ควันที่ลอยโขมงขึ้นมาเหนือหลังคาเรือนในยามเช้า บ่งบอกว่าเจ้าของเรือนหลังนั้นได้ตื่นนอน และเริ่มที่จะหุงหาอาหารในเช้าวันใหม่แล้ว ร่างอวบอิ่มของสตรีวัยสี่สิบปลายๆ กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ด้านหน้าเตาไฟ ซุนฉีหันไปมองร่างเล็กของหลานสาวที่ถึงแม้จะได้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาแล้ว แต่ทว่านางยังคงไม่ละทิ้งหน้าที่ที่นางเคยทำตลอดมา ใบหน้าเล็กเปื้อนแป้งที่ข้างแก้มเรียกรอยยิ้มจากผู้เป็นยายได้ไม่ยากนัก “ดูซิ… หน้าตามอมแมมหมดแล้วเหมยเอ๋อร์…” บอกพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าของนางขึ้นมาเช็ดใบหน้าให้หลานสาวอย่างทะนุถนอม “ท่านยาย วันนี้มื้อกลางวันหลานอยากกินหมูราดน้ำแดงเช่นเดียวกับเมื่อวานเจ้าค่ะ ก่อนไปสำนักศึกษาท่านยายช่วยทำให้หลานสักนิดได้หรือไม่เจ้าคะ” “ได้สิเหมยเอ๋อร์... หมูราดน้ำแดงนั้นทำไม่ยาก ถ้าเช่นนั้นเจ้าปั้นแป้งกับยัดไส้ซาลาเปารอยายก่อนเถิด ประเดี๋ยวยายจะรีบไปทำมื้อเช้า กับหมูราดน้ำแดงสำหรับมื้อกลางวันให้เจ้า” “เจ้าค่ะ” ชิงเหมยยิ้มออกมาครั้นท่านยายยินดีที่จะทำอาหารที่นางอยากกินให้ด้วยความเต็มใจ นางรักท่านยายซุนฉีเหลือเกิน และรู้สึกว่านางนั้นยังมีโชคอยู่บ้างที่ได้มาเกิดใหม่ในชาติภพนี้ เพราะนอกจากไม่มีข้าศึกมารุกรานแล้ว ยังมีท่านยายที่รักและเอ็นดูนางคอยเอาใจใส่นางอยู่ร่ำไป หลังจากปั้นแป้งและยัดไส้ซาลาเปาเสร็จเรียบร้อย ซุนฉีจึงไล่หลานสาวให้ไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์เพื่อมากินมื้อเช้าแล้วค่อยไปสำนักศึกษา ชิงเหมยจึงกลับเข้าไปในเรือน นางอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ด้วยตนเอง ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปร่างเล็กที่สวมใส่อาภรณ์ของศิษย์หญิงสำนักศึกษาหวุนซีก็เยื้องย่างออกมาจากเรือนนอน ซุนฉีส่งเสี่ยหนา[1]ให้แก่หลานสาว ชิงเหมยรับมาถือเอาไว้คนละข้างกับกระเป๋าตำราของนาง “ข้าลาเจ้าค่ะท่านยาย ขอให้วันนี้ท่านยายขายดีเป็นเทน้ำเทท่านะเจ้าคะ” “เฮอๆๆ ไปเถิดเหมยเอ๋อร์ ประเดี๋ยวจะสายเอา” ซุนฉีหัวเราะให้กับคำอวยพรของหลานสาวก่อนที่จะบอกให้นางรีบไปสำนักศึกษา เพราะเดินย่อมช้ากว่าการนั่งเกี้ยวหรือรถม้าไปอยู่แล้ว ชิงเหมยจึงคำนับลาแล้วเดินออกจากประตูเรือนไป ซุนฉีจึงได้หันกลับมาสนใจตนเอง นางเข้าไปในเรือนอาบน้ำแต่งตัวและนำซาลาเปาที่หลานช่วยปั้นไปยังร้านของนางในตลาด วันนี้คงจะเป็นวันดีอีกเช่นเคย หากขายหมดวันนี้นางจะได้ทำมื้อเย็นอร่อยๆ ให้หลานสาวได้กิน เพราะอยู่ในวัยเจริญเติบโตต้องกินให้มากๆ หน่อย สำนักศึกษาหวุนซี เสียงท่องบทกวีดังขึ้นไปทั้งเรือนหลันฮวา ศิษย์หญิงทั้งหลายต่างตั้งใจศึกษาในสิ่งที่ท่านอาจารย์พร่ำสอน ชิงเหมยรู้สึกสนุกสนานไปกับการท่องบทกวีในวันนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะนางนั้นได้อ่านล่วงหน้ามาบ้างแล้ว จึงทำให้จดจำได้เกือบทั้งหมด ไม่ว่าท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นจะให้พวกนางท่องบทใด ชิงเหมยก็สามารถท่องออกมาโดยที่ไม่มองตำรา แม้นสหายร่วมห้องจะไม่ทันได้สังเกต แต่ทุกการกระทำของศิษย์ทุกคนล้วนอยู่ในสายตาของผู้เป็นอาจารย์ “เอาล่ะ… วันนี้พอเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้อาจารย์จะให้พวกเจ้าเตรียมบทกวีมาท่องกันคนละหนึ่งบทโดยที่ไม่ต้องเปิดตำรา” อาจารย์ลู่อวิ๋นกล่าวออกมาหลังจากที่บรรดาลูกศิษย์ท่องบทกวีและแปลความหมายของบทกวีนั้นจบ "เจ้าค่ะท่านอาจารย์ ศิษย์คารวะลาท่านอาจารย์เจ้าค่ะ" ศิษย์หญิงทุกคนตอบรับพลางลุกขึ้นคำนับลาท่านอาจารย์ลู่อวิ๋นอย่างพร้อมเพรียงกัน เขาพยักหน้าก่อนที่จะเดินออกจากเรือนหลันฮวาไป เสียงพูดคุยดังของเด็กๆ ดังขึ้นทันทีที่อาจารย์พ้นจากเรือนไป บ้างก็คุยถึงการอ่านบทกวีในวันพรุ่งนี้ บ้างก็คุยกันถึงเรื่องที่เรือนของตน บ้างก็คุยเรื่องอาหารมื้อกลางวันของวันนี้ เช่นเดียวกับกลุ่มของชิงเหมยที่กำลังถามไถ่กันถึงเรื่องอาหารที่ห่อมา เด็กหญิงทั้งสามชื่นชอบในการกินเป็นที่สุดเพราะอยู่ในวัยเจริญเติบโต ยิ่งหลูซินเป็นลูกสาวเจ้าของร้านเหลา นางยิ่งมีอาหารมาแบ่งปันสหายให้ได้กินแทบจะไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน “วันนี้พวกเจ้าห่อสิ่งใดมากินมื้อกลางวันกันรึ” ซูฉีเอ่ยถามออกมาในขณะที่เก็บตำรา “เมื่อเช้าข้าบอกให้ท่านยายทำหมูตุ๋นน้ำแดงมาให้ เห็นว่าพวกเจ้าสองคนชื่นชอบหมูตุ๋นน้ำแดงที่ท่านยายข้าทำนี่” ชิงเหมยตอบพลางยักคิ้วให้สหาย ทั้งซูฉีและหลูซินพากันยิ้มกว้างออกมา เพราะฝีมือการทำของท่านยายของชิงเหมยนั้นเลิศรสไม่แพ้ฝีมือของพ่อครัวร้านเหลาหรือพวกโรงเตี๊ยมดังๆ เลย “แล้วพวกเจ้าล่ะ” ชิงเหมยถามออกมาบ้าง “วันนี้ท่านพ่อข้าทำไก่สับหน่อไม้ฉีกมาให้ กับปลาทอดกรอบ” บุตรสาวเจ้าของร้านเหลาตอบด้วยน้ำเสียงที่สดใส ยามที่พูดคุยถึงเรื่องอาหารนั้นคือยามที่นางมีความสุขที่สุด นางชอบกิน “แม่เล็กข้าห่อไก่ตุ๋นกับขนมกุ้ยฮวาเกามาให้” ซูฉีเป็นฝ่ายตอบชิงเหมยบ้าง เด็กทั้งสามพากันยิ้มออกมาครั้นได้รู้ว่าแต่ละคนห่ออาหารอันใดมากินในมื้อกลางวัน “ถ้าเช่นนั้นพวกเรารีบไปหาที่นั่งกินกันเถิด จะได้งีบหลับสักนิด เมื่อคืนท่านแม่ให้ข้าฝึกเย็บปักกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปยามห้ายแล้ว” ซูฉีเอ่ยออกมา นางเกิดในตระกูลขุนนางแม้นจะเป็นบุตรีที่เกิดจากอนุภรรยา แต่ทว่านางก็ต้องฝึกฝนและเรียนรู้งานของเรือนหลังเพื่ออนาคตในภายภาคหน้า เพราะเป็นลูกอนุจึงต้องพยายามมากกว่าลูกของภรรยาเอกนางจึงถูกมารดากดดันอยู่ไม่น้อย ชิงเหมยมองหน้าสหายใหม่ด้วยความรู้สึกเห็นใจ หากนางได้อยู่ในตระกูลของท่านพ่อของนาง ชีวิตนางก็คงจะต้องอยู่ในกฏในระเบียบเช่นกัน อาจจะถูกกลั่นแกล้งรังแกยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ฝ่ายนั้นไม่ยอมรับในตัวนาง เพราะถ้าหากเป็นชิงเหมยคนก่อนคงจะสู้รบตบมือกับพวกจิ้งจอกพวกนั้นไม่ไหวอาจจะจากไปก่อนที่นางจะได้มาเกิดใหม่ในร่างนี้เสียด้วยซ้ำ เด็กทั้งสามพากันไปนั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ ต่างคนต่างนำอาหารของตนออกมาจากเสี่ยหนาที่เตรียมมา อาหารสามสี่อย่างถูกวางตรงหน้า ชิงเหมย ซูฉีและหลูซินพากันลงมือกินอย่างเงียบๆ หลังจากที่อิ่มแล้วพวกนางก็พากันนำเสี่ยหนาไปล้างแล้วกลับมานอนงีบเพื่อพักสายตา ชิงเหมยนอนคิดว่านางกำลังอยากจะฝึกฝนเพลงดาบที่เคยใช้ปกป้องตนเองและผู้คนที่รักในชาติภพก่อน นางไม่อยากละทิ้งความสามารถเดิมที่นางเคยมี กว่านางจะแข็งแกร่งจนไปสู้รบกับพวกศัตรูของบ้านเมืองได้นางก็ต้องฝึกฝนอยู่หลายปี แล้วเหตุใดนางจะต้องละทิ้งมันไปพร้อมกับอดีตชาติของนางด้วย ในเมื่อสวรรค์ให้ความทรงจำของนางติดตัวมาในชาติภพนี้ อาจจะมีความหมายบางอย่างแฝงอยู่ หรือไม่แน่ว่านางจะต้องได้ใช้ความสามารถในการฟันดาบหรือศิลปะการต่อสู้ในชาติภพนี้ด้วยหลังจากเฉียวจูจ้านและซูฉีเดินทางออกจากจวนกลับไปได้ไม่นาน เยว่อู๋ชางก็กลับมาจากในวังหลวง เพราะภรรยาตั้งครรภ์อ่อนๆ เขาจึงได้รับพระกรุณาจากองค์รัชทายาทให้กลับมาค้างที่จวนในทุกค่ำคืน จนกว่าครรภ์ของนางจะมั่นคง ถึงค่อยให้เขากลับไปดูแลพระองค์อย่างใกล้ชิดอีกครา“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงหวานทักทายสามีที่กำลังเดินเข้ามาภายในศาลากลางน้ำ“อื้ม…แล้วนี่น้องหญิงกำลังทำสิ่งใดอยู่รึ”เขาเดินไปนั่งลงเคียงข้าง แล้วยกร่างบางขึ้นมานั่งบนตัก จากนั้นจึงหอมแก้มนางไปหนึ่งที สองสาวรับใช้คนสนิทและสาวรับใช้ที่อยู่คอยรับใช้นายหญิง ต้องรีบพากันหลุบตามองต่ำ“ท่านพี่!!! พวกสาวรับใช้อยู่กันเยอะแยะ ข้าอายพวกนางนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกระซิบเสียงดุใส่สามี สองแขนเรียวโอบล้อมรอบลำคอของเขาเพราะกลัวตกเซียงซุนและหยวนเวยพากันยิ้มออกมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงใด ความรักที่นายท่านมีต่อนายหญิงหาได้ลดน้อยลงไม่ ทว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นในทุกวัน ยิ่งนายหญิงมีครรภ์เช่นนี้ นายท่านก็ดูจะทะนุถนอม และรักใคร่นายหญิงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความสัมพันธ์ของสามีภรรยากลมเกล
หลังจากนอนค้างที่จวนตระกูลซิ่วได้เพียงหนึ่งคืน เช้านี้ชิงเหมยจำต้องติดตามผู้เป็นสามี เดินทางกลับเข้าเมืองหลวง ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา ทำให้นางมิอาจเอาแต่ใจตนเองได้ ก่อนเดินทางออกจากจวน นางและสามีก็ได้กินมื้อเช้าพร้อมหน้าพร้อมตา มีท่านย่า ท่านยาย และพี่น้องตระกูลซิ่วของนาง ท่านยายเล็ก ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้และลูกๆ ทั้งสองของท่านลุงนั้น ได้เดินทางกลับจวนตระกูลซุนไปตั้งแต่พิธีแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว ในวันที่นางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมจึงมิได้พบกับพวกเขา“เดินทางปลอดภัย ขอให้เจ้าจงรักษาตัวให้ดี หากมีเวลาก็กลับมาเยี่ยมยายบ้าง”ซุนฉีกล่าวในขณะที่นางออกมาส่งหลานสาวอยู่ที่ด้านหน้าจวน ยามนี้ขบวนขนสัมภาระและผู้ติดตามของหลานเขยกับหลานสาวเตรียมพร้อมหมดแล้ว รอเพียงแค่ให้ชิงเหมยได้ร่ำลาครอบครัวก่อนออกเดินทางก็เท่านั้น“เจ้าค่ะท่านยาย ท่านเองก็อย่าลืมรักษาสุขภาพให้ดี รอหลานกลับมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกล่าวออกมา น้ำเสียงข่มความอาลัยเอาไว้อย่างมิดชิด เพื่อไม่ให้ท่านยายเป็นห่วงนางมากนัก ครานี้เป็นคราแรกที่นางจะต้องห่างไกลจากท่านยายจริงๆ หาใช่เพียงแค่ไปไม่กี่
หลังจากที่เยว่อู๋ชางเดินออกจากห้องหอไปได้ไม่นานนัก สองสาวรับใช้คนสนิทของชิงเหมยก็เข้ามาด้านใน ร่างระหงนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ หยวนเวยจึงรีบไปเตรียมน้ำให้นางอาบ ส่วนเซียงซุนรับหน้าที่เข้าไปปัดกวาดเตียงนอน ครั้นได้เห็นร่องรอยของการร่วมหอในค่ำคืนที่ผ่านมา ใบหน้างามของสาวรับใช้ที่ยังไม่เคยออกเรือนก็ถึงกับร้อนผ่าว ในใจพลันรู้สึกยินดี ที่ท่านเขยและคุณหนูใหญ่ ไม่ได้ปล่อยให้คืนเข้าหอผ่านไปอย่างไร้ค่า“ข้าน้อยเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู อุ๊ย!!! ฮูหยินเล็ก”หยวนเวยกลับเข้ามาภายในห้องพลางกล่าวรายงาน ก่อนที่นางจะปิดปากครั้นรู้ตัวว่านางเรียกขานสถานะเดิมของชิงเหมยที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิ่ว แล้วจึงเปลี่ยนคำเรียกขานคุณหนูใหญ่ของนางใหม่ ยามนี้คุณหนูใหญ่ก้าวผ่านค่ำคืนของการเป็นผู้ใหญ่มาแล้ว หมายความว่าบัดนี้ชิงเหมย นางได้กลายมาเป็นฮูหยินเล็กสกุลเยว่เต็มตัวแล้ว"ฮูหยินเล็ก อืม… ใช่แล้วล่ะ สถานะข้าในยามนี้กลายเป็นฮูหยินของพี่ชางแล้วสินะ" ใบหน้างามปรากฏคลื่นแห่งความสุขออกมา แม้จะยังคงง่วงงุนแต่ทว่าใบหน้าของนางกลับอิ่มเอิบ“เช้านี้ท่านเขยดูอารมณ์ดียิ่ง
ท่ามกลางความเงียบสงบจากภายนอก ภายในห้องหอกลับมีเสียงครางทุ้มหวานของคู่บ่าวสาว ดังสอดประสานกันขึ้นมาเป็นระยะ คราแรกที่ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มรุกล้ำเข้าไปภายในกลีบบุปผางามของนาง ชิงเหมยก็แทบจะปิดบังบังความเจ็บปวดเอาไว้ไม่อยู่ นางแสดงออกมาผ่านทางสีหน้าและแววตา ปลายหางตามีหยาดน้ำเปียกชุ่มอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ทว่านางกลับไม่กล้าเอ่ยปากขัดขวางอารมณ์ที่เร่าร้อนของเขามือบางกอบกุมผ้าปูเตียงเอาไว้แน่น ก่อนที่นางจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ความรู้สึกเจ็บปวดในคราแรก จึงแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกวาบหวาม เร่าร้อน เข้ามาแทนที่ ยามนี้ผิวกายของนางและเขาต่างร้อนผ่าว ทุกคราที่เขาขยับโยกกาย ก่อให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย สิ่งนี้น่ะหรือที่พวกผู้ใหญ่เรียกว่า หยินหยางสอดประสาน ชิงเหมยเพิ่งได้รู้ซึ้งก็ในวันนี้นี่เอง ความรู้สึกที่มีทั้งสุขและทุกข์ผสมผสานกันไป ทว่าความทุกข์นั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่หอมหวานชวนลุ่มหลง“น้องหญิง…เจ้าเจ็บหรือไม่”ชายหนุ่มเหนือร่างงามหาได้ทำตามแต่ใจตนเองผู้เดียวไม่ เขาหยุดจังหวะการรุกล้ำ แล้วเอ่ยถามความรู้สึกของผู้เป็นภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แม้อารมณ์ใคร่
ขบวนสินเดิมของเจ้าสาวยาวเกือบหนึ่งลี้ ถือว่าไม่น้อยหน้าสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ผู้คนต่างพากันนึกอิจฉานางขึ้นมา ด้วยไม่คิดว่าสตรีที่เกิดจากตระกูลธรรมดาอย่างซุนฉี จะสามารถมอบสินเดิมให้กับหลานสาวมากมายถึงเพียงนี้ แม้ผู้คนจะรู้ดีว่ามิใช่ของตระกูลซุนเพียงตระกูลเดียว แต่ก็รู้สึกนับถือซุนฉี ที่อีกฝ่ายคอยเก็บสะสมทรัพย์สินมากมาย เพื่อให้หลานเป็นสินเดิมติดตัวไปยามออกเรือน“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะ ข้าน้อยเตรียมขนมมาให้ หากคุณหนูหิวก็กินรองท้องไปก่อนหนาเจ้าคะ ดูจากการเคลื่อนขบวนแล้ว ข้าน้อยคิดว่ากว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็คงอีกสองเค่อ” เซียงซุนเปิดม่านเกี้ยวแล้วบอกคุณหนูของนางด้วยความห่วงใย เพราะวันนี้คุณหนูหาได้กินสิ่งใดลงไม่ อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้น“อื้อ…”ชิงเหมยมองออกไปผ่านผ้าคลุมหน้าก็เห็นว่าข้างทางมีชาวบ้านมากมาย ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มออกมาด้วยความยินดี ทำให้นางรู้สึกประทับใจยิ่งนัก ไม่คิดว่างานแต่งงานของนางจะทำให้ผู้คนสนใจมาชื่นชมมากมายถึงเพียงนี้และก็เป็นอย่างที่เซียงซุนบอก เพราะกว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็ใช้เวลานานเกือบสองเค่
หนึ่งปีต่อมาวสันตฤดูเวียนมาถึง นั่นก็หมายความว่า กำหนดการพระราชทานสมรสระหว่างคุณชายรองสกุลเยว่กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วก็มาถึงเสียที ชิงเหมยต้องไปออกเรือนที่ตระกูลซิ่ว ทำให้ซุนฉี ซุนเฉียว เหลียงจง หลิวเวย และลูกๆ ทั้งสองของนาง ต้องเดินทางจากจวนตระกูลซุน ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านซานฉี เข้าเมืองถิงฮวาไปพำนักที่ตระกูลซิ่วชั่วคราว ก่อนที่จะถึงวันวิวาห์ เพื่อร่วมกันส่งหลานสาวออกเรือน“ข้ารู้สึกใจหายยิ่งนัก หลังจากเหมยเอ๋อร์ออกเรือนไปแล้ว ข้าจะทำเยี่ยงไร” ซุนฉีนึกใจหายขึ้นมา หลานสาวอาศัยอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด จนมาถึงวัยสิบแปดปี วัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือน“ท่านกล่าวอันใดเยี่ยงนั้น ท่านไม่อยากเห็นเหมยเอ๋อร์มีความสุขหรอกรึ” ผิงหลันแสร้งถามออกมาทั้งๆ ที่ใจนางเองก็ไม่ต่างจากซุนฉีแม้แต่น้อยหลังจากหลานสาวกลับจากเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม ชิงเหมยก็ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที เพราะว่าที่หลานเขยของนางต้องทำงานรับใช้ราชวงศ์ ไม่อาจลางานนานได้ และเพราะหน้าที่ของเขา ทำให้ไม่สะดวกต่อการเดินทางไกล จวนของเขาที่เตรียมไว้ยามนี้ตกแต่งไว้รอนายหญิงของจวนเรียบร้อยแล