กู่ซิงอีอดเป็นห่วงคุณชายว่านไม่ได้ตอนเดินตรวจตรารอบจวนจึงรีบไปรีบกลับ
ครั้นพอกลับมาก็มาหยุดยืนหน้าห้องน้ำส่งเสียงบอกคนด้านในว่าตนมาถึงแล้ว
“อาเซียวยังไม่กลับมาอีกหรือ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูเยือกเย็นเหมือนเดิมแล้ว
“เรื่องนี้บ่าวเองก็ไม่ทราบ ให้บ่าวไปถามคนอื่นดูหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีไม่รู้ว่าหลี่เซียวลากฉีหย่าไปไหน เมื่อครู่เดินไปทั่วฝั่งที่ตนดูแลแล้วก็ไม่พบคน ยามนี้ทางการมีคำสั่งห้ามออกจากจวนก็จริงแต่เกรงว่าคนอย่างคุณชายว่านคงไม่สนใจเรื่องคำสั่งพวกนั้น ท่าทางโกรธเกรี้ยวระคนขุ่นเคืองตอนโยนผ้าคลุมขามาให้ก็ดูท่าจะอารมณ์เสียไม่น้อย กู่ซิงอีมาถึงจุดนี้จึงคาดเดาได้แล้วว่าคนด้านในคงไม่ชอบให้ใครโดนตัวถึงได้ถามหาลูกน้องคนสนิทแบบนี้
“...” ว่านฟู่เฉิงถอนหายใจ เขาอยากออกจากน้ำสักพักแล้วแต่พยายามอย่างไรก็ส่งตัวเองออกไปไม่ไหว ถังไม้อาบน้ำใบนี้เพิ่งเปลี่ยนใหม่มันสูงกว่าใบเดิมที่เขาเคยใช้มากนัก หลี่เซียวก็คงปลีกตัวกลับมาไม่ได้ถึงได้ไปนานขนาดนี้ ยามนี้คงเดินหลบพวกทหารด้านนอกอยู่เป็นแน่
น้ำเริ่มอุ่นมากแล้วและหากแช่ต่อไปเนื้อตัวเขาคงเปื่อยยุ่ยไปกับน้ำแน่ สุดท้ายชั่งใจอยู่นานจึงเรียกคนด้านนอกเข้ามาหา “เข้ามา แล้วหยิบเสื้อคลุมตัวใหม่มาให้ด้วย”
กู่ซิงอีรับคำแล้วรีบกวาดตามองหาไปทั่วห้องนอน ไม่นานก็พบเสื้อคลุมสีขาวที่พาดอยู่กับราวไม้แถวตู้เสื้อผ้าพอดีจึงหยิบติดมือเข้าไปด้านใน เมื่อผลักประตูเข้าไปเป็นจังหวะว่านฟู่เฉิงเพิ่งสวมเสื้อสีขาวบางตัวเดิมกลับเข้าไปเสร็จพอดี กู่ซิงอีไม่ค่อยกระจ่างเท่าไรนัก อย่างไรก็บุรุษด้วยกันมีสิ่งใดให้นึกอาย คุณชายว่านช่างหน้าบางไปแล้ว
ทว่าพอมาประชิดตัวคนที่หันหลังอยู่ก็คล้ายจะเข้าใจแล้ว แม้คุณชายว่านจะผอมมากจนเขาสามารถยกขึ้นได้ง่ายราวกับยกไหสุราใบใหญ่ที่ทำเป็นประจำ แต่ลาดไหล่ก็กว้างสมเป็นบุรุษที่โตเต็มวัย เขาต้องยอมรับตามตรงว่าไหล่ของคุณชายว่านนั้นกว้างกว่าตนมากนัก คนที่อายยามนี้จึงกลายเป็นเขาแทน
แม้เขาจะสูงกว่าบุรุษในเมืองจางแต่เพราะใบหน้าที่ดูคล้ายสตรีอยู่บ้างและไหล่ที่ไม่กว้างทำให้ถูกเข้าใจผิดบ่อย ๆ ว่าเป็นสตรี ยามนี้พอได้เห็นรูปร่างสมชายของอีกฝ่ายจึงเกิดการเปรียบเทียบขึ้นมาในใจ
ในห้องอาบน้ำจุดตะเกียงน้ำมันไว้ค่อนข้างไกล แต่แม้จะมีเพียงแสงสลัวทว่าก็มองเห็นผิวกายของคุณชายว่านที่ถูกอาภรณ์เปียกน้ำแนบไปกับลำตัวได้อย่างชัดเจน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารูปร่างใต้เนื้อผ้าสีขาวบางก็ดูดีกว่าที่คนเดินไม่ได้พึงมียิ่งนัก
กู่ซิงอีไม่เคยคิดว่าคนผู้หนึ่งที่มีหน้าตางดงาม น้ำเสียงไพเราะ กระทั่งรูปร่างที่ผอมบางก็ยังน่ามอง ผมดำเงาที่เคยมัดรวบครึ่งหัวก็ถูกปล่อยยาวสยายดูน่าสัมผัส ในความรู้สึกด้อยกว่าอีกฝ่ายกู่ซิงอีก็เกิดความทอดถอนขึ้นมาในใจ คนที่เกิดมามีพร้อมทุกอย่างแต่ในวันหนึ่งกลับขาดสิ่งสำคัญไปย่อมไม่แปลกที่จะเก็บงำความรู้สึกและมีอารมณ์ฉุนเฉียวกว่าคนทั่วไป
กู่ซิงอีที่ชะงักไปชั่วครู่เพราะได้ยลโฉมคนงามก็รั้งสติกลับมา ถอยไปด้านหลังสองก้าวมองหาผ้าเช็ดตัวก่อน เพราะจะให้สวมเสื้อคลุมตัวใหม่ทับเลยก็ไม่ได้ แถมปกติเขาไม่เคยรับใช้ใครมาก่อนจึงเงอะงะไปบ้าง และยิ่งคุณชายว่านดูเหมือนจะไม่ชอบให้ใครโดนตัวก็ยิ่งแล้วใหญ่
เมื่อกู่ซิงอีได้ผ้าเช็ดตัวที่อยู่แถวนั้นมาแล้วก็นำผ้าเช็ดตัวคลุมไปบนแผ่นหลังของคนในถังไม้พยายามไม่ทำให้ผ้าไปโดนน้ำในถัง ก่อนจะก้มลงไปช้อนตัวคุณชายว่านที่ตัวเบาพอ ๆ กับไหสุราขึ้นมา คราวนี้แขนเสื้อเดิมที่เปียกน้ำไปก่อนหน้านี้ของเขาถูกเขาดึงขึ้นแล้วจึงไม่เปียกน้ำอีกรอบ กู่ซิงอีนึกเชยชมตนเองอยู่ในใจที่รอบคอบ
เขาพาคุณชายว่านไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งก่อน จากที่สังเกตตรงนี้น่าจะไว้ให้คุณชายเช็ดตัวและเปลี่ยนชุดคลุมก่อนออกไปด้านนอก
“คุณชายเช็ดตัวเสร็จแล้วค่อยเรียกบ่าวอีกทีนะขอรับ” กู่ซิงอีก้าวเท้าเพียงสี่ครั้งก็ออกจากห้องอาบน้ำไปแล้วปิดประตูลงเสียงเบา ยามนี้แม้แขนเสื้อจะไม่เปียกแต่เสื้อผ้าเขาก็เปียกไปเต็ม ๆ เพิ่งนึกชมตนเองไปยามนี้จึงร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก
ใบหน้าว่านฟู่เฉิงบูดบึ้ง ไม่อยากให้ใครถูกตัวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ดีที่บ่าวคนนี้รู้งานไม่มองมาที่เขาสักนิดไม่เช่นนั้นเมื่อครู่เขาคงรู้สึกเหมือนเดิมอีกเป็นแน่
ความรู้สึกที่ว่านั้นชวนให้นึกถึงช่วงแรกที่เดินไม่ได้ขึ้นมา เวลาเขาไปไหนมาไหนผู้คนมักจะมองมาที่เขาด้วยสายตาที่แตกต่างออกไปจากปกติ ทั้งสนใจ เวทนาสงสาร หรืออยากรู้ ไม่ก็สมน้ำหน้าด้วยความอิจฉา
แต่กับบ่าวรับใช้คนเมื่อครู่เขาไม่เห็นเลยสักนิดว่าในแววตานั้นคิดสิ่งใดอยู่ บ่าวตรวจเวรคนก่อนหน้านี้ที่เคยผ่านมาเจอเขาในช่วงค่ำยังมีท่าทางหวาดหวั่นกระวนกระวาย แต่ก็มีน้ำใจที่จะช่วย ทว่าคนผู้นี้คล้ายไร้ความรู้สึกไปแล้ว
ว่านฟู่เฉิงไม่คิดมากอีก ถอดชุดตัวเดิมออกแล้วเช็ดตัวให้แห้งก่อนจะสวมชุดคลุมที่บ่าวคนเมื่อครู่วางไว้ให้จนเรียบร้อยแล้วถึงได้เอ่ยปากเรียกบ่าวผู้นั้นเข้ามาหาอีกรอบ แต่กลับพบว่ารอบนี้เป็นหลี่เซียวที่กลับมาถึงจวนแล้วเข้ามาแทน
“คุณชาย”
“จัดการอย่างไร” ว่านฟู่เฉิงถามเรื่องสตรีคนนั้นก่อน
“พากลับโรงเตี๊ยมแล้ว พรุ่งนี้สั่งให้คนไปส่งนางที่ตระกูลเซี่ยบอกว่าคุณชายส่งคนไปให้ขอรับ”
ว่านฟู่เฉิงผงกหัวลงเล็กน้อยเป็นเชิงเข้าใจ
สตรีผู้นั้นคราแรกเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการกระทำของนางเท่าไรนักและคร้านจะใส่ใจจึงมองข้ามไป แต่ไม่คิดว่าเรื่องที่ดูบังเอิญหลายครั้งขนาดนี้จะนำมาถึงจุดนี้ได้ และก็ยังมีส่วนหนึ่งที่ยังคงติดค้างในใจ แต่เขากลับไม่สามารถเชื่อมต่อความสงสัยนั้นได้ในทันที
เช้าวันรุ่งขึ้นว่านฟู่เฉิงก็ถามหาคนกับหลี่เซียว “บ่าวคนเมื่อวานที่อยู่ในห้องตอนข้าอาบน้ำมีนามว่าอะไร”
“...ดูเหมือนจะมาใหม่ ข้าน้อยเองก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่อเช้าลุงหวังแจ้งว่าเขาลาออกไปแล้วขอรับ” เนื่องจากหลี่เซียวทำหน้าที่รับใช้ข้างกายคุณชายจำต้องรู้เรื่องหลายอย่างในจวนก็จริงแต่เพราะอีกฝ่ายเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานเขายังไม่ทันได้รู้จักจึงไม่สามารถตอบได้ในทันที รู้เพียงแค่ว่าคนงานใหม่ลาออกไปแล้วก็เท่านั้น
ว่านฟู่เฉิงนิ่งเงียบไปสักพัก เมื่อคืนเขาคิดอยู่นานว่าบ่าวคนนั้นหน่วยก้านไม่เลว นิสัยแม้จะดูซื่อบื้อไปบ้างและความรู้สึกด้านชาค่อนข้างมากแต่ก็ดูค่อนข้างคล่องแคล่ว เลยคิดจะนำมาไว้ใช้งานข้างกาย เพิ่งได้เจอคนที่จะใช้งานได้หน่อยก็ออกไปเสียแล้ว ปกติบ่าวรับใช้มักจะทำงานค่อนข้างทนเพราะงานหายาก แต่คนผู้นั้นกลับลาออกไปเสียดื้อ ๆ ทั้งที่เพิ่งมาใหม่ นึกว่าทำงานได้ดีแล้วจะอยู่นานกว่านี้เสียอีก
หลี่เซียวลอบมองดูท่าทางเหม่อลอยที่แปลกไปของเจ้านายอยู่ด้านข้าง คุณชายของเขามักชอบนั่งเงียบ ๆ คนเดียวบ่อยครั้ง เวลาทำงานก็ชอบความสงบไม่ชอบให้ใครมารบกวน แต่ไม่เคยเห็นเหม่อลอยแบบนี้มาก่อน ทว่าเขาก็อยู่กับคุณชายมานาน ย่อมรู้ดีว่าไม่ควรถามให้มากความ
ค่ำคืนวันนี้ไร้ดวงจันทร์คอยส่องแสงอย่างเคย ทางเบื้องหน้ามืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นทางเดิน แต่กู่ซิงอีกลับไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวอย่างที่คิด อาจเป็นเพราะยามนี้เขาได้ขี่อยู่บนหลังผู้อื่น ลำตัวแนบชิดกับคนที่กำลังเดินอยู่จนไร้ช่องว่างระหว่างกาย รับรู้ได้ถึงแผ่นหลังที่สั่นไหวเบา ๆ ทำให้รู้ว่ายังมีใครอีกคนอยู่กับตนเสมอ กู่ซิงอีกระชับอ้อมแขนที่เกี่ยวคอคนออกแรงอยู่เพิ่มขึ้นอีกนิด “อีกนานหรือไม่” เขาเอ่ยถามออกไปเพราะรู้สึกว่าตนถูกแบกมาไกลมากแล้ว กระนั้นว่านฟู่เฉิงก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดิน “เสี่ยวอี เหนื่อยแล้วหรือ” ว่านฟู่เฉิงเดินช้าลงและย่ำเท้าด้วยความเบา ด้วยเกรงว่าตนอาจจะเดินเร็วไปจนตัวสะเทือนทำให้คนที่อยู่บนหลังรู้สึกไม่สบายตัว “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร ท่านเป็นคนแบกข้าอยู่นะ” กู่ซิงอีซบคางลงที่ไหล่ของว่านฟู่เฉิง ใจจริงแล้วเขาอยากให้เวลาหยุดอยู่เช่นนี้ตลอดไปเลยต่างหาก ถึงได้กำลังกลัวว่าจุดหมายปลายทางจะมาถึงเร็วเกินไป กระนั้นก็ยังอดห่วงว่าว่านฟู่เฉิงจะหนักอยู่ดีเลยไม่ได้บอกความในใจออกไป กู่ซิงอีเพิ่งได้รู้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ว่านฟู่เฉิงถูกเขาแบกขึ้นบนหลังเดินไ
หลี่เซียวที่กำลังเดินอยู่ในจวนก็พบกับคุณชายของตนกำลังเดินมาหาด้วยท่าทางเร่งรีบ เขาไม่ได้เดินไปหาอย่างที่ควรจะเป็น กลับรอคุณชายเดินเข้ามาหาตนที่หยุดรออยู่ก่อนแล้วแทน พลางคิดในใจว่า เอาอีกแล้ว ! “เห็นเสี่ยวอีของข้าหรือไม่” นั่นไง จะมีสิ่งใดที่เขาเดาผิดไปจากท่าทางเร่งรีบของคุณชายได้อีก ! “เมื่อครู่พอคุณชายกู่เตรียมรากบัวต้มน้ำตาลอยู่ในครัวเสร็จแล้วคิดจะถือนำไปให้คุณชายด้วยตัวเอง แต่ไม่ทันระวังเผลอสะดุดจนของในมือหกรดตัวเอง ตอนนี้น่าจะกำลังไปเปลี่ยนชุดขอรับ” “สะดุดหรือ ! แล้วเสี่ยวอีบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” ว่านฟู่เฉิงพูดค่อนข้างเร็วอย่างหาได้อยาก แทบจะยืนไม่ติดที่อยู่แล้ว ตอนนี้ร่างกายอยู่ตรงนี้แต่หัวใจกลับลอยไปไกลแล้ว “ไม่เป็นอะไรมากขอรับ คุณชายกู่ทรงตัวได้ทันจึงไม่ได้ล้มพับไปกับพื้น แถมรากบัวก็มิได้ร้อนมากและก็เพียงเปื้อนโดนปลายอาภรณ์เล็กน้อยเท่านั้น” สิ่งที่หลี่เซียวไม่ได้กล่าวจนหมดก็คือกู่ซิงอีนั้นร้อนรนขนาดไหนหลังจากทำขนมหกใส่ตัวเอง เอ่ยปากบ่นอยู่หลายประโยคว่าชุดนั้นคุณชายเป็นคนเลือกให้ตนเองกับมือแถมยังแพงมากด้วย ครั้นบ่นเสร็จก็รีบจาก
ด้วยเพราะรู้ว่ากู่ซิงอีหลับลึกขนาดไหน ว่านฟู่เฉิงจึงใช้เรื่องนี้ในการแอบเอาเปรียบกู่ซิงอีอยู่บ่อยครั้ง อย่างเช่นเมื่อคืนที่เขาตื่นมากลางดึกและพบว่ามีใครแอบขยับมาซุกกายแนบชิดตนอยู่ แบบนั้นมีหรือจะอดใจไหว เผลอกัดกู่ซิงอีไปหลายทีจนกระทั่งอีกฝ่ายส่งเสียงฮึมฮัมในลำคอเหมือนจะรู้สึกตัวเขาถึงได้แสร้งหลับลงไปตามเดิม แต่กลับไม่ได้ปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เมื่อก่อนจะแอบทำทีไรต้องหักห้ามใจตลอด แต่บัดนี้ทั้งคู่ตบแต่งกันแล้ว เขาขอเชยชมสักนิดก็คงไม่เป็นไรกระมัง แต่อาจเพราะเผลอตัวมากไป กลับกระทำการไม่แนบเนียน โดนจับได้ตั้งแต่อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา “คุณชายว่าน เมื่อคืนทำอะไรแปลก ๆ หรือไม่” ว่านฟู่เฉิงหันมองคนที่ลุกขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง เพราะกู่ซิงอีขี้ร้อนเป็นทุนเดิมเวลาสวมเสื้อผ้านอนมักจะมัดหลวม ๆ พอตื่นนอนมาทีไรเสื้อผ้าที่มัดไม่แน่นก็จะหลุดลุ่ยอย่างเช่นตอนนี้ อาภรณ์ที่เปิดกว้างเผยให้เห็นแผ่นอกขาวเนียนบางส่วนที่มีรอยช้ำจาง ๆ ผมดำเงาชี้ฟูเล็กน้อย ดวงตาก็หรี่เล็กลงยังไม่ทันลืมตาได้เต็มที่ แต่กลับถามเหมือนรู้บางอย่างเช่นนี้ เล่นเอาคนที่กำลังยกน้ำชาไปให้รู้สึกร
รุ่งอรุณก่อนวันงานเทศกาลฉีเฉียว “เสี่ยวอี เจ้ากำลังจะไปที่ใด” ว่านฟู่เฉิงเพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาและกำลังลุกขึ้นนั่งก็ทันได้เห็นกู่ซิงอีที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเข้าพอดี แถมดูท่าทางรีบร้อนเหมือนจะออกไปจากห้อง เมื่อถามเสร็จเขาก็เบนสายตามองดูท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง ฟ้ายังไม่ทันสว่างเท่าไรนักน่าจะเลยยามเฉิน[1]มาเพียงไม่นาน ([1] ยามเฉิน คือ 07.00 – 08.59 น. ) แน่นอนว่าปกติทั้งสองคนต่างพากันตื่นเช้ากว่านี้นัก แต่เมื่อวานคุยกันแล้วว่าจะหยุดทำงานสามวัน เหตุใดกู่ซิงอีถึงลุกมาแต่งตัวคล้ายจะไปทำงานอีก ต่อให้ปกติพวกเขาจะสลับทำงานที่จวนและที่ร้านว่าน และวันนี้คือวันที่ต้องทำงานที่จวน ทว่าว่านฟู่เฉิงอยากให้ดูไม่มีความน่าสงสัยจึงเปลี่ยนเป็นหยุดงานทั้งหมดแทน คำกล่าวเช่นนั้นก็รวมถึงงานที่จวนก็ไม่ต้องทำมิใช่หรือ หยุดก็คือหยุด ไหนเลยกลับคาดไม่ถึงว่ากู่ซิงอีจะไม่เข้าใจสิ่งที่หมายถึงให้หยุดอยู่จวนจริง ๆ ครั้นพอได้เห็นอีกฝ่ายแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปที่ห้องทำงาน “ไปร้านขนมไฉ่ที่ข้าชอบอย่างไรเล่า นานครั้งเราถึงจะว่างในช่วงเช้าแบบนี้ รอบนี้ก็ไม่ต้องวานให้คนอื่นไปต่อแถวแทน ได้
อีกทั้งด้ายแดงที่เด่นชัดแม้อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้จากข้อมือแต่ละข้างของว่านฟู่เฉิงและกู่ซิงอีก็ดูคล้ายกันยิ่งนัก คนแอบมองจิตใจลนลานรีบหันกลับไปด้วยดวงตาเบิกโพลง ก้าวเดินตามหลังคนนำทางไปติด ๆ ด้วยท่าทางที่เร่งรีบขึ้นกว่าเดิมราวกับกำลังโดนไฟไล่เผาก้นมา สิ่งที่คนภายนอกกล่าวมาเรื่องฮูหยินของตระกูลว่านไม่มีที่มาที่ไปที่แน่ชัดหลอมรวมกับการกระทำของคนทั้งสองด้านหลัง และยังบวกกับก่อนหน้านี้ที่ได้พูดคุยกับกู่ซิงอีก็คล้ายว่างานทั้งหมดของตระกูลว่านได้ตกอยู่ในมือกู่ซิงอีแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่นึกขึ้นได้จึงไม่ใช่ตนคิดไปเองแน่ ๆ ทว่าเซี่ยหลี่จวินแม้จะได้ล่วงรู้ความลับเรื่องนี้เข้าแต่ก็ไม่ได้คิดจะป่าวประกาศให้คนอื่นได้รับรู้หรอก เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก เนื่องจากตระกูลว่านเป็นคนเปิดเส้นทางหลายสายให้เขา ดังนั้นนอกจากแตะว่านฟู่เฉิงไม่ได้แล้ว ก็ยิ่งห้ามทำให้กู่ซิงอีไม่พอใจอีกด้วย ! ถ้าล่วงรู้อนาคตได้ว่าเรื่องราวจะดำเนินมาเป็นแบบนี้เขาคงจะเห็นใจกู่ซิงอีอีกสักหน่อย บางทีตัวเขาอาจได้ผลประโยชน์มากกว่าให้บุตรสาวของตนตบแต่งกับน้องชายบุญธรรมของว่านฟู่
“ขอรับ !” หลี่เซียวรีบร้อนรับคำก่อนจากไป ฉีหย่าหันมองซ้ายขวาด้วยความตกใจ นางจะถูกปฏิบัติอย่างนี้จริง ๆ หรือ นางไม่งดงามหรือไรทำไมคุณชายว่านถึงไม่คิดจะสนใจหรือเมตตานางสักนิด แม้จะต้องยอมรับว่าสองคนตรงหน้านางรูปงามไร้ที่ติ แต่นางไม่คิดว่าตนเองจะด้อยค่าถึงเพียงนี้ ! จังหวะนั้นเองประตูห้องบานเดิมพลันเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้เป็นนายท่านเซี่ยเดินออกมา พอเห็นบ่าวในจวนของตนที่นั่งกองกับพื้นก็ฉงน ที่แท้คนที่ส่งเสียงดังเมื่อครู่ก็คือฉีหย่าสาวรับใช้ที่บุตรสาวทิ้งไว้ที่จวนเมื่อสองปีก่อน สตรีนางนี้แม้หน้าตาจะงดงามแต่กลับทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง มีดีแค่ดนตรีกับร่ายรำ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับการทำงานในจวนได้เล่า ดังนั้นสำหรับเขาแล้วนางแทบไม่มีสิ่งใดให้ใช้งานได้เลย ตัวเขาแทบไม่อยากพามาทว่านางก็ดื้อดึงขอตามมาจนได้ เขายังกลัวว่าฮูหยินของตนจะเข้าใจผิดด้วยซ้ำ บัดนี้ยังจะมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ เซี่ยหลี่จวินหันมองว่านฟู่เฉิงด้วยความระวัง กลัวว่าสิ่งที่เคยสัญญาไว้จะถูกยกเลิกเพียงเพราะบ่าวรับใช้ในจวนของตนเอง “คุณชายว่าน เป็นข้าไม่อบรมบ่