ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้วนับตั้งแต่พิธีราชาภิเษก ข้าก็ยังคงอยู่ในวังหลวง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยพลังงานแห่งการเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง สถาบันเอลโดเรียยังอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน ทำให้คาลิเบลมักวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ ข้า เขาแวะเวียนมาที่ห้องของข้าอยู่บ่อยครั้ง ราวกับอยากชดเชยช่วงเวลาที่เราห่างหายกันไปนานและด้วยความคิดถึงกระมั้ง ข้ายินดีต้อนรับการมาเยือนของเขาเสมอ บอกตามตรงความร่าเริงของเขาเป็นเสมือนดวงไฟอุ่นที่ช่วยปลอบประโลมข้าให้คลายจากความกดดันในบรรยากาศของวังหลวงยิ่งไปกว่านั้น เฟลิกซ์กับโรซลินก็มักจะแวะมาเป็นครั้งคราว และที่น่าแปลกใจที่คือ ทั้งคู่คือเพื่อนที่คาลิเบลเคยเอ่ยถึงในจดหมายที่ส่งมาให้ข้าเมื่อก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรแต่โลกช่างกลมยิ่งนักอย่างไรก็ตาม ข้ากลับไม่อาจสลัดความรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจับตามองไปได้เลย หลังจากวันพิธี ข้าเริ่มได้รับคำเชิญไปงานน้ำชาจากขุนนางชั้นสูงอย่างต่อเนื่อง มากกว่าทุกครั้งที่เคยได้รับในช่วงที่อยู่ที่ชีทูเรีย เป็นไปได้ว่าท่าทีของข้าในวันนั้นได้กลายเป็นสิ่งที่พวกเขาจับตามอง บันทึกไว้ราวกับเป็นวัตถุจัดแสดงที่น่าสนใจ ช่างน่าขำนี่ขนาดยังไม
รองเท้าส้นสูงของข้ากระทบสู่พื้นท้องพระโรงสถานที่จัดพิธี เสียงฮือฮาแห่งความตื่นเต้นยังคงถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นซัดหลังจากเสียง ของมหาดเล็กสิ้นสุดลง ใต้แสงระย้าจากโคมไฟระย้าหรูหรา การตกแต่งสีทองอร่ามส่องประกายเจิดจ้า ทว่าในขณะที่ข้าเดินไปที่บัลลังค์ข้างซ้ายองค์จักรพรรดิ เสียงกระซิบแห่งการดูแคลนและแปลใจต่างแทรกผ่านหมู่ชน ราวกับอสรพิษแฝงตัวกลางฝูงคนไม่หยุดหย่อน เหมือนข้าเป็น"องค์หญิงน้อยคนนั้นใช่ เจ้าหญิงออเรเลีย ใช่ไหม? ข้าพึ่งจะเคยเห็นนางครั้งแรกเลย""ข้าเองก็ไม่เคยเห็นนางออกงานสังคมที่ไหนมาก่อนเช่นกัน ขนาด ท่านคาลิเบล ข้ายังเคยเข้าเฝ้าในงานวันคล้ายวันประสูติ แต่ข้าไม่เคยเห็นนางสักครั้ง""มีเพียงขุนนางชั้นสูงบางคนที่เคยเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเคยเห็นนางเท่านั้นเอง"“ข้าได้ข่าวว่า นางถูกไล่ให้ไปอยู่แถวชานเมืองจนถึงเมื่อไม่นานมานี้เองด้วยนะ”"ที่ ชิทูเรีย ใช่หรือไม่? ข้าได้ยินข่าวว่านางเปลี่ยนแปลงเมืองนั้นยกใหญ่เลยนี่""ไม่ใช่ว่านั่นเป็นฝีมือของเจ้าเมืองและนางแอบอ้างชื่อตนเองเพื่อเอาความดีไปถวายองค์จักรพรรดิหรอกหรือ?""ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง นางน่าจะโง่เขลาพอสมควรที่จะเอาใจองค์จักรพรรดิเช่นนั้น
ข้ากวาดตามองห้องที่เคยเป็นที่พักพิงของข้ามาหลายเดือน แม้จะรู้ดีว่าสักวันจะต้องจากไป แต่เมื่อเวลานั้นมาถึงจริง ๆ หัวใจกลับรู้สึกหนักอึ้งกว่าที่คิด ข้าปิดหีบสัมภาระใบสุดท้าย ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินออกจากห้องโดยไม่หันกลับไปมอง เมื่อข้ามาถึงลานกว้างหน้าเรือนหลัก รถม้ากำลังเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางกลับวังหลวง พวกคนรับใช้ยืนรอส่งข้าอย่างเงียบงัน ข้ารู้สึกเศร้าที่ต้องกล่าวอำลาพวกเขา โดยเฉพาะสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ประตู เอลลี่และเซอร์ไอเดน ข้าหยุดยืนตรงหน้าเอลลี่ ก่อนจะยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้กับนาง "เอลลี่... หลังจากข้าไปแล้ว เจ้าค่อยเปิดอ่านจดหมายนี้นะ" ข้ากล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม ดวงตาของเอลลี่เต็มไปด้วยความลังเล ข้ารู้ว่านางอยากจะถาม แต่ข้ากลับรีบพูดต่อก่อนที่นางจะเอ่ยปาก "ลองปรึกษากับเซอร์ไอเดนดู ไม่ว่าพวกเจ้าจะตัดสินใจกันอย่างไรข้าก็จะยอมรับมัน นี่อาจเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัว ใจจริงข้าไม่อยากลากพวกเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ว่า..." ข้าพูดไม่จบประโยค เพียงแค่ดึงเอลลี่เข้ามากอดแน่น ข้ารู้ว่านางกำลังสั่นเทา และข้าเองก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าจะอย
เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทนเอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?" "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อเอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้นซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งย
เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่าในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้า
ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำใ