เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา
การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่า
ในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
แรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้าควรปฏิบัติตัวอย่างไรต่อเธอและความรู้สึกแปลกๆที่ยังคงค้างอยู่ในจิตใจตั้งแต่พบกันครั้งแรก แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของเรากลับเป็นธรรมชาติขึ้นเรื่อย ๆ ความสดใสและจริงใจของโรสรินทำให้กำแพงที่ข้าเคยสร้างไว้พังทลายลงโดยไม่รู้ตัว เราหัวเราะไปด้วยกัน สนทนากันจนลืมเวลา และในที่สุด... เราก็กลายเป็นเพื่อนกันอย่างแท้จริง
ทว่า ในขณะที่ข้าสนิทกับโรสรินขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีอีกความรู้สึกหนึ่งที่ข้ายังไม่อาจเข้าใจได้ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เฟริกซ์—หัวใจของข้าสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาของเขาเหมือนกับมหาสมุทรลึกล้ำที่ดึงดูดให้ข้าหลงใหล เสียงหัวเราะอ่อนโยนของเขาก้องกังวานอยู่ในความคิดข้า แม้แต่แสงแดดที่ทอดผ่านเส้นผมสีส้มของเขาก็ยังทำให้ข้าเผลอจ้องมองอยู่นานเกินไป อีกทั้งบรรยากาศอันเย็นเฉียบที่เขาแผ่ออกมาในตอนแรกหลังจากงานเลี้ยงน้ำชานั้นเขาก็ไม่เคยแสดงมันออกมาอีกเลย กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน
ข้าไม่เข้าใจเลย... ทำไมทุกครั้งที่เขาเอ่ยชื่อข้า เสียงของข้าถึงสั่นเครือ ทำไมทุกครั้งที่เขาส่งยิ้มให้ ข้าถึงต้องหันหน้าหนีเพื่อซ่อนสีแดงที่แต้มบนแก้มของตนเอง ทำไมกันนะ... ทำไมข้าถึงรู้สึกเช่นนี้กับเขา?
แต่ช่างเถิด... ข้าตัดสินใจแล้วว่าตอนนี้ข้าจะไม่ครุ่นคิดถึงมันมากเกินไป สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าคือการใช้เวลาร่วมกับพวกเขาอย่างเต็มที่ สนุกกับทุกช่วงเวลาที่ผ่านเข้ามา ก่อนที่พวกเขาจะไปที่ เอลโดเรีย ในเดือนหน้า....
แสงอ่อนของดวงอาทิตย์ยามบ่ายส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เติมบรรยากาศเงียบสงบที่เหมาะแก่การอ่านหนังสือเป็นอย่างยิ่ง ข้านั่งสบาย ๆ บนเก้าอี้ตัวโปรด โดยมีหนังสือเล่มหนาเปิดค้างอยู่บนตัก ดวงตาจับจ้องไปยังตัวอักษรที่บรรยายถึงตำนานโบราณของเทพธิดาแห่งการสร้างสรรค์ อิลิธา และเทพธิดาแห่งการทำลายล้าง มอร์กาธา
ไม่ว่าจะเป็นตำนาน บันทึกประวัติศาสตร์ นิยาย นิทาน หนังสือภาพข้าอ่านเกี่ยวกับเรื่องเล่านี้มานับมากมาย...
"อ๊า ข้าไม่ไหวแล้วเหมือนหัวจะระเบิดเลย" โรสรินที่พูดพลางบิดขี้เกียจยืดตัวคลายความล้าจากท่านั่งนานๆ "เรายังเหลืออีกหนึ่งบทนะโรสริน" เฟริกซ์กล่าวขึ้นในขณะที่ยังคงนั่งเขียนหนังสือต่ออยู่
"ข้ารู้แล้วหรอกน่า ขอพักแป๊บหนึ่งซิ! พัก-แป๊บ-หนึ่ง!" โรสรินพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้งแสนน่ารัก ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้ามาหาข้าที่นั่งอยู่ห่างไม่ไกลจากโต๊ะหนังสือนั่นมากนัก ตอนนี้ทั้งสองกำลังทบทวนบทเรียนเตรียมที่จะไปเรียน ณ เอลโดเรีย อยู่นางเดินมาหาข้าจนข้าเห็นปลายเท้านางที่หางตา
"อ่านอะไรอยู่เหรอเพคะ ท่านออเรเลีย? " เธอถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ข้าเงยหน้าขึ้น ยิ้มเล็กน้อย "ตำนานน่ะของเทพธิดาอิลิธากับมอร์กาธา"
ดวงตาของโรสรินเปล่งประกายขึ้นมาทันที "โอ้ ข้าก็ชอบตำนานนี้เหมือนกันเพคะ! ตอนเด็ก ๆ ท่านแม่มักจะเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังอยู่บ่อย ๆ" เธอเอนตัวเข้ามาใกล้ขึ้น ดวงตาสะท้อนความตื่นเต้น "ว่าแต่ท่านชอบตำนานนี้มากเลยหรือเพคะ? ข้ามักจะเห็นท่านชอบอ่านเกี่ยวกับตำนานนี้อยู่เป็นประจำเลย"
ข้าปิดหนังสือพลางพลิกหน้าปกให้เธอดู "เปล่าหรอก..." ข้าหยุดคิดไปชั่วขณะ
โรสรินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ "ข้าชอบตอนที่อิลิธาสร้างดอกไม้แรกขึ้นมาม๊ากมาก มันเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและความงาม แต่ก็เตือนเราด้วยว่าทุกการเริ่มต้นใหม่ล้วนผ่านความลำบากมาก่อนดั่งดอกไม้กว่าจะงอกงามก็ต้นพ้นจากการเป็นเมล็ด และมอร์กาธา เวลาที่พระองค์ทำลายจะดูเหมือนโหดร้ายแต่จริง ๆ แล้วพระองค์กำลังฟื้นฟูสมดุลกลับสู่โลกต่างหาก พระองค์สอนเราว่าบางครั้งเราต้องปล่อยวางสิ่งเก่าเพื่อเปิดทางให้สิ่งใหม่"
ในตอนนั้นเอง เฟริกซ์ ก็ลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาพวกเรา บทสนทนาของเราทั้งคู่คงจะดึงดูดความสนใจของเขา
"ความหมายที่แท้จริงของเทพธิดาแห่งการสร้างสรรค์และเทพธิดาแห่งการทำลายล้างนั้นไม่ได้มีแต่ความเรียบง่ายอย่างชื่อหรอกนะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ข้าเงยหน้ามองเขาอย่างสนใจ "เจ้าหมายความว่ายังไงเหรอ?"
เขาก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย แววตาครุ่นคิด "เทพธิดาแห่งการสร้างสรรค์ อิลิธา ไม่ได้เพียงแค่สร้างจักรวาลและชีวิตเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ—หากมีคนภาวนาต่อพระองค์และหากคำภาวนานั้นส่งถึง พระองค์ทรงสามารถสร้างได้แม้กระทั่งโอกาสในชีวิต ความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่งและความสำเร็จ ไปจนถึงความสุขในทุกรูปแบบพ่ะย่ะค่ะ"
ข้ารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที "งั้นหรือ?"
เฟริกซ์กล่าวต่อ "เทพธิดาแห่งการทำลายล้างไม่ได้ทำลายชีวิตเพียงเพื่อรักษาสมดุลของโลก หากมีคนภาวนาต่อเธอ เธอสามารถกำจัดได้ไม่ใช่แค่ภัยคุกคาม แต่รวมไปถึงโรคร้าย ภยันตราย อุปสรรคต่อความสำเร็จ ศัตรู ความยากจน—และความทุกข์ทุกรูปแบบพ่ะย่ะค่ะ" เขาหยุดชั่วครู่เพื่อจับสังเกตปฏิกิริยาของข้า "เป็นสองด้านที่ทรงพลังเปรียบเสมือนเหรียญเดียวกันที่มีสองด้าน สะท้อนถึงความซับซ้อนของชีวิตโดยแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ"
"นั่นเป็นมุมมองใหม่ที่ข้าไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย ขอบใจเจ้ามาก" ข้ายอมรับด้วยน้ำเสียงตื่นตะลึง "ข้าเคยมองบทบาทของพวกเธออย่างเรียบง่ายเกินไป แต่สิ่งที่เจ้าพูด... มันทำให้ข้ามองตำนานนี้ในแง่มุมที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง"
โรสรินพยักหน้าเห็นด้วย ดวงตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น "นั่นมันน่าทึ่งจริง ๆ เฟริกซ์ทำไมเจ้าไม่เคยเล่าให้ข้าฟังมาก่อนเลยล่ะ?"
"ก็เจ้าไม่เคยถามข้านี่?" เสียงหัวเราะคิกคักดังภายในห้องสมุดของวังข้า ช่างเป็นบรรยากาศที่ดีอะไรเช่นนี้ แต่กระนั้นคำพูดของเฟริกซ์ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดข้า คำภาวนา อย่างงั้นหรือ บางทีที่ข้าได้มีความสุขในตอนนี้อาจเป็นเพราะคำภาวนาของข้าส่งถึงพระองค์แล้วก็เป็นได้กระมั้ง...
ยามราตรีที่เงียบสงบจันทร์เต็มดวงลอยขึ้นสู่ฟ้าส่องสว่าง ข้าพบว่าตัวเองถูกโอบล้อมด้วยความมืด เสียงสะท้อนจากความเป็นจริงค่อยๆ เลือนหายไป จนเหลือเพียงภาพอันเงียบสงบและแสนอ่อนโยน อยู่ๆภาพๆหนึ่งก็ฉายขึ้นมา ความรู้สึกของมันสมจริงเกินกว่าที่ข้าจะแยกแยะได้ ข้านั่งอยู่ริมแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลเอื่อยภายในสวนเขตพระราชวังหลวง บรรยากาศอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก ดอกไม้สีสันสวยงามโอบล้อมข้าราวกับอ้อมกอดที่อ่อนโยน
ตรงหน้าข้าคือชายผู้มีเรือนผมสีเงินราวกับแสงจันทร์ ใบหน้าของเขาถูกบดบังบางส่วน ทำให้ยิ่งดูน่าหลงใหลและลึกลับ แต่ถึงอย่างนั้น ข้ากลับรู้สึกคุ้นเคยกับเขาอย่างประหลาด หัวใจของข้าเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและความปีติอันลึกซึ้งที่ไม่อาจอธิบายได้
ข้าโน้มตัวเข้าไปใกล้ จ้องลึกลงไปในดวงตาอบอุ่นของเขาที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวแม้ข้าจะไม่อาจเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนก็ตาม “โอ้ xxxxที่รักของข้า...” ข้าเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยความรัก ในห้วงเวลานี้ ทุกสิ่งดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ ความสุขส่องประกายจากจิตวิญญาณของข้า เติมเต็มหัวใจให้พองโตหัวใจที่ขาดความรักมาเนิ่นนาน
เขายิ้มตอบข้า ยิ้มอันอ่อนโยนที่ให้ความรู้สึกมั่นคงและเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีถัดมา ภาพฝันอันแสนอบอุ่นนี้ก็เริ่มแปรเปลี่ยน ข้าถูกพัดพาไปยังสถานที่ใหม่—ระเบียงห้องภายในห้องนอนข้า จันทร์เต็มดวงส่องต้องพระราชวังหลวงงดงาม แม้ในยามราตรีกับสว่างไสวประดุจกลางวัน
โลกในฝันนี้ช่างดูเหมือนจริง บรรยากาศเย็นสบายพร้อมสายลม ข้าพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของชายคนนั้น ความหนักแน่นของอ้อมกอดเขาทำให้ข้ารู้สึกมั่นคง ราวกับจะไม่มีสิ่งใดสามารถพรากเราให้แยกจากกันไปได้อีก
แต่แล้ว บรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ความอบอุ่นที่โอบล้อมพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นเยียบ ข้ารู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ ก่อนที่ความเจ็บปวดแหลมคมจะแล่นผ่านร่างกาย
ข้าอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เมื่อก้มมองลงไป ข้าเห็นมีดปักอยู่ที่หน้าท้องของข้า....
ความตื่นตระหนกพวยพุ่งขึ้นในใจ ข้าหันไปจ้องมองชายตรงหน้า มือของเขายังถือกริชไว้แน่น ดวงตาที่เคยมอบความอ่อนโยนกลับดูเย็นชาไร้ความรู้สึก
“ทำไม...?” ข้าร้องออกมา เสียงสั่นเครือด้วยความเจ็บปวดและความไม่เข้าใจ เลือดไหลขึ้นจากช่องท้องสู่คอและทะลักออกมาจากปากของข้า
“ทำไมเจ้าถึงหลอกลวงข้า...?”
“ทำไมเจ้าถึงทรยศข้า...?”
"ทำไมเจ้าถึงไม่รักข้า...?"
ร่างกายของข้าเริ่มอ่อนแรง ข้ารู้สึกถึงแรงกอดของเขาที่ค่อยๆ คลายลง ก่อนที่ข้าจะล้มลงจากอ้อมแขนของเขา ความสับสนและความปวดร้าวปะปนกันไปหมด
ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่สติของข้าจะดับวูบ "ลาก่อนจักรพรรดินีผู้เลือดเย็น ออเรเลีย...." ใบหน้าของชายคนนั้นค่อยๆ เปลี่ยนไป สีผมเงินเรืองรองแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มเพลิง
"เฟริกซ์?!" ข้าตะโกนชื่อของเขาด้วยเสียงที่สั่นสะท้าน หัวใจบีบรัดด้วยความเศร้าโศก โกรธแค้น และรัก.....
ข้าสะดุ้งตื่นขึ้นมา พร้อมใช้สองมือกุมลงไปที่หน้าท้อง เศษเสี้ยวของฝันร้ายยังคงเกาะติดข้าไว้ราวกับใยแมงมุมบางเบาที่ถักทอจากความหวาดกลัว หัวใจของข้าเต้นรัวอยู่ในอก บีบให้ข้าต้องสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ ห้องรอบตัวข้ามีเพียงแสงสลัว เงาดำทาบทับอยู่ตามมุมห้อง ทว่าจิตใจของข้ากลับยังสับสน ติดอยู่ในเงามืดของความฝัน
น้ำตาไหลอาบแก้มโดยที่ข้าไม่รู้ตัว ทิ้งร่องรอยแห่งความเจ็บปวดไว้บนผิวของข้า ข้ารีบใช้หลังมือเช็ดมันออก พยายามดึงตัวเองกลับสู่ความเป็นจริง สัมผัสอ่อนโยนของผ้าห่มและเสียงแผ่วเบาจากภายนอกช่วยให้ข้าค่อยๆ กลับมารับรู้ถึงปัจจุบัน แต่ภาพฝันที่น่าสะพรึงนั้นยังคงคืบคลานอยู่ในใจ
ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่?
ความคิดของข้าวกกลับไปหาชายผู้มีเรือนผมสีเงิน ผู้ที่เติมเต็มความฝันของข้าด้วยความอบอุ่นและความรัก เขาดูคุ้นเคยเหลือเกิน แต่ในขณะเดียวกันก็น่าฉงนใจ เมื่อข้าย้อนนึกถึงฉากในฝัน ข้าไม่อาจปัดเป่าความรู้สึกเชื่อมโยงอันรุนแรงที่มีต่อเขาออกไปได้
เขาคือเฟริกซ์หรือ? ถ้าเป็นเขาจริงๆทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น?
อะไรคือสิ่งที่เขาหักหลังข้า? แล้วเราสองคนรักกันหรอ? ถ้าใช้แล้วกริชเล่มนั้นที่แทงใส่ข้าโดยไม่ลังเลคืออะไร?
ความเจ็บปวดและสับสนจากฝันยังคงชัดเจนเกินไป ราวกับว่ามันเป็นของจริง หรือมันคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง หรือกำลังจะเกิด? ข้ากดฝ่ามือลงบนหน้าท้อง ตรงจุดที่ความปวดร้าวจากฝันยังคงหลอกหลอน มันเป็นเพียงภาพหลอน... หรือว่ามันมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น?
ข้าหายใจถี่ขึ้นขณะที่พยายามทำความเข้าใจกับพายุอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา ความหวาดกลัว ความสับสน และความรู้สึกแปลกประหลาดราวกับถูกทรยศ ทุกอย่างพันกันยุ่งเหยิงในหัวใจของข้า
ข้านั่งตัวตรงขึ้น ปล่อยให้ลมกลางคืนเย็นเฉียบลูบไล้ผิวกาย แล้วโอบกอดตัวเองเพื่อให้รู้สึกมั่นคงขึ้น เสียงแห่งราตรีภายนอกเงียบสงบ ขัดแย้งกับความโกลาหลที่ยังคงหมุนวนอยู่ภายในใจข้า
ข้าปิดตาลงอีกครั้ง พยายามร้อยเรียงความทรงจำในฝัน—ช่วงเวลาสงบที่ริมแม่น้ำ อ้อมกอดที่อบอุ่น การทรยศของชายคนนั้น และภาพของเส้นผมที่เปลี่ยนจากสีเงินเป็นสีส้มเพลิง
“เฟริกซ์...” ข้ากระซิบชื่อของเขาท่ามกลางความเงียบของห้อง ราวกับกำลังทดสอบน้ำเสียงของตัวเองเป็นครั้งที่สองในคืนนี้
หัวใจของข้าสั่นไหวเพียงแค่เอ่ยนามของเขา มันจะเป็นเพียงแค่ฝันร้ายจริงๆนะหรือ? ถ้าหากว่ามันคือความรู้สึกแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของข้าล่ะ ข้ากำลังหวาดกลัวเขาอยู่?
คำถามมากมายยังคงก้องอยู่ในหัวข้า ราวกับฝูงผึ้งที่ไม่มีวันสงบ ข้าถอนหายใจยาว ปล่อยความคิดของตัวเองล่องลอยไปกับสายลมแห่งราตรี
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร—ทั้งฝันบ้าๆพวกนี้ รวมถึงความรู้สึกที่มีต่อเฟริกซ์—เมื่อตะวันขึ้น ข้าจะต้องหาคำตอบมันให้ได้เร็ววัน
แต่สำหรับตอนนี้ ข้าเอนตัวลงกับหมอน สายตาจับจ้องเพดานด้วยดวงตาอันหนักอึ้ง "คืนนี้ข้าควรไปนอนกับ เอลลี่ ดีไหมนะ..."
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่พิธีราชาภิเษก ข้าก็ยังคงอยู่ในวังหลวง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยพลังงานแห่งการเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง สถาบันเอลโดเรียยังอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน ทำให้คาลิเบลมักวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ข้า เขาแวะเวียนมาที่ห้องของข้าอยู่บ่อยครั้ง ราวกับอยากชดเชยช่วงเวลาที่เราห่างหายกันไปนานและด้วยความคิดถึงกระมั้ง ข้ายินดีต้อนรับการมาเยือนของเขาเสมอ บอกตามตรงความร่าเริงของเขาเป็นเสมือนดวงไฟอุ่นที่ช่วยปลอบประโลมข้าให้คลายจากความกดดันในบรรยากาศของวังหลวงยิ่งไปกว่านั้น เฟลิกซ์กับโรซลินก็มักจะแวะมาเป็นครั้งคราว และที่น่าแปลกใจที่คือ ทั้งคู่คือเพื่อนที่คาลิเบลเคยเอ่ยถึงในจดหมายที่ส่งมาให้ข้าเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรแต่โลกช่างกลมยิ่งนักอย่างไรก็ตาม ข้ากลับไม่อาจสลัดความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจับตามองไปได้เลย หลังจากวันพิธี ข้าเริ่มได้รับคำเชิญไปงานน้ำชาจากขุนนางชั้นสูงอย่างต่อเนื่อง มากกว่าทุกครั้งที่เคยได้รับในช่วงที่อยู่ที่ชีทูเรีย เป็นไปได้ว่าท่าทีของข้าในวันนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่พวกเขาจับตามอง บันทึกไว้ราวกับเป็นวัตถุจัดแสดงที่น่าสนใจ ช่างน่าขำนี่ขนาดยังไม
รองเท้าส้นสูงของข้ากระทบสู่พื้นท้องพระโรงสถานที่จัดพิธี เสียงฮือฮาแห่งความตื่นเต้นยังคงถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นซัดหลังจากเสียง ของมหาดเล็กสิ้นสุดลง ใต้แสงระย้าจากโคมไฟระย้าหรูหรา การตกแต่งสีทองอร่ามส่องประกายเจิดจ้า ทว่าในขณะที่ข้าเดินไปที่บัลลังค์ข้างซ้ายองค์จักรพรรดิ เสียงกระซิบแห่งการดูแคลนและแปลใจต่างแทรกผ่านหมู่ชน ราวกับอสรพิษแฝงตัวกลางฝูงคนไม่หยุดหย่อน เหมือนข้าเป็น"องค์หญิงน้อยคนนั้นใช่ เจ้าหญิงออเรเลีย ใช่ไหม? ข้าพึ่งจะเคยเห็นนางครั้งแรกเลย""ข้าเองก็ไม่เคยเห็นนางออกงานสังคมที่ไหนมาก่อนเช่นกัน ขนาด ท่านคาลิเบล ข้ายังเคยเข้าเฝ้าในงานวันคล้ายวันประสูติ แต่ข้าไม่เคยเห็นนางสักครั้ง""มีเพียงขุนนางชั้นสูงบางคนที่เคยเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเคยเห็นนางเท่านั้นเอง"“ข้าได้ข่าวว่า นางถูกไล่ให้ไปอยู่แถวชานเมืองจนถึงเมื่อไม่นานมานี้เองด้วยนะ”"ที่ ชิทูเรีย ใช่หรือไม่? ข้าได้ยินข่าวว่านางเปลี่ยนแปลงเมืองนั้นยกใหญ่เลยนี่""ไม่ใช่ว่านั่นเป็นฝีมือของเจ้าเมืองและนางแอบอ้างชื่อตนเองเพื่อเอาความดีไปถวายองค์จักรพรรดิหรอกหรือ?""ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นางน่าจะโง่เขลาพอสมควรที่จะเอาใจองค์จักรพรรดิเช่นนั้น
ข้ากวาดตามองห้องที่เคยเป็นที่พักพิงของข้ามาหลายเดือน แม้จะรู้ดีว่าสักวันจะต้องจากไป แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงจริง ๆ หัวใจกลับรู้สึกหนักอึ้งกว่าที่คิด ข้าปิดหีบสัมภาระใบสุดท้าย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินออกจากห้องโดยไม่หันกลับไปมอง เมื่อข้ามาถึงลานกว้างหน้าเรือนหลัก รถม้ากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับวังหลวง พวกคนรับใช้ยืนรอส่งข้าอย่างเงียบงัน ข้ารู้สึกเศร้าที่ต้องกล่าวอำลาพวกเขา โดยเฉพาะสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ประตู เอลลี่และเซอร์ไอเดน ข้าหยุดยืนตรงหน้าเอลลี่ ก่อนจะยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้กับนาง "เอลลี่... หลังจากข้าไปแล้ว เจ้าค่อยเปิดอ่านจดหมายนี้นะ" ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม ดวงตาของเอลลี่เต็มไปด้วยความลังเล ข้ารู้ว่านางอยากจะถาม แต่ข้ากลับรีบพูดต่อก่อนที่นางจะเอ่ยปาก "ลองปรึกษากับเซอร์ไอเดนดู ไม่ว่าพวกเจ้าจะตัดสินใจกันอย่างไรข้าก็จะยอมรับมัน นี่อาจเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัว ใจจริงข้าไม่อยากลากพวกเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ว่า..." ข้าพูดไม่จบประโยค เพียงแค่ดึงเอลลี่เข้ามากอดแน่น ข้ารู้ว่านางกำลังสั่นเทา และข้าเองก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าจะอย
เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทนเอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?" "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อเอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้นซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งย
เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่าในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้า
ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำใ