ลานหน้าเรือนจวนหลง ภายในสำนักศึกษาหวุนซี
ศิษย์ใหม่ทั้งชายและหญิงนับร้อยกำลังยืนรอคอยท่านอาจารย์มาแบ่งห้องให้แก่พวกตน และดูเหมือนว่าชิงเหมยจะได้รับความสนใจจนถูกรุมล้อมจากศิษย์ใหม่หลายๆ คน เพราะนางมีชื่อเสียงตั้งแต่วันที่ประกาศผลการสอบเข้าสำนักศึกษา ในฐานะที่นางเป็นเด็กหญิงหนึ่งเดียวที่สอบติดหนึ่งในสิบ "เจ้ามีนามว่าชิงเหมยใช่หรือไม่" "ใช่… ข้ามีนามว่าชิงเหมย" ชิงเหมยตอบกลับพลางมองใบหน้าเล็กของอีกฝ่ายที่ดูเป็นมิตร "ข้ามีนามว่าหลูซิน เป็นลูกสาวเจ้าของร้านเหลาในตลาดซานฉี ข้าเคยเห็นเจ้าไปช่วยยายของเจ้าขายขนมอยู่บ่อยครา แต่ข้ามิอาจไปทักทายเจ้าได้ เพราะข้าเองก็ต้องช่วยท่านพ่อท่านแม่ขายอาหารในร้านเช่นกัน" เด็กหญิงที่มีนามว่าหลูซินแนะนำตัวเองพลางกล่าวถึงเรื่องที่นางเคยได้พบเจอกับสหายใหม่ออกมา "อ๋อ... ข้าเคยเห็นเจ้าเช่นกัน ร้านของพ่อแม่เจ้ามีลูกค้าไปเยือนมิเคยขาด รสชาติอาหารคงจะยอดเยี่ยมยิ่งนัก ใช่หรือไม่" ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ชิงเหมยนั้นสำรวจรอบตลาดจนนางนั้นพอจะจดจำทุกร้านได้ และร้านเหลาที่มีลูกค้าแน่นร้านทุกวันก็คือร้านของตระกูลหลิว ซึ่งเป็นตระกูลของหลูซินสหายใหม่นางนี้นี่เอง "อื้อ... ท่านแม่ของข้าทำอาหารรสชาติอร่อยยิ่งนัก ทำให้ร้านเหลาของพวกเรามีลูกค้าประจำแวะเวียนมากินไม่เคยขาด" หลูซินตอบสหายใหม่ด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา ชิงเหมยรู้ดีว่านี่มิใช่การโอ้อวดเพราะนางนั้นเคยผ่านช่วงวัยนี้มาแล้วในชาติภพก่อน นางรู้ดีว่าผู้ใดเสแสร้งหรือผู้ใดจริงใจ เพราะวัยเด็กนั้นดูไม่ยาก "ชิงเหมย... หลูซิน ข้ามีนามว่าซูฉี เป็นลูกสาวของรองมือปราบเมืองซานฉี" ลูกสาวขุนนางแนะนำตนเองทันทีที่มีโอกาส "ซูฉี… เจ้าคือผู้ที่สอบได้ลำดับที่สิบสองใช่หรือไม่" หลูซินเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น "อื้อ... แต่ถึงเยี่ยงไรท่านพ่อของข้าก็ไม่มีวันภูมิใจในตัวข้าได้" น้ำเสียงเศร้าของซูฉีทำให้ผู้ฟังนึกประหลาดใจ ว่าเหตุใดผู้ที่เป็นถึงบุตรีของขุนนางถึงได้ไร้ซึ่งความภูมิใจในตนเองเช่นนี้ "เพราะเหตุใดกันหรือ ท่านพ่อของเจ้าน่าจะภูมิใจในตัวเจ้านี่นา" หลูซินเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ เพราะขนาดท่านพ่อท่านแม่ของนางยังรู้สึกยินดีจนถึงขั้นปิดร้านเหลาที่ขายดีเลี้ยงลูกค้าเพียงเพราะนางสอบผ่านในลำดับที่ยี่สิบ เหตุใดซูฉีที่เป็นถึงบุตรีของขุนนางถึงมิได้รับคำชื่นชมจากผู้เป็นบิดามารดา “เพราะข้าเป็นสตรี อีกทั้งยังเป็นเพียงบุตรีที่เกิดมาจากอนุต่ำต้อย ผู้ใดจะมารู้สึกยินดีไปกับข้ากันล่ะ แม้แต่ท่านแม่ยังมิได้รู้สึกยินดีที่มีข้าเป็นลูกของนางเลย หากข้าเป็นบุรุษคงจะมีแต่คนชื่นชม” ซูฉีตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ชิงเหมยนึกเห็นใจสหายใหม่ที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์แต่ทว่ากลับใช้ชีวิตอย่างไร้ซึ่งความสุข “ถึงแม้นว่าจะมิมีผู้ใดภูมิใจหรือรู้สึกยินดีในตัวเจ้า แต่เจ้าคือผู้ซึ่งเป็นเจ้าของชีวิตนี้ จงภูมิใจในตนเองเถิดซูฉี” คำปลอบโยนของชิงเหมยทำให้ซูฉีน้ำตาซึม เด็กหญิงทั้งสามสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว แม้จะมีหลายคนเข้ามาทักทายชิงเหมย แต่ทว่านางกลับรู้สึกยินดีที่จะคบหากับสหายใหม่ทั้งสองมากกว่าผู้ใด วันนี้เป็นวันแรกของการศึกษาในสำนักศึกษาหวุนซี หลังจากที่ท่านอาจารย์แบ่งห้องเรียบร้อยแล้วก็ให้ศิษย์ใหม่แยกย้ายกันไปเรียนตามห้องที่ได้จัดไว้ ชิงเหมย หลูซิน และซูฉีได้อยู่ห้องเดียวกันราวกับฟ้าเป็นใจ มีคนชอบก็ย่อมมีคนชัง แม้จะมีหลายคนที่ต้องการผูกมิตรกับชิงเหมย แต่ก็มิใช่กับทุกคน เพราะถึงจะยังเยาว์วัยแต่บางคนก็ได้รับการสั่งสอนมาจากครอบครัวให้รู้จักคบหาสหายเพื่อประโยชน์ของตนเองเช่นเดียวกับคุณหนูรองจากตระกูลกวง นางนั้นเย่อหยิ่งและมีสหายที่สอบผ่านมาพร้อมกันถึงสองคน นางจึงมิได้สนใจอยากจะคบหากับพวกลูกหลานที่มีชนชั้นต่ำกว่าตน ถึงแม้นว่าตัวนางจะเป็นลูกที่เกิดจากอนุภรรยาก็ตาม "ชีเยว่ กินขนมนี่สิเจ้าคะ ท่านแม่ของข้าซื้อมาจากตลาด" หนึ่งในสหายของกวงชีเยว่เอ่ยออกมาพลางส่งห่อขนมให้ กวงชีเยว่ไม่ปฏิเสธด้วยวัยที่ยังเยาว์นักจึงชื่นชอบกินขนมไม่ต่างจากเด็กคนอื่น นางยื่นมือไปรับมาก่อนที่จะหยิบขนมในห่อขึ้นมากิน "อื้อ…อร่อยดี ซื้อมาจากที่ใดหรือ" "ร้านขนมในตลาดน่ะ ท่านแม่ของข้าเป็นลูกค้าประจำ" ตวนเจียฉีไม่ได้บอกว่าเป็นขนมจากร้านยายของชิงเหมย เพราะเท่าที่นางสังเกตดู คุณหนูรองสกุลกวงนั้นดูจะไม่ค่อยชอบอีกฝ่าย และนางค่อนข้างที่จะถือตนว่านางเป็นลูกหลานขุนนาง หากกวงชีเยว่มิใช่บุตรีที่เกิดจากอนุภรรยาของใต้เท้ากวง ตวนเจียฉีก็คาดเดาได้ว่ากวงชีเยว่จะต้องได้ไปศึกษายังสำนักศึกษาอีกฝั่งที่มีชื่อเสียงกว่าเป็นแน่ เพราะฝั่งนั้นถือเป็นสำนักศึกษาที่รวบรวมเหล่าลูกหลานขุนนางและมหาเศรษฐีของหมู่บ้านซานฉี และเมืองถิงฮวาเอาไว้ "พวกเจ้าก็กินด้วยกันสิ มีตั้งเยอะข้ากินผู้เดียวไม่หมดหรอก" กวงชีเยว่บอกสหายทั้งสอง คนหนึ่งเป็นบุตรีขุนนางเช่นเดียวกับนาง และอีกคนที่นำขนมมาให้นางนั้นเป็นบุตรีของตระกูลที่ร่ำรวย ท่านแม่ของนางอนุญาตให้คบหากับทั้งสองคนได้ตั้งแต่ที่รู้ว่าทั้งสองได้เข้าสำนักศึกษาแห่งนี้เช่นเดียวกันกับนาง ครั้นได้รับอนุญาตจากกวงชีเยว่ เด็กหญิงทั้งสองจึงหยิบขนมมากินกันอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากเข้าไปในเรือนที่ใช้เป็นสถานที่ร่ำเรียน ศิษย์ใหม่ทุกคนก็ตั้งใจที่จะศึกษาวิชาที่อาจารย์กำลังจะสอน เพื่อเก็บเกี่ยวเอาความรู้ที่ได้รับกลับไปกับตน ยามที่ครอบครัวถามก็สามารถตอบได้อย่างภาคภูมิใจว่าวันนี้เป็นเยี่ยงไร ชิงเหมยรู้สึกสนุกกับการได้มาศึกษายังสำนักศึกษาแห่งนี้ เพราะนอกจากจะทำให้นางได้มีความรู้แล้ว นางยังได้พบเจอกับมิตรสหายที่ดีอีกด้วย วันแรกของการเป็นศิษย์ใหม่ผ่านไปด้วยดี พวกศิษย์พี่ก็ต้อนรับพวกศิษย์น้องด้วยความโอบอ้อมอารี แม้นจะมีบางส่วนที่ไม่ค่อยชอบแสดงออก แต่ก็รู้สึกยินดีที่ปีนี้มีศิษย์น้องมากความสามารถหลายคน หลังจากเลิกเรียนศิษย์ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับเรือน ลูกหลานขุนนางและพวกเศรษฐีที่สอบผ่านได้เข้าศึกษา ณ สำนักศึกษาหวุนซีก็มีไม่น้อยจึงมีรถม้าของตระกูลมารอรับอยู่หน้าสำนักศึกษา ต่างจากชิงเหมย และหลิวหลูซินที่เดินกลับพร้อมกัน เพราะพวกนางต้องเข้าไปในตลาดก่อนที่จะกลับเรือน ซูฉีขึ้นรถม้าโบกมือลาสหายใหม่ทั้งสอง ชิงเหมยและหลิวหลูซินโบกมือลาอีกฝ่ายเช่นกัน ก่อนที่นางทั้งสองจะพากันเดินลัดเลาะไปตามทางที่สามารถเดินไปถึงตลาดซานฉีเพียงหนึ่งก้านธูป สองข้างทางยังมีผู้คนพลุกพล่านเพราะเป็นยามเซิน ชาวบ้านทักทายชิงเหมยตลอดทางจนทำให้หลูซินนึกประหลาดใจ ว่าเหตุใดชิงเหมยถึงได้มีผู้คนรู้จักนางได้มากมายถึงเพียงนี้หลังจากเฉียวจูจ้านและซูฉีเดินทางออกจากจวนกลับไปได้ไม่นาน เยว่อู๋ชางก็กลับมาจากในวังหลวง เพราะภรรยาตั้งครรภ์อ่อนๆ เขาจึงได้รับพระกรุณาจากองค์รัชทายาทให้กลับมาค้างที่จวนในทุกค่ำคืน จนกว่าครรภ์ของนางจะมั่นคง ถึงค่อยให้เขากลับไปดูแลพระองค์อย่างใกล้ชิดอีกครา“ท่านพี่กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เสียงหวานทักทายสามีที่กำลังเดินเข้ามาภายในศาลากลางน้ำ“อื้ม…แล้วนี่น้องหญิงกำลังทำสิ่งใดอยู่รึ”เขาเดินไปนั่งลงเคียงข้าง แล้วยกร่างบางขึ้นมานั่งบนตัก จากนั้นจึงหอมแก้มนางไปหนึ่งที สองสาวรับใช้คนสนิทและสาวรับใช้ที่อยู่คอยรับใช้นายหญิง ต้องรีบพากันหลุบตามองต่ำ“ท่านพี่!!! พวกสาวรับใช้อยู่กันเยอะแยะ ข้าอายพวกนางนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกระซิบเสียงดุใส่สามี สองแขนเรียวโอบล้อมรอบลำคอของเขาเพราะกลัวตกเซียงซุนและหยวนเวยพากันยิ้มออกมา ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเพียงใด ความรักที่นายท่านมีต่อนายหญิงหาได้ลดน้อยลงไม่ ทว่ามีแต่จะเพิ่มขึ้นในทุกวัน ยิ่งนายหญิงมีครรภ์เช่นนี้ นายท่านก็ดูจะทะนุถนอม และรักใคร่นายหญิงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ความสัมพันธ์ของสามีภรรยากลมเกล
หลังจากนอนค้างที่จวนตระกูลซิ่วได้เพียงหนึ่งคืน เช้านี้ชิงเหมยจำต้องติดตามผู้เป็นสามี เดินทางกลับเข้าเมืองหลวง ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบของเขา ทำให้นางมิอาจเอาแต่ใจตนเองได้ ก่อนเดินทางออกจากจวน นางและสามีก็ได้กินมื้อเช้าพร้อมหน้าพร้อมตา มีท่านย่า ท่านยาย และพี่น้องตระกูลซิ่วของนาง ท่านยายเล็ก ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้และลูกๆ ทั้งสองของท่านลุงนั้น ได้เดินทางกลับจวนตระกูลซุนไปตั้งแต่พิธีแต่งงานเสร็จสิ้นแล้ว ในวันที่นางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมจึงมิได้พบกับพวกเขา“เดินทางปลอดภัย ขอให้เจ้าจงรักษาตัวให้ดี หากมีเวลาก็กลับมาเยี่ยมยายบ้าง”ซุนฉีกล่าวในขณะที่นางออกมาส่งหลานสาวอยู่ที่ด้านหน้าจวน ยามนี้ขบวนขนสัมภาระและผู้ติดตามของหลานเขยกับหลานสาวเตรียมพร้อมหมดแล้ว รอเพียงแค่ให้ชิงเหมยได้ร่ำลาครอบครัวก่อนออกเดินทางก็เท่านั้น“เจ้าค่ะท่านยาย ท่านเองก็อย่าลืมรักษาสุขภาพให้ดี รอหลานกลับมาเยี่ยมนะเจ้าคะ”ชิงเหมยกล่าวออกมา น้ำเสียงข่มความอาลัยเอาไว้อย่างมิดชิด เพื่อไม่ให้ท่านยายเป็นห่วงนางมากนัก ครานี้เป็นคราแรกที่นางจะต้องห่างไกลจากท่านยายจริงๆ หาใช่เพียงแค่ไปไม่กี่
หลังจากที่เยว่อู๋ชางเดินออกจากห้องหอไปได้ไม่นานนัก สองสาวรับใช้คนสนิทของชิงเหมยก็เข้ามาด้านใน ร่างระหงนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ หยวนเวยจึงรีบไปเตรียมน้ำให้นางอาบ ส่วนเซียงซุนรับหน้าที่เข้าไปปัดกวาดเตียงนอน ครั้นได้เห็นร่องรอยของการร่วมหอในค่ำคืนที่ผ่านมา ใบหน้างามของสาวรับใช้ที่ยังไม่เคยออกเรือนก็ถึงกับร้อนผ่าว ในใจพลันรู้สึกยินดี ที่ท่านเขยและคุณหนูใหญ่ ไม่ได้ปล่อยให้คืนเข้าหอผ่านไปอย่างไร้ค่า“ข้าน้อยเตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู อุ๊ย!!! ฮูหยินเล็ก”หยวนเวยกลับเข้ามาภายในห้องพลางกล่าวรายงาน ก่อนที่นางจะปิดปากครั้นรู้ตัวว่านางเรียกขานสถานะเดิมของชิงเหมยที่เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิ่ว แล้วจึงเปลี่ยนคำเรียกขานคุณหนูใหญ่ของนางใหม่ ยามนี้คุณหนูใหญ่ก้าวผ่านค่ำคืนของการเป็นผู้ใหญ่มาแล้ว หมายความว่าบัดนี้ชิงเหมย นางได้กลายมาเป็นฮูหยินเล็กสกุลเยว่เต็มตัวแล้ว"ฮูหยินเล็ก อืม… ใช่แล้วล่ะ สถานะข้าในยามนี้กลายเป็นฮูหยินของพี่ชางแล้วสินะ" ใบหน้างามปรากฏคลื่นแห่งความสุขออกมา แม้จะยังคงง่วงงุนแต่ทว่าใบหน้าของนางกลับอิ่มเอิบ“เช้านี้ท่านเขยดูอารมณ์ดียิ่ง
ท่ามกลางความเงียบสงบจากภายนอก ภายในห้องหอกลับมีเสียงครางทุ้มหวานของคู่บ่าวสาว ดังสอดประสานกันขึ้นมาเป็นระยะ คราแรกที่ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มรุกล้ำเข้าไปภายในกลีบบุปผางามของนาง ชิงเหมยก็แทบจะปิดบังบังความเจ็บปวดเอาไว้ไม่อยู่ นางแสดงออกมาผ่านทางสีหน้าและแววตา ปลายหางตามีหยาดน้ำเปียกชุ่มอยู่เพียงเล็กน้อย แต่ทว่านางกลับไม่กล้าเอ่ยปากขัดขวางอารมณ์ที่เร่าร้อนของเขามือบางกอบกุมผ้าปูเตียงเอาไว้แน่น ก่อนที่นางจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ความรู้สึกเจ็บปวดในคราแรก จึงแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกวาบหวาม เร่าร้อน เข้ามาแทนที่ ยามนี้ผิวกายของนางและเขาต่างร้อนผ่าว ทุกคราที่เขาขยับโยกกาย ก่อให้เกิดความรู้สึกหลากหลาย สิ่งนี้น่ะหรือที่พวกผู้ใหญ่เรียกว่า หยินหยางสอดประสาน ชิงเหมยเพิ่งได้รู้ซึ้งก็ในวันนี้นี่เอง ความรู้สึกที่มีทั้งสุขและทุกข์ผสมผสานกันไป ทว่าความทุกข์นั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่หอมหวานชวนลุ่มหลง“น้องหญิง…เจ้าเจ็บหรือไม่”ชายหนุ่มเหนือร่างงามหาได้ทำตามแต่ใจตนเองผู้เดียวไม่ เขาหยุดจังหวะการรุกล้ำ แล้วเอ่ยถามความรู้สึกของผู้เป็นภรรยาออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แม้อารมณ์ใคร่
ขบวนสินเดิมของเจ้าสาวยาวเกือบหนึ่งลี้ ถือว่าไม่น้อยหน้าสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ผู้คนต่างพากันนึกอิจฉานางขึ้นมา ด้วยไม่คิดว่าสตรีที่เกิดจากตระกูลธรรมดาอย่างซุนฉี จะสามารถมอบสินเดิมให้กับหลานสาวมากมายถึงเพียงนี้ แม้ผู้คนจะรู้ดีว่ามิใช่ของตระกูลซุนเพียงตระกูลเดียว แต่ก็รู้สึกนับถือซุนฉี ที่อีกฝ่ายคอยเก็บสะสมทรัพย์สินมากมาย เพื่อให้หลานเป็นสินเดิมติดตัวไปยามออกเรือน“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะ ข้าน้อยเตรียมขนมมาให้ หากคุณหนูหิวก็กินรองท้องไปก่อนหนาเจ้าคะ ดูจากการเคลื่อนขบวนแล้ว ข้าน้อยคิดว่ากว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็คงอีกสองเค่อ” เซียงซุนเปิดม่านเกี้ยวแล้วบอกคุณหนูของนางด้วยความห่วงใย เพราะวันนี้คุณหนูหาได้กินสิ่งใดลงไม่ อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้น“อื้อ…”ชิงเหมยมองออกไปผ่านผ้าคลุมหน้าก็เห็นว่าข้างทางมีชาวบ้านมากมาย ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มออกมาด้วยความยินดี ทำให้นางรู้สึกประทับใจยิ่งนัก ไม่คิดว่างานแต่งงานของนางจะทำให้ผู้คนสนใจมาชื่นชมมากมายถึงเพียงนี้และก็เป็นอย่างที่เซียงซุนบอก เพราะกว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็ใช้เวลานานเกือบสองเค่
หนึ่งปีต่อมาวสันตฤดูเวียนมาถึง นั่นก็หมายความว่า กำหนดการพระราชทานสมรสระหว่างคุณชายรองสกุลเยว่กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วก็มาถึงเสียที ชิงเหมยต้องไปออกเรือนที่ตระกูลซิ่ว ทำให้ซุนฉี ซุนเฉียว เหลียงจง หลิวเวย และลูกๆ ทั้งสองของนาง ต้องเดินทางจากจวนตระกูลซุน ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านซานฉี เข้าเมืองถิงฮวาไปพำนักที่ตระกูลซิ่วชั่วคราว ก่อนที่จะถึงวันวิวาห์ เพื่อร่วมกันส่งหลานสาวออกเรือน“ข้ารู้สึกใจหายยิ่งนัก หลังจากเหมยเอ๋อร์ออกเรือนไปแล้ว ข้าจะทำเยี่ยงไร” ซุนฉีนึกใจหายขึ้นมา หลานสาวอาศัยอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด จนมาถึงวัยสิบแปดปี วัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือน“ท่านกล่าวอันใดเยี่ยงนั้น ท่านไม่อยากเห็นเหมยเอ๋อร์มีความสุขหรอกรึ” ผิงหลันแสร้งถามออกมาทั้งๆ ที่ใจนางเองก็ไม่ต่างจากซุนฉีแม้แต่น้อยหลังจากหลานสาวกลับจากเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม ชิงเหมยก็ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที เพราะว่าที่หลานเขยของนางต้องทำงานรับใช้ราชวงศ์ ไม่อาจลางานนานได้ และเพราะหน้าที่ของเขา ทำให้ไม่สะดวกต่อการเดินทางไกล จวนของเขาที่เตรียมไว้ยามนี้ตกแต่งไว้รอนายหญิงของจวนเรียบร้อยแล