เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา
การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่า
ในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้น
แรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้าควรปฏิบัติตัวอย่างไรต่อเธอและความรู้สึกแปลกๆที่ยังคงค้างอยู่ในจิตใจตั้งแต่พบกันครั้งแรก แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของเรากลับเป็นธรรมชาติขึ้นเรื่อย ๆ ความสดใสและจริงใจของโรสรินทำให้กำแพงที่ข้าเคยสร้างไว้พังทลายลงโดยไม่รู้ตัว เราหัวเราะไปด้วยกัน สนทนากันจนลืมเวลา และในที่สุด... เราก็กลายเป็นเพื่อนกันอย่างแท้จริง
ทว่า ในขณะที่ข้าสนิทกับโรสรินขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีอีกความรู้สึกหนึ่งที่ข้ายังไม่อาจเข้าใจได้ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เฟริกซ์—หัวใจของข้าสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาของเขาเหมือนกับมหาสมุทรลึกล้ำที่ดึงดูดให้ข้าหลงใหล เสียงหัวเราะอ่อนโยนของเขาก้องกังวานอยู่ในความคิดข้า แม้แต่แสงแดดที่ทอดผ่านเส้นผมสีส้มของเขาก็ยังทำให้ข้าเผลอจ้องมองอยู่นานเกินไป อีกทั้งบรรยากาศอันเย็นเฉียบที่เขาแผ่ออกมาในตอนแรกหลังจากงานเลี้ยงน้ำชานั้นเขาก็ไม่เคยแสดงมันออกมาอีกเลย กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน
ข้าไม่เข้าใจเลย... ทำไมทุกครั้งที่เขาเอ่ยชื่อข้า เสียงของข้าถึงสั่นเครือ ทำไมทุกครั้งที่เขาส่งยิ้มให้ ข้าถึงต้องหันหน้าหนีเพื่อซ่อนสีแดงที่แต้มบนแก้มของตนเอง ทำไมกันนะ... ทำไมข้าถึงรู้สึกเช่นนี้กับเขา?
แต่ช่างเถิด... ข้าตัดสินใจแล้วว่าตอนนี้ข้าจะไม่ครุ่นคิดถึงมันมากเกินไป สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าคือการใช้เวลาร่วมกับพวกเขาอย่างเต็มที่ สนุกกับทุกช่วงเวลาที่ผ่านเข้ามา ก่อนที่พวกเขาจะไปที่ เอลโดเรีย ในเดือนหน้า....
แสงอ่อนของดวงอาทิตย์ยามบ่ายส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เติมบรรยากาศเงียบสงบที่เหมาะแก่การอ่านหนังสือเป็นอย่างยิ่ง ข้านั่งสบาย ๆ บนเก้าอี้ตัวโปรด โดยมีหนังสือเล่มหนาเปิดค้างอยู่บนตัก ดวงตาจับจ้องไปยังตัวอักษรที่บรรยายถึงตำนานโบราณของเทพธิดาแห่งการสร้างสรรค์ อิลิธา และเทพธิดาแห่งการทำลายล้าง มอร์กาธา
ไม่ว่าจะเป็นตำนาน บันทึกประวัติศาสตร์ นิยาย นิทาน หนังสือภาพข้าอ่านเกี่ยวกับเรื่องเล่านี้มานับมากมาย...
"อ๊า ข้าไม่ไหวแล้วเหมือนหัวจะระเบิดเลย" โรสรินที่พูดพลางบิดขี้เกียจยืดตัวคลายความล้าจากท่านั่งนานๆ "เรายังเหลืออีกหนึ่งบทนะโรสริน" เฟริกซ์กล่าวขึ้นในขณะที่ยังคงนั่งเขียนหนังสือต่ออยู่
"ข้ารู้แล้วหรอกน่า ขอพักแป๊บหนึ่งซิ! พัก-แป๊บ-หนึ่ง!" โรสรินพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้งแสนน่ารัก ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้ามาหาข้าที่นั่งอยู่ห่างไม่ไกลจากโต๊ะหนังสือนั่นมากนัก ตอนนี้ทั้งสองกำลังทบทวนบทเรียนเตรียมที่จะไปเรียน ณ เอลโดเรีย อยู่นางเดินมาหาข้าจนข้าเห็นปลายเท้านางที่หางตา
"อ่านอะไรอยู่เหรอเพคะ ท่านออเรเลีย? " เธอถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ข้าเงยหน้าขึ้น ยิ้มเล็กน้อย "ตำนานน่ะของเทพธิดาอิลิธากับมอร์กาธา"
ดวงตาของโรสรินเปล่งประกายขึ้นมาทันที "โอ้ ข้าก็ชอบตำนานนี้เหมือนกันเพคะ! ตอนเด็ก ๆ ท่านแม่มักจะเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังอยู่บ่อย ๆ" เธอเอนตัวเข้ามาใกล้ขึ้น ดวงตาสะท้อนความตื่นเต้น "ว่าแต่ท่านชอบตำนานนี้มากเลยหรือเพคะ? ข้ามักจะเห็นท่านชอบอ่านเกี่ยวกับตำนานนี้อยู่เป็นประจำเลย"
ข้าปิดหนังสือพลางพลิกหน้าปกให้เธอดู "เปล่าหรอก..." ข้าหยุดคิดไปชั่วขณะ
โรสรินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ "ข้าชอบตอนที่อิลิธาสร้างดอกไม้แรกขึ้นมาม๊ากมาก มันเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและความงาม แต่ก็เตือนเราด้วยว่าทุกการเริ่มต้นใหม่ล้วนผ่านความลำบากมาก่อนดั่งดอกไม้กว่าจะงอกงามก็ต้นพ้นจากการเป็นเมล็ด และมอร์กาธา เวลาที่พระองค์ทำลายจะดูเหมือนโหดร้ายแต่จริง ๆ แล้วพระองค์กำลังฟื้นฟูสมดุลกลับสู่โลกต่างหาก พระองค์สอนเราว่าบางครั้งเราต้องปล่อยวางสิ่งเก่าเพื่อเปิดทางให้สิ่งใหม่"
ในตอนนั้นเอง เฟริกซ์ ก็ลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาพวกเรา บทสนทนาของเราทั้งคู่คงจะดึงดูดความสนใจของเขา
"ความหมายที่แท้จริงของเทพธิดาแห่งการสร้างสรรค์และเทพธิดาแห่งการทำลายล้างนั้นไม่ได้มีแต่ความเรียบง่ายอย่างชื่อหรอกนะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท" เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ข้าเงยหน้ามองเขาอย่างสนใจ "เจ้าหมายความว่ายังไงเหรอ?"
เขาก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเล็กน้อย แววตาครุ่นคิด "เทพธิดาแห่งการสร้างสรรค์ อิลิธา ไม่ได้เพียงแค่สร้างจักรวาลและชีวิตเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ—หากมีคนภาวนาต่อพระองค์และหากคำภาวนานั้นส่งถึง พระองค์ทรงสามารถสร้างได้แม้กระทั่งโอกาสในชีวิต ความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่งและความสำเร็จ ไปจนถึงความสุขในทุกรูปแบบพ่ะย่ะค่ะ"
ข้ารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที "งั้นหรือ?"
เฟริกซ์กล่าวต่อ "เทพธิดาแห่งการทำลายล้างไม่ได้ทำลายชีวิตเพียงเพื่อรักษาสมดุลของโลก หากมีคนภาวนาต่อเธอ เธอสามารถกำจัดได้ไม่ใช่แค่ภัยคุกคาม แต่รวมไปถึงโรคร้าย ภยันตราย อุปสรรคต่อความสำเร็จ ศัตรู ความยากจน—และความทุกข์ทุกรูปแบบพ่ะย่ะค่ะ" เขาหยุดชั่วครู่เพื่อจับสังเกตปฏิกิริยาของข้า "เป็นสองด้านที่ทรงพลังเปรียบเสมือนเหรียญเดียวกันที่มีสองด้าน สะท้อนถึงความซับซ้อนของชีวิตโดยแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ"
"นั่นเป็นมุมมองใหม่ที่ข้าไม่เคยคิดถึงมาก่อนเลย ขอบใจเจ้ามาก" ข้ายอมรับด้วยน้ำเสียงตื่นตะลึง "ข้าเคยมองบทบาทของพวกเธออย่างเรียบง่ายเกินไป แต่สิ่งที่เจ้าพูด... มันทำให้ข้ามองตำนานนี้ในแง่มุมที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง"
โรสรินพยักหน้าเห็นด้วย ดวงตาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น "นั่นมันน่าทึ่งจริง ๆ เฟริกซ์ทำไมเจ้าไม่เคยเล่าให้ข้าฟังมาก่อนเลยล่ะ?"
"ก็เจ้าไม่เคยถามข้านี่?" เสียงหัวเราะคิกคักดังภายในห้องสมุดของวังข้า ช่างเป็นบรรยากาศที่ดีอะไรเช่นนี้ แต่กระนั้นคำพูดของเฟริกซ์ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดข้า คำภาวนา อย่างงั้นหรือ บางทีที่ข้าได้มีความสุขในตอนนี้อาจเป็นเพราะคำภาวนาของข้าส่งถึงพระองค์แล้วก็เป็นได้กระมั้ง...
ยามราตรีที่เงียบสงบจันทร์เต็มดวงลอยขึ้นสู่ฟ้าส่องสว่าง ข้าพบว่าตัวเองถูกโอบล้อมด้วยความมืด เสียงสะท้อนจากความเป็นจริงค่อยๆ เลือนหายไป จนเหลือเพียงภาพอันเงียบสงบและแสนอ่อนโยน อยู่ๆภาพๆหนึ่งก็ฉายขึ้นมา ความรู้สึกของมันสมจริงเกินกว่าที่ข้าจะแยกแยะได้ ข้านั่งอยู่ริมแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลเอื่อยภายในสวนเขตพระราชวังหลวง บรรยากาศอบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก ดอกไม้สีสันสวยงามโอบล้อมข้าราวกับอ้อมกอดที่อ่อนโยน
ตรงหน้าข้าคือชายผู้มีเรือนผมสีเงินราวกับแสงจันทร์ ใบหน้าของเขาถูกบดบังบางส่วน ทำให้ยิ่งดูน่าหลงใหลและลึกลับ แต่ถึงอย่างนั้น ข้ากลับรู้สึกคุ้นเคยกับเขาอย่างประหลาด หัวใจของข้าเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นและความปีติอันลึกซึ้งที่ไม่อาจอธิบายได้
ข้าโน้มตัวเข้าไปใกล้ จ้องลึกลงไปในดวงตาอบอุ่นของเขาที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวแม้ข้าจะไม่อาจเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจนก็ตาม “โอ้ xxxxที่รักของข้า...” ข้าเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เปี่ยมไปด้วยความรัก ในห้วงเวลานี้ ทุกสิ่งดูเหมือนจะสมบูรณ์แบบ ความสุขส่องประกายจากจิตวิญญาณของข้า เติมเต็มหัวใจให้พองโตหัวใจที่ขาดความรักมาเนิ่นนาน
เขายิ้มตอบข้า ยิ้มอันอ่อนโยนที่ให้ความรู้สึกมั่นคงและเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีถัดมา ภาพฝันอันแสนอบอุ่นนี้ก็เริ่มแปรเปลี่ยน ข้าถูกพัดพาไปยังสถานที่ใหม่—ระเบียงห้องภายในห้องนอนข้า จันทร์เต็มดวงส่องต้องพระราชวังหลวงงดงาม แม้ในยามราตรีกับสว่างไสวประดุจกลางวัน
โลกในฝันนี้ช่างดูเหมือนจริง บรรยากาศเย็นสบายพร้อมสายลม ข้าพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมแขนของชายคนนั้น ความหนักแน่นของอ้อมกอดเขาทำให้ข้ารู้สึกมั่นคง ราวกับจะไม่มีสิ่งใดสามารถพรากเราให้แยกจากกันไปได้อีก
แต่แล้ว บรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ความอบอุ่นที่โอบล้อมพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นเยียบ ข้ารู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ ก่อนที่ความเจ็บปวดแหลมคมจะแล่นผ่านร่างกาย
ข้าอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก เมื่อก้มมองลงไป ข้าเห็นมีดปักอยู่ที่หน้าท้องของข้า....
ความตื่นตระหนกพวยพุ่งขึ้นในใจ ข้าหันไปจ้องมองชายตรงหน้า มือของเขายังถือกริชไว้แน่น ดวงตาที่เคยมอบความอ่อนโยนกลับดูเย็นชาไร้ความรู้สึก
“ทำไม...?” ข้าร้องออกมา เสียงสั่นเครือด้วยความเจ็บปวดและความไม่เข้าใจ เลือดไหลขึ้นจากช่องท้องสู่คอและทะลักออกมาจากปากของข้า
“ทำไมเจ้าถึงหลอกลวงข้า...?”
“ทำไมเจ้าถึงทรยศข้า...?”
"ทำไมเจ้าถึงไม่รักข้า...?"
ร่างกายของข้าเริ่มอ่อนแรง ข้ารู้สึกถึงแรงกอดของเขาที่ค่อยๆ คลายลง ก่อนที่ข้าจะล้มลงจากอ้อมแขนของเขา ความสับสนและความปวดร้าวปะปนกันไปหมด
ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่สติของข้าจะดับวูบ "ลาก่อนจักรพรรดินีผู้เลือดเย็น ออเรเลีย...." ใบหน้าของชายคนนั้นค่อยๆ เปลี่ยนไป สีผมเงินเรืองรองแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มเพลิง
"เฟริกซ์?!" ข้าตะโกนชื่อของเขาด้วยเสียงที่สั่นสะท้าน หัวใจบีบรัดด้วยความเศร้าโศก โกรธแค้น และรัก.....
ข้าสะดุ้งตื่นขึ้นมา พร้อมใช้สองมือกุมลงไปที่หน้าท้อง เศษเสี้ยวของฝันร้ายยังคงเกาะติดข้าไว้ราวกับใยแมงมุมบางเบาที่ถักทอจากความหวาดกลัว หัวใจของข้าเต้นรัวอยู่ในอก บีบให้ข้าต้องสูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ ห้องรอบตัวข้ามีเพียงแสงสลัว เงาดำทาบทับอยู่ตามมุมห้อง ทว่าจิตใจของข้ากลับยังสับสน ติดอยู่ในเงามืดของความฝัน
น้ำตาไหลอาบแก้มโดยที่ข้าไม่รู้ตัว ทิ้งร่องรอยแห่งความเจ็บปวดไว้บนผิวของข้า ข้ารีบใช้หลังมือเช็ดมันออก พยายามดึงตัวเองกลับสู่ความเป็นจริง สัมผัสอ่อนโยนของผ้าห่มและเสียงแผ่วเบาจากภายนอกช่วยให้ข้าค่อยๆ กลับมารับรู้ถึงปัจจุบัน แต่ภาพฝันที่น่าสะพรึงนั้นยังคงคืบคลานอยู่ในใจ
ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่?
ความคิดของข้าวกกลับไปหาชายผู้มีเรือนผมสีเงิน ผู้ที่เติมเต็มความฝันของข้าด้วยความอบอุ่นและความรัก เขาดูคุ้นเคยเหลือเกิน แต่ในขณะเดียวกันก็น่าฉงนใจ เมื่อข้าย้อนนึกถึงฉากในฝัน ข้าไม่อาจปัดเป่าความรู้สึกเชื่อมโยงอันรุนแรงที่มีต่อเขาออกไปได้
เขาคือเฟริกซ์หรือ? ถ้าเป็นเขาจริงๆทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น?
อะไรคือสิ่งที่เขาหักหลังข้า? แล้วเราสองคนรักกันหรอ? ถ้าใช้แล้วกริชเล่มนั้นที่แทงใส่ข้าโดยไม่ลังเลคืออะไร?
ความเจ็บปวดและสับสนจากฝันยังคงชัดเจนเกินไป ราวกับว่ามันเป็นของจริง หรือมันคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง หรือกำลังจะเกิด? ข้ากดฝ่ามือลงบนหน้าท้อง ตรงจุดที่ความปวดร้าวจากฝันยังคงหลอกหลอน มันเป็นเพียงภาพหลอน... หรือว่ามันมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น?
ข้าหายใจถี่ขึ้นขณะที่พยายามทำความเข้าใจกับพายุอารมณ์ที่ถาโถมเข้ามา ความหวาดกลัว ความสับสน และความรู้สึกแปลกประหลาดราวกับถูกทรยศ ทุกอย่างพันกันยุ่งเหยิงในหัวใจของข้า
ข้านั่งตัวตรงขึ้น ปล่อยให้ลมกลางคืนเย็นเฉียบลูบไล้ผิวกาย แล้วโอบกอดตัวเองเพื่อให้รู้สึกมั่นคงขึ้น เสียงแห่งราตรีภายนอกเงียบสงบ ขัดแย้งกับความโกลาหลที่ยังคงหมุนวนอยู่ภายในใจข้า
ข้าปิดตาลงอีกครั้ง พยายามร้อยเรียงความทรงจำในฝัน—ช่วงเวลาสงบที่ริมแม่น้ำ อ้อมกอดที่อบอุ่น การทรยศของชายคนนั้น และภาพของเส้นผมที่เปลี่ยนจากสีเงินเป็นสีส้มเพลิง
“เฟริกซ์...” ข้ากระซิบชื่อของเขาท่ามกลางความเงียบของห้อง ราวกับกำลังทดสอบน้ำเสียงของตัวเองเป็นครั้งที่สองในคืนนี้
หัวใจของข้าสั่นไหวเพียงแค่เอ่ยนามของเขา มันจะเป็นเพียงแค่ฝันร้ายจริงๆนะหรือ? ถ้าหากว่ามันคือความรู้สึกแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของข้าล่ะ ข้ากำลังหวาดกลัวเขาอยู่?
คำถามมากมายยังคงก้องอยู่ในหัวข้า ราวกับฝูงผึ้งที่ไม่มีวันสงบ ข้าถอนหายใจยาว ปล่อยความคิดของตัวเองล่องลอยไปกับสายลมแห่งราตรี
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร—ทั้งฝันบ้าๆพวกนี้ รวมถึงความรู้สึกที่มีต่อเฟริกซ์—เมื่อตะวันขึ้น ข้าจะต้องหาคำตอบมันให้ได้เร็ววัน
แต่สำหรับตอนนี้ ข้าเอนตัวลงกับหมอน สายตาจับจ้องเพดานด้วยดวงตาอันหนักอึ้ง "คืนนี้ข้าควรไปนอนกับ เอลลี่ ดีไหมนะ..."
เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทนเอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?" "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อเอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้นซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งย
เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่าในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้า
ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำใ
ความว่างเปล่ากลืนกินสติของข้าหลังจากการต่อสู้ ข้าต่อสู้อย่างสุดกำลัง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องชาวเมือง แต่ในที่สุด ความอ่อนล้าก็ตามทัน ข้าหมดสติท่ามกลางความโกลาหลรอบตัวในห้วงนิทราลึก ข้าพบว่าตัวเองจมดิ่งสู่ความฝัน มันทั้งชัดเจนและเลือนรางในคราวเดียวกัน เหมือนจริงจนน่าประหลาดใจ แต่ก็คล้ายกับบางสิ่งที่ข้าไม่อาจไขว่คว้าได้ ภาพเลือนรางปรากฏขึ้นตรงหน้า—เงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยเงาอันเร้นลับ ทำให้ข้ามองเห็นไม่ชัด ทว่าผมสีส้มเพลิงของเขาส่องประกายราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ท่ามกลางความมืดแห่งนั้น แรงดึงดูดบางอย่างฉุดข้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัวเขายืนหันหลังให้ข้า และเมื่อข้าจ้องมองเขาอยู่นั้น เขาก็ค่อย ๆ หันกลับมา หัวใจข้าเต้นรัว ความคาดหวังพุ่งทะยานขึ้นสูง ทว่าในวินาทีที่เขาหันมาเผชิญหน้ากับข้า ข้ากลับไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย ข้ามองเห็นเพียงริมฝีปากของเขาขยับ เป็นถ้อยคำที่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้ ข้าพยายามเปล่งเสียงเรียกเขา ทว่าไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบเล็ดลอดจากริมฝีปากของข้า ข้าทำได้แค่เฝ้ามอง ขณะที่เขาขยับปากกล่าวบางอย่าง…แต่ข้าไม่ได้ยิน“ได้โ
ข้าก้าวเดินต้อยๆไปตามถนนที่คึกคักของชิทูเรีย ความตื่นเต้นและอารมณ์แห่งการผจญภัยหลอมรวมกันอยู่ในใจ ใบไม้เปลี่ยนสีของฤดูใบไม้ร่วงปลิวไสวราวกับเศษกระดาษสีที่โปรยปรายอยู่ในสายลมอ่อน ๆ มันเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่น่ายินดีจากการเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในวัง และเป็นโอกาสให้ข้าได้สัมผัสชีวิตของชาวเมืองแห่งนี้ด้วย แน่นอนด้วยเครื่องแต่งกายที่สุดแสนจะธรรมดา ทำให้ตอนนี้พวกเราแลดูเหมือนเป็นครอบครัวชาวเมืองที่มาเดินเล่นแถวตลาดแบบธรรมดาเอลลี่เดินอยู่ข้างข้า เสียงพูดคุยร่าเริงของเธอเติมเต็มอากาศ ขณะที่เธอชี้ให้ดูร้านค้าต่าง ๆ ที่เรียงรายอยู่สองฝั่งถนน“ฝ่าบาทเพคะ! ดูสิ ร้านนั้นขายขนมแลดูน่าอร่อยสุดๆไปเลยนะเพคะ! พวกเราควรซื้อมาลองทานกันสักหน่อยนะเพคะ” เธอเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้นข้ายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว กับความกระตือรือร้นและร่าเริงของนาง “ดูน่าสนใจดีนะ” ข้าตอบพลางมองไปที่แผงขายขนมอบที่มีของหวานหน้าตาน่าทาน กลิ่นหอมของแป้งที่อบใหม่ทำให้ข้าเผลอจินตนาการถึงรสสัมผัสของเปลือกขนมกรอบ ๆ และไส้หวานนุ่มละมุน ไม่ช้านาน เอลลี่ ก็กลับมาหาพวกเราที่ยืนรออยู่ไม่ห่างพร้อมขนมอบสามชิ้น ควันอุ่นๆลอยขึ้
วันฉลองพระชันษาครบรอบเจ็ดปีของ คาริเบล พึ่งผ่านไปเมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้เป็นวันที่สงบสุขในสวนพระราชวัง แสงอาทิตย์ส่องประกายอบอุ่น อาบไล้ทุกสิ่งให้เปล่งประกายสีทอง มอบความเป็นชีวิตชีวาให้ทุกสรรพสิ่งที่มันผ่าน อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน สีสันสดใสแต่งแต้มทิวทัศน์ให้ดูงดงามราว แต่ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความงามนี้ กลับมีสายตาและเสียงซุบซิบนินทาถึงข้าอยู่ร่ำไปขณะเดินเล่น ข้าพยายามเพิกเฉยต่อ คาลิเบล ที่เดินตามมาติด ๆออเรเลีย—เจ้าหญิงแห่งเงาของปราสาทบัดนี้ได้รับการเลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าหญิงตัวซวย เจ้าหญิงถูกทิ้ง บลาๆ ตามแต่ที่จะนินทา นั่นคือสิ่งทุกคนในวังไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ ไปจนถึงขุนนางบางคนที่เข้าออกวังมองข้า แต่ถึงกระนั้น คาลิเบล ผู้เป็นน้องชายตัวน้อยผู้เต็มไปด้วยพลัง ก็ยังคงวนเวียนกระโดดโลดเต้นตามข้าอย่างร่าเริง โดยไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เสียงหัวเราะของเขากังวานสดใสราวกับเสียงนกในฤดูใบไม้ผลิ"ท่านพี่!" เขาเรียกพลางดึงชายกระโปรงของข้า การกระทำของเขาบางครั้งก็ทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด แต่น้ำเสียงใสซื่อของเขาก็ทำให้หัวใจข้าอ่อนลงไปพร้อมกัน "เราไปเล่นกันที่น้ำพุได้ไหม?""ไม่,