเขากลายเป็นลูกคนหนึ่งไปแล้ว“ครับ” ธาวินรับปาก เขามีเวลาเหลืออีกสองปีที่จะอยู่ในบ้านอิงสุนทรต่อ ถึงเวลานั้นแล้วคนในบ้านอาจจะเปลี่ยนใจแล้วก็ได้ หากแต่คนข้างกายโอบกอดไหล่เขาเอาไว้พูดกับพ่อแม่ตัวเองว่า “พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ยังไงผมก็จะทำให้วินเปลี่ยนใจให้ได้”เมธาวีได้ยินดังนั้นจึงเดินเข้ามาตีแขนน้องชาย “วางแผนอะไรไว้ ถ้าวินคิดออกจากบ
ธาวินนิ่งเงียบหลบสายตาที่ทำให้เจ้าตัวอ่อนไหวแต่เสียงหัวใจยังคงเต้นรัวไม่อาจปิดบังความจริงได้ว่าเขาชอบวเรณย์มากแค่ไหน“ธาวิน” เสียงกระซิบข้างหูยิ่งทำให้ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วลามมาถึงหูและลำคอ “นอนกันเถอะแล้วพรุ่งนี้ไปซื้อของเตรียมตัวไปเที่ยวด้วยกัน”“นายไปนอนห้องตัวเองสิ” ธาวินพึมพำ “ถ้าอยากไปเที่ยวด้วยก็ไป ไม่ได้ว่าอะไร แต่ว่ายังไงฉันก็จะเรียนต่ออยู่ดีแล้วก็คงจะอยู่ที่นั่นต่อแล้วก็...”จุ๊บริมฝีปากของวเรณย์ประทับลงมาโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวจุ๊บสายตาของวเรณย์มองอย่างอ่อนโยน นับตั้งแต่ที่รู้ใจตัวเองก็รุกเข้าหาธาวินเต็มกำลัง
ไม่กี่วันต่อมาก้องเกียรติเรียกลูกชายคนเล็กเข้าไปหาที่ห้องทำงานแล้วบอกเรื่องสำคัญให้เขาได้รับรู้“พ่อบอกว่าอะไรนะครับ” เขาถามด้วยความตกใจก้องเกียรติถอนหายใจเอ่ยอีกครั้งว่า “พ่อจะรับวินมาเป็นลูกบุญธรรม”“ทำไมล่ะครับ ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงคิดจะทำแบบนั้น” เขาไม่เข้าใจเพราะที่ผ่านมาทั้งพ่อและแม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลย“พ่อกับแม่ทำแบบนี้เพราะไม่อยากให้วินออกจากบ้านเราไปน่ะสิ” สีหน้าของเขาเหมือนกำลังคิดหาวิธีรั้งตัวเด็กน้อยที่เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเท่าเมี่ยง“ทำไมวินต้องออกจากบ้านด้วยล่ะครับ”“ไม่รู้สิ จู่ ๆ ก็บอกพ่อว่าเรีย
เช้าวันต่อมาท้องฟ้าอากาศแจ่มใสจนทำให้ใครบางคนในบ้านอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่เขาได้ยินเสียงประตูของห้องข้าง ๆ เปิดออกก็รีบพุ่งตัวออกมาทักทายอีกฝ่ายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“หลับฝันดีไหม”ธาวินไม่ตอบว่าคืนที่ผ่านมาเขาฝันดีมากจนรู้สึกไม่อยากตื่นแต่จะให้บอกไปตามตรงก็ไม่ได้ว่าคนในฝันคือวเรณย์“เมื่อคืนนี้นายหลับไปก่อนเลยไม่เห็นดาวหางใช่ไหมล่ะ แต่ว่าฉันเห็นพอดีเลย สงสัยอีกสี่สิบปีข้างหน้าคงต้องปลุกนายมาดูด้วยกันแล้วล่ะ” คำพูดของวเรณย์ทำให้เขานึกสงสัยว่าเจ้าตัวไม่สบายหรือเปล่าถึงได้พูดอะไรที่แปลกไปจากนิสัยปกติแม้แต่แฮปปี้เองก็กระโดดโลดเต้นส่ายหางราวกับดีใจที่พี่ชายทั้งสองคืนดีกันอย่างไรอย่างนั้น&l
ครั้นธาวินออกไปแล้ววเรณย์จึงนั่งเงียบ ๆ อยู่คนเดียว คิดในใจว่าฉันคงเป็นไอ้บ้าจริง ๆ สินะ ทำไมต้องทำอะไรแบบนั้นด้วยตึกตัก ตึกตักโอ๊ย หัวใจเลิกหยุดเต้นแบบนี้สักทีได้ไหมฉันต้องไปหาหมอไหมเนี่ยคืนนั้น ภาพในความฝันของวเรณย์จึงวนเวียนกลับมาอีกครั้ง สิ่งที่เขาพูดไปเมื่อตอนกลางวันกำลังฉายชัดในความฝันเพียงแต่คนที่ธาวินจูบไม่ใช่ณดลแต่เป็นเขามาแทนที่บรรยากาศเคลิบเคลิ้มชวนให้คนทั้งคู่ทำอะไรที่มากไปกว่านั้น ลึกล้ำดึงดูดราวกับหลงใหลจนไม่อาจถอนตัวออกมาได้ ทั้งยังทำให้เจ้าตัวเพลิดเพลินไปกับการกระทำที่อ่อนโยนของคนตรงหน้าจนกระทั่งอ๊ะ พรวด...พรึ่บ!!!วเรณย์สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนเช้าแล้วเปิดผ้าห่มดูกางเกงตัวเองก่อนจะกุมขมับแล้วกรีดร้องในใจไอ