“ชิงเหมย ข้าเห็นเจ้าทักทายผู้นั้นผู้นี้ตลอดทางที่พวกเราเดินกลับมาจากสำนักศึกษาเลย เจ้ารู้จักพวกเขาด้วยหรือ”
“ข้าก็รู้จักไม่ทุกคนหรอก แต่ว่าหากพวกเขาทักทายข้ามา ข้าก็มิมีเหตุผลอันใดให้ต้องเมินพวกเขานี่ เจ้าว่าจริงหรือไม่” หลูซินพยักหน้าเห็นด้วย แต่ที่นางไม่เข้าใจคือนางก็ทำงานช่วยท่านพ่อท่านแม่ของนางขายของอยู่ภายในร้านเหลา ลูกค้าก็มีมากมายไม่ต่างจากร้านขนมของยายชิงเหมย ทว่าเหตุใดผู้คนถึงมิได้ทักทายนางมากเช่นเดียวกับสหาย หรืออาจจะเป็นเพราะคนพวกนี้จดจำใบหน้าของนางมิได้ “อาจจะเป็นเพราะข้าเรียกลูกค้าให้ท่านยายอยู่หน้าร้านบ่อยๆ คงจะทำให้พวกเขาจดจำข้าได้แหละมั้ง รีบไปกันเถิด” หลิวหลูซินเข้าใจได้ในทันทีที่สหายบอก คงจะเป็นเช่นนั้นเพราะถึงนางจะช่วยท่านพ่อท่านแม่ขายของที่ร้าน นางก็มิได้ออกมารอต้อนรับลูกค้าที่ด้านหน้าร้าน หรือเรียกลูกค้าเข้าร้านเช่นเดียวกับชิงเหมย เด็กหญิงทั้งสองหยุดพูดคุยกันแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปยังตลาดซานฉีซึ่งเป็นที่ทำมาหากินของตระกูลของพวกนาง ซุนฉีกำลังเตรียมผสมแป้งเพื่อที่จะปั้นซาลาเปาและขนมเซาปิงอีกรอบ เพราะที่ทำไว้ก่อนหน้านั้นนางได้ขายไปจนหมดแล้ว ในขณะที่นางกำลังจะหยิบแป้งมาเทใส่อ่างกลม นางก็ต้องสะดุ้งตกใจเพราะว่ามีบางอย่างมาจิ้มที่ข้างเอว “ว๊าย!!!” ซุนฉีอุทานออกมา แป้งที่ยังไม่ได้ผสมกระจัดกระจายจนเต็มใบหน้าของนาง “คิกๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะใสๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้นทำให้นางรู้ว่าผู้ใดที่มาแกล้งให้นางตกใจ “เหมยเอ๋อร์…” นางครางชื่อหลานสาวออกมาทั้งใบหน้าขาวโพลนไปด้วยแป้งที่จะใช้ทำซาลาเปา “คิกๆๆๆ ทะ…ท่านยาย เหตุใดใบหน้าของท่านถึงได้เต็มไปด้วยแป้งเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ” เด็กหญิงแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดท่านยายจึงมีใบหน้าเลอะไปด้วยแป้งทำขนมเช่นนั้น “เด็กดื้อ… ไปสำนักศึกษากลับมา ก็มาแกล้งยายเลยหรือไร ดูซิ!! ยายต้องเสียแป้งไปเท่าใด” นางไม่ได้ทำโทษหลานสาวเพียงแค่ตำหนิเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่นางจะเดินไปหลังร้านเพื่อล้างหน้าแล้วจึงเดินกลับมา “ข้าขออภัยเจ้าค่ะท่านยาย ข้าเห็นว่าท่านกำลังจมอยู่กับความคิดจนไม่ได้ยินว่าข้าเดินเข้ามา ข้าเลยนึกสนุกอยากแกล้งท่านสักนิด คิกๆๆ” รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของชิงเหมยทำให้ซุนฉีโกรธไม่ลง นางรู้ว่าหลานสาวไม่ได้ตั้งใจ แต่นางก็เอาแต่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจริงๆ เพียงเพราะนึกเป็นห่วงว่าหลานสาวจะถูกกลั่นแกล้งรังแกจากพวกเด็กในสำนักศึกษา แต่พอได้เห็นใบหน้าของหลานสาวและได้ยินเสียงหัวเราะสดใสเช่นนี้ ที่สำนักศึกษาวันนี้คงไม่มีเรื่องให้นางต้องเป็นห่วง “ท่านยาย วันนี้พวกเรากลับเรือนกันก่อนยามโหย่วเถิดนะเจ้าคะ ข้า…อยากกินมื้อเย็นพร้อมกับท่านยาย” คำชวนของหลานสาวทำให้ซุนฉีปฏิเสธไม่ลง เพราะนางขายขนมกลับหลังยามโหย่วมาเกือบห้าวันแล้ว หลานสาวคงจะเหงาที่ได้กินมื้อเย็นลำพัง นางจึงพยักหน้าตกลง ชิงเหมยยิ้มกว้างออกมา ก่อนที่สองยายหลานจะช่วยกันเก็บข้าวของและทำความสะอาดร้านขนม ครั้นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซุนฉีจึงพาชิงเหมยไปซื้อพวกผักและเนื้อสัตว์เพื่อจะได้ทำมื้อเย็นให้นางกินตามความต้องการของนาง “อ้าว… วันนี้ขายหมดแล้วรึ ข้าว่าจะไปซื้อซาลาเปาเสียหน่อย” แม่ค้าขายผักเอ่ยทักซุนฉี “จ้า… หมดแล้ว แต่วันนี้ไม่ทำเพิ่มเพราะข้าจะกลับไปทำมื้อเย็นกินกับหลานสาวเสียหน่อย ไม่ได้ร่วมโต๊ะมื้อเย็นด้วยกันมาสี่ห้าวันแล้ว” ซุนฉีตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ก่อนที่จะเลือกซื้อผักสดจากร้านนี้ ชิงเหมยมองไปยังร้านเหลาของสหายใหม่ก็ยิ้มออกมา “ท่านยาย… ท่านรู้จักเจ้าของร้านเหลาร้านนั้นหรือไม่เจ้าคะ” ซุนฉีเหลียวมองไปตามนิ้วของหลานสาวที่ชี้ไปยังร้านขายอาหารขนาดไม่เล็กและไม่ใหญ่เท่าโรงเตี๊ยม ทว่ากลับเป็นร้านที่มีลูกค้าแน่นทุกชั่วยาม “รู้จักสิ ยายขายของที่ตลาดนี้มานาน หากพวกร้านค้าที่ขายมาก่อนหรือมาพร้อมๆ กันกับยาย ยายก็รู้จักทั้งนั้นแหละ เจ้าถามเพราะเหตุใดกันหรือ” ซุนฉีตอบพลางเอ่ยถามหลานสาวออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านางก็ไม่เห็นว่าหลานสาวจะสนใจร้านค้าในตลาดซานฉีเท่าใดนัก “ลูกสาวร้านนั้นเป็นสหายที่ได้รู้จักกันที่สำนักศึกษาวันนี้เจ้าค่ะท่านยาย วันนี้ข้าก็เดินกลับมาพร้อมกันกับนาง” ชิงเหมยตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสดใส นางรู้สึกชินกับร่างนี้จนทำตัวกลมกลืนไปตามวัยเสียแล้ว “โอ้… ไปวันแรกก็ได้สหายกลับมาแล้วหรือนี่" ซุนฉีเอ่ยถามหลานออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี ไม่น่าห่วงอย่างที่นางคิด นางก็เป็นกังวลทั้งวัน เกรงว่าหลานจะไม่มีผู้ใดคบหา หรือเกรงว่าหลานจะถูกดูถูกเหยียดหยามให้เจ็บช้ำน้ำใจ ครั้นได้รู้ว่านางมีสหายเช่นนี้นางก็สบายใจไปเปราะนึง “ข้ามีสหายตั้งสองคนเจ้าค่ะ ท่านยายมิต้องเป็นกังวลเลยนะเจ้าคะ" ชิงเหมยรู้ดีว่าซุนฉีนั้นเป็นกังวลเกี่ยวกับนาง หากเป็นชิงเหมยคนก่อนไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องที่น่ากังวลก็เป็นได้ แต่สำหรับนาง… เรื่องเพียงเท่านี้นั้นเล็กน้อยยิ่งนัก ซุนฉีทั้งรู้สึกสบายใจและโล่งใจที่หลานสาวนั้นมีสหายให้คบหายามที่นางไปสำนักศึกษา ต่อไปนางคงจะไม่ต้องมานั่งเป็นกังวลเรื่องของชิงเหมยยามที่นางไปสำนักศึกษาอีก เพียงหวังว่าสหายที่เข้าหาชิงเหมยนั้นจะเป็นเด็กดีและไม่เข้ามาทำให้ชิงเหมยต้องเจ็บช้ำน้ำใจ สองยายหลานช่วยกันเลือกซื้อทั้งผักและเนื้อสัตว์ก่อนที่จะพากันเดินกลับเรือนของพวกตน ตลอดเส้นทางมีผู้คนทักทายนางทั้งสองตลอดทาง เรียกได้ว่าตลาดซานฉีนั้นมิมีผู้ใดที่จะไม่รู้จักซุนฉีและชิงเหมยก็ไม่ผิดนัก รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็กหญิงที่กำลังบอกเล่าเรื่องราวจากการไปสำนักศึกษาในวันนี้ระหว่างทางเดินกลับเรือนให้ผู้เป็นยายฟังทำให้ซุนฉีได้แต่ยิ้มออกมา หากนางรู้ว่าชิงเหมยชื่นชอบการศึกษาหาความรู้เช่นนี้ นางคงไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนถึงปีนี้ แต่ก็มิใช่ปัญหาเพราะนางเชื่อว่าหลานสาวของนางนั้นเป็นเด็กที่เก่งและความจำดี ทุกสิ่งทุกอย่างในภายภาคหน้าจะต้องเป็นไปได้ดีอย่างแน่นอนหลังจากเฉียวจูจ้านและซูฉีเดินทางออกจากจวนกลับไปได้ไม่นาน เยว่อู๋ชางก็กลับมาจากในวังหลวง เพราะภรรยาตั้งครรภ์อ่อนๆ เขาจึงได้รับพระกรุณาจากองค์รัชทายาทให้กลับมาค้างที่จวนในทุกค่ำคืน จนกว่าครรภ์ของนางจะมั่นคง ถึงค่อยให้เขากลับไปดูแลพระองค์อย่างใกล้ชิดอีกครา“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงหวานทักทายสามีที่กำลังเดินเข้ามาภายในศาลากลางน้ำ“อื้ม…แล้วนี่น้องหญิงกำลังทำสิ่งใดอยู่รึ”เขาเดินไปนั่งลงเคียงข้าง แล้วยกร่างบางขึ้นมานั่งบนตัก จากนั้นจึงหอมแก้มนางไปหนึ่งที สองสาวรับใช้คนสนิทและสาวรับใช้ที่อยู่คอยรับใช้นายหญิง ต้องรีบพากันหลุบตามองต่ำ“ท่านพี่!!! พวกสาวรับใช้อยู่กันเยอะแยะ ข้าอายพวกนางนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกระซิบเสียงดุใส่สามี สองแขนเรียวโอบล้อมรอบลำคอของเขาเพราะกลัวตกเซียงซุนและหยวนเวยพากันยิ้มออกมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงใด ความรักที่นายท่านมีต่อนายหญิงหาได้ลดน้อยลงไม่ ทว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นในทุกวัน ยิ่งนายหญิงมีครรภ์เช่นนี้ นายท่านก็ดูจะทะนุถนอม และรักใคร่นายหญิงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความสัมพันธ์ของสามีภรรยากลมเกล
หลังจากนอนค้างที่จวนตระกูลซิ่วได้เพียงหนึ่งคืน เช้านี้ชิงเหมยจำต้องติดตามผู้เป็นสามี เดินทางกลับเข้าเมืองหลวง ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา ทำให้นางมิอาจเอาแต่ใจตนเองได้ ก่อนเดินทางออกจากจวน นางและสามีก็ได้กินมื้อเช้าพร้อมหน้าพร้อมตา มีท่านย่า ท่านยาย และพี่น้องตระกูลซิ่วของนาง ท่านยายเล็ก ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้และลูกๆ ทั้งสองของท่านลุงนั้น ได้เดินทางกลับจวนตระกูลซุนไปตั้งแต่พิธีแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว ในวันที่นางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมจึงมิได้พบกับพวกเขา“เดินทางปลอดภัย ขอให้เจ้าจงรักษาตัวให้ดี หากมีเวลาก็กลับมาเยี่ยมยายบ้าง”ซุนฉีกล่าวในขณะที่นางออกมาส่งหลานสาวอยู่ที่ด้านหน้าจวน ยามนี้ขบวนขนสัมภาระและผู้ติดตามของหลานเขยกับหลานสาวเตรียมพร้อมหมดแล้ว รอเพียงแค่ให้ชิงเหมยได้ร่ำลาครอบครัวก่อนออกเดินทางก็เท่านั้น“เจ้าค่ะท่านยาย ท่านเองก็อย่าลืมรักษาสุขภาพให้ดี รอหลานกลับมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกล่าวออกมา น้ำเสียงข่มความอาลัยเอาไว้อย่างมิดชิด เพื่อไม่ให้ท่านยายเป็นห่วงนางมากนัก ครานี้เป็นคราแรกที่นางจะต้องห่างไกลจากท่านยายจริงๆ หาใช่เพียงแค่ไปไม่กี่
หลังจากที่เยว่อู๋ชางเดินออกจากห้องหอไปได้ไม่นานนัก สองสาวรับใช้คนสนิทของชิงเหมยก็เข้ามาด้านใน ร่างระหงนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ หยวนเวยจึงรีบไปเตรียมน้ำให้นางอาบ ส่วนเซียงซุนรับหน้าที่เข้าไปปัดกวาดเตียงนอน ครั้นได้เห็นร่องรอยของการร่วมหอในค่ำคืนที่ผ่านมา ใบหน้างามของสาวรับใช้ที่ยังไม่เคยออกเรือนก็ถึงกับร้อนผ่าว ในใจพลันรู้สึกยินดี ที่ท่านเขยและคุณหนูใหญ่ ไม่ได้ปล่อยให้คืนเข้าหอผ่านไปอย่างไร้ค่า“ข้าน้อยเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู อุ๊ย!!! ฮูหยินเล็ก”หยวนเวยกลับเข้ามาภายในห้องพลางกล่าวรายงาน ก่อนที่นางจะปิดปากครั้นรู้ตัวว่านางเรียกขานสถานะเดิมของชิงเหมยที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิ่ว แล้วจึงเปลี่ยนคำเรียกขานคุณหนูใหญ่ของนางใหม่ ยามนี้คุณหนูใหญ่ก้าวผ่านค่ำคืนของการเป็นผู้ใหญ่มาแล้ว หมายความว่าบัดนี้ชิงเหมย นางได้กลายมาเป็นฮูหยินเล็กสกุลเยว่เต็มตัวแล้ว"ฮูหยินเล็ก อืม… ใช่แล้วล่ะ สถานะข้าในยามนี้กลายเป็นฮูหยินของพี่ชางแล้วสินะ" ใบหน้างามปรากฏคลื่นแห่งความสุขออกมา แม้จะยังคงง่วงงุนแต่ทว่าใบหน้าของนางกลับอิ่มเอิบ“เช้านี้ท่านเขยดูอารมณ์ดียิ่ง
ท่ามกลางความเงียบสงบจากภายนอก ภายในห้องหอกลับมีเสียงครางทุ้มหวานของคู่บ่าวสาว ดังสอดประสานกันขึ้นมาเป็นระยะ คราแรกที่ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มรุกล้ำเข้าไปภายในกลีบบุปผางามของนาง ชิงเหมยก็แทบจะปิดบังบังความเจ็บปวดเอาไว้ไม่อยู่ นางแสดงออกมาผ่านทางสีหน้าและแววตา ปลายหางตามีหยาดน้ำเปียกชุ่มอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ทว่านางกลับไม่กล้าเอ่ยปากขัดขวางอารมณ์ที่เร่าร้อนของเขามือบางกอบกุมผ้าปูเตียงเอาไว้แน่น ก่อนที่นางจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ความรู้สึกเจ็บปวดในคราแรก จึงแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกวาบหวาม เร่าร้อน เข้ามาแทนที่ ยามนี้ผิวกายของนางและเขาต่างร้อนผ่าว ทุกคราที่เขาขยับโยกกาย ก่อให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย สิ่งนี้น่ะหรือที่พวกผู้ใหญ่เรียกว่า หยินหยางสอดประสาน ชิงเหมยเพิ่งได้รู้ซึ้งก็ในวันนี้นี่เอง ความรู้สึกที่มีทั้งสุขและทุกข์ผสมผสานกันไป ทว่าความทุกข์นั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่หอมหวานชวนลุ่มหลง“น้องหญิง…เจ้าเจ็บหรือไม่”ชายหนุ่มเหนือร่างงามหาได้ทำตามแต่ใจตนเองผู้เดียวไม่ เขาหยุดจังหวะการรุกล้ำ แล้วเอ่ยถามความรู้สึกของผู้เป็นภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แม้อารมณ์ใคร่
ขบวนสินเดิมของเจ้าสาวยาวเกือบหนึ่งลี้ ถือว่าไม่น้อยหน้าสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ผู้คนต่างพากันนึกอิจฉานางขึ้นมา ด้วยไม่คิดว่าสตรีที่เกิดจากตระกูลธรรมดาอย่างซุนฉี จะสามารถมอบสินเดิมให้กับหลานสาวมากมายถึงเพียงนี้ แม้ผู้คนจะรู้ดีว่ามิใช่ของตระกูลซุนเพียงตระกูลเดียว แต่ก็รู้สึกนับถือซุนฉี ที่อีกฝ่ายคอยเก็บสะสมทรัพย์สินมากมาย เพื่อให้หลานเป็นสินเดิมติดตัวไปยามออกเรือน“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะ ข้าน้อยเตรียมขนมมาให้ หากคุณหนูหิวก็กินรองท้องไปก่อนหนาเจ้าคะ ดูจากการเคลื่อนขบวนแล้ว ข้าน้อยคิดว่ากว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็คงอีกสองเค่อ” เซียงซุนเปิดม่านเกี้ยวแล้วบอกคุณหนูของนางด้วยความห่วงใย เพราะวันนี้คุณหนูหาได้กินสิ่งใดลงไม่ อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้น“อื้อ…”ชิงเหมยมองออกไปผ่านผ้าคลุมหน้าก็เห็นว่าข้างทางมีชาวบ้านมากมาย ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มออกมาด้วยความยินดี ทำให้นางรู้สึกประทับใจยิ่งนัก ไม่คิดว่างานแต่งงานของนางจะทำให้ผู้คนสนใจมาชื่นชมมากมายถึงเพียงนี้และก็เป็นอย่างที่เซียงซุนบอก เพราะกว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็ใช้เวลานานเกือบสองเค่
หนึ่งปีต่อมาวสันตฤดูเวียนมาถึง นั่นก็หมายความว่า กำหนดการพระราชทานสมรสระหว่างคุณชายรองสกุลเยว่กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วก็มาถึงเสียที ชิงเหมยต้องไปออกเรือนที่ตระกูลซิ่ว ทำให้ซุนฉี ซุนเฉียว เหลียงจง หลิวเวย และลูกๆ ทั้งสองของนาง ต้องเดินทางจากจวนตระกูลซุน ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านซานฉี เข้าเมืองถิงฮวาไปพำนักที่ตระกูลซิ่วชั่วคราว ก่อนที่จะถึงวันวิวาห์ เพื่อร่วมกันส่งหลานสาวออกเรือน“ข้ารู้สึกใจหายยิ่งนัก หลังจากเหมยเอ๋อร์ออกเรือนไปแล้ว ข้าจะทำเยี่ยงไร” ซุนฉีนึกใจหายขึ้นมา หลานสาวอาศัยอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด จนมาถึงวัยสิบแปดปี วัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือน“ท่านกล่าวอันใดเยี่ยงนั้น ท่านไม่อยากเห็นเหมยเอ๋อร์มีความสุขหรอกรึ” ผิงหลันแสร้งถามออกมาทั้งๆ ที่ใจนางเองก็ไม่ต่างจากซุนฉีแม้แต่น้อยหลังจากหลานสาวกลับจากเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม ชิงเหมยก็ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที เพราะว่าที่หลานเขยของนางต้องทำงานรับใช้ราชวงศ์ ไม่อาจลางานนานได้ และเพราะหน้าที่ของเขา ทำให้ไม่สะดวกต่อการเดินทางไกล จวนของเขาที่เตรียมไว้ยามนี้ตกแต่งไว้รอนายหญิงของจวนเรียบร้อยแล