แชร์

เส้นทางที่ไม่อาจบรรจบ

ผู้เขียน: Aesmech
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-05-23 15:40:58

ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด 

ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง 

โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับ

ขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำให้ข้าระวังตัว แม้ว่าเธอจะเข้าหาข้าอย่างเปิดเผยก็ตาม ข้าไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนี้ อาจเป็นเพราะความรู้สึกแปลกๆ ที่ได้พบกันครั้งแรกเลยทำให้ข้าสร้างกำแพงในใจบางอย่างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

โรสรินชวนข้าคุยสัพเพเหระต่างๆ นาๆ อาหาร ดอกไม้ ขนมที่ข้าชอบ หนังสือที่ข้าอ่าน ตลอดการสนทนา ข้ารู้สึกได้ถึงสายตาของเฟริกซ์ที่จับจ้องมาที่ข้าอยู่บ่อยครั้ง เขามักจะเหลือบมองข้าอย่างเงียบ ๆ ราวกับพยายามสังเกตอารมณ์ของข้า แต่ก็แน่ใจว่าจะไม่ให้ข้ารู้ตัวเสียทีเดียว และทุกครั้งที่สายตาของเราอาจสบกัน ข้ากลับเลือกที่จะเบือนหน้าหนี ไม่อาจอธิบายความรู้สึกหนักอึ้งที่ก่อตัวขึ้นระหว่างเราได้

แม้ว่าจะพยายามไม่สนใจ ข้าก็อดไม่ได้ที่จะมองเขากลับไปในบางครั้ง ข้ารู้สึกถึงความอบอุ่นในท่าทีของเขา และมีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดข้าเข้าหาเขา ราวกับเส้นด้ายที่มองไม่เห็นกำลังชักนำข้าโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขาพูดคุยหรือถามคำถามกับข้า ทำไมข้าถึงได้รู้สึกใจเต้นและไม่กล้าสบตาเขาโดยตรงแบบแปลกๆ ใบหน้ายิ้มแย้มของเขาทำให้ ข้ารู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่างกายรวมไปถึงความรู้สึกยินดีที่เกินจำเป็นนี่มันอะไรกัน? 

แต่น่าแปลกภายใต้ความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นข้าสัมผัสได้ถึงความไม่ไว้วางใจในตัวของเขา ทำไมข้าถึงรู้สึกย้อนแย้งไปมาเช่นนี้กันนะ?

"ฝ่าบาทเพคะ ข้ามีอะไรจะบอก ปีหน้าพวกเราจะเข้าเรียนที่ เอลโดเรีย ล่ะ!" โรสลินประกาศด้วยดวงตาที่เปล่งประกายตื่นเต้น "พร้อมกับเฟริกซ์ด้วยนะเพคะ ฝ่าบาท! ข้าตื่นเต้นสุด ๆ ไปเลย! เพราะเป็นสถาบันที่ดีที่สุดในอาณาจักรกว่าข้าจะสอบผ่านเข้าได้ลำบากแทบแย่เลย—" 

คำพูดของนางเติมเต็มบรรยากาศรอบตัวด้วยพลังแห่งความฝันแม้ว่ามันจะทำให้ข้ารู้สึกเหงา (?) อยู่หน่อยๆ ก็ตาม ข้ามองทั้งคู่แล้วส่งยิ้มบาง ๆ ออกไป "ข้าดีใจแทนพวกเจ้า โดยเฉพาะเจ้าล่ะ โรสลิน นั่นเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชมจริง ๆ แม้ว่าเจ้าจะเป็นแค่เด็กสาวจากหมู่บ้านธรรมดาก็ตามแต่ด้วยทักษะของเจ้า เจ้าได้แสดงให้เห็นแล้วว่าชนชั้นไม่ได้แบ่งแยกคุณค่าของคน"

ขณะที่ข้ากล่าวชมเสร็จ เฟริกซ์ก็หันมาทางข้า จ้องมองด้วยแววตาแน่วแน่และครุ่นคิด

“แล้วพระองค์ล่ะ ฝ่าบาท? ท่านจะไม่เข้าเรียนที่ เอลโดเรีย ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

คำถามของเขาล่องลอยอยู่ในอากาศ ดึงดูดความสนใจของทั้งโรสรินและข้า

ด้วยความกระตือรือร้นเล็กน้อย เขากล่าวต่อ “ด้วยพระปรีชาสามารถอันยอดเยี่ยมของท่าน—ทั้งในด้านการดูแลเมืองและวิชาดาบที่เป็นที่เลื่องลืออย่างกว้างขวาง—ข้าคิดว่าท่านมีคุณสมบัติครบถ้วนนะพ่ะย่ะค่ะ”

น้ำเสียงและแววตาจริงจังของเขาทำให้ข้าชะงัก ข้ารู้สึกยินดีที่เขากล่าวชมข้าแต่บางอย่าง….ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นภายในเมื่อได้ยินคำพูดของเขามันเหมือนกำลังเตือนให้ระวังคำพูดที่มาจากเขา

“นั่นสิเพคะ ฝ่าบาท!” โรสรินเสริมอย่างตื่นเต้น ความกระตือรือร้นของนางแผ่ซ่านออกมา “หากเราได้เข้าเรียนด้วยกัน คงจะสนุกมากแน่ๆ เพคะ!”

ในชั่วขณะนั้น ข้ารู้สึกเหมือนมีเงามืดแผ่ปกคลุมหัวใจ สีหน้าข้าหม่นลงเล็กน้อยขณะก้มสายตาลง 

ครั้งหนึ่ง ข้าเคยคิดว่า เอลโดเรีย อาจเป็นหนทางหนึ่งที่จะเปิดโอกาสให้ข้าได้พิสูจน์ตนเองให้เสด็จพ่อได้เห็นว่าข้าเหนือว่า คาลิเบล แค่ไหนแล้วท่านอาจจะหันมามองข้าบ้างแต่ข้าคิดผิด... ตอนนี้ ข้ากลับรู้สึกว่าสถานที่แห่งนั้นไม่ใช่สถานที่ของข้า (?) อีกต่อไป….

“ข้าว่าข้าไม่เหมาะกับสถานที่แบบนั้นหรอก” ข้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบ พยายามปกปิดความหนักอึ้งที่ซ่อนอยู่ในคำพูด “ข้าขอใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่เมืองนี้ดีกว่า”

“อะไรกัน…น่าเสียดายจังเพคะ” โรสรินกล่าวด้วยน้ำเสียงผิดหวัง พลางก้มหน้าคอตก

"แต่ว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรคนโตขององค์จักรพรรดิ หากท่านจะสืบทอดบัลลังก์รับตำแหน่งจักรพรรดินีต่อ มิใช่ว่าการจบการศึกษาจาก เอลโดเรีย จะช่วยเพิ่มพูดชื่อเสียงให้ท่านมิใช่น้อยหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ" เฟริกซ์กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบขึ้น บรรยากาศรอบตัวของเขาเริ่มเย็นขึ้นเหมือนตอนที่เราพบกันครั้งแรกผิดจากใบหน้าของเขาที่ตอนนี้ยังคงยิ้มอยู่

"ดูเหมือนว่าข่าวลือพวกนั้นจะมาไม่ถึงที่นี่ซินะ...แต่ก็ไม่แปลกเพราะที่นี่อยู่ห่างจากเมืองหลวงพอสมควร..." ข้ากล่าวพลางถอนหายใจ

"พระองค์ทรงตรัสถึงอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?" เฟริกซ์ถามซ้ำด้วยสีหน้าที่ยังคงความใจดีแต่บรรยากาศนิ่งเรียบขึ้นไปอีก

"ข้าไม่ได้จะขึ้นสืบทอดบัลลังก์....ไม่ซิ ข้าไม่อาจรับตำแหน่งต่อจากเสด็จพ่อได้หรอกนะ เป็นน้องชายของข้า คาลิเบล ต่างหากที่จะรับตำแหน่งต่อ นั่นเลยเป็นเหตุไม่ว่าข้าจะเข้าเรียนที่ เอลโดเรีย หรือไม่ผลก็ไม่ต่างกันหรอก"

"....เป็นเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ" เด็กหนุ่มกล่าวตอบรับ แต่สายตาของเขายังคงความนิ่งเฉยเหมือนรู้คำตอบอยู่ก่อนแล้ว

"อีกอย่างที่นี่ยังมีคนที่ข้ารักและพวกเค้าก็รักข้า ให้ความสำคัญกับข้า ข้าอยากอยู่กับพวกเขานานๆ ..." ข้าพูดพลางนึกถึงใบหน้าของผู้คนในวังของข้าเหล่าสาวใช้ พ่อครัว เอลลี่ เซอร์ไอเดน และผู้คนในเมืองนี้นั่นทำให้ข้าเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

เด็กหนุ่มเงียบไปชั่วครู่ ความประหลาดใจฉายชัดบนใบหน้า ราวกับว่าคำตอบของข้าทำลายความคาดหวังบางอย่างที่เขาไม่เคยตระหนักถึง ข้าสัมผัสได้ถึงสายตาของเขาที่จ้องมองมาอย่างครุ่นคิด คล้ายกับพยายามค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดของข้า นั่นทำให้ข้าสับสนไม่ใช่น้อยว่าข้าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า?

หลังจากนั้น งานเลี้ยงน้ำชาก็ดำเนินไปตามปกติ บรรยากาศกลับมาเบาสบายอีกครั้ง แต่ข้ารู้สึกว่ามีบางสิ่งเปลี่ยนไปกับเด็กหนุ่ม ราวกับเงาของคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบยังคงวนเวียนอยู่รอบตัวของเขา แม้เขาจะทำสีหน้ายิ้มอยู่ตลอดเวลาก็ตาม

เวลาผ่านไปจนกระทั่งพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงสีทองของอาทิตย์อัสดงทอดยาวไปทั่วห้องขณะที่งานเลี้ยงสิ้นสุดลง ในที่สุด ก็ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับ

ขณะที่ข้าก้าวขึ้นรถม้า ข้าหันกลับไปเห็นเฟริกซ์และโรสรินยืนส่งข้าอยู่ โรสรินยังคงยิ้มอย่างสดใส"ไว้มาหาพวกเราอีกนะเพคะ เจ้าหญิง!" นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่เฟริกซ์ยืนโบกมือลาอย่างเงียบๆ ด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างนาง

ขณะที่รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์ ข้าพิงตัวกับเบาะนุ่ม พลางครุ่นคิดถึงบทสนทนาที่ผ่านมา คำถามที่ถูกหยิบยกขึ้นมา และความเชื่อมโยงบางอย่างที่ยังคงล่องลอยอยู่ในอากาศ

เฟริกซ์ เด็กชายคนนั้นแม้จะอายุอ่อนกว่าข้า เป็นเด็กวัยเดียวกันกับ คาลิเบล แท้ๆ แต่ทั้งทักษะการพูด การกระทำรวมถึงความคิด เขาดูเหมือนไม่ใช่เด็กรุ่นเดียวกันเลย สังเกตได้จาก โรสรินที่ยังคงมีการพูดจารักษาระดับไม่ค่อยเป็นเหมือนเด็กทั่วไป

และเหตุใดคำตอบของข้าจึงทำให้สีหน้าที่นิ่งมาตลอดของเขาเปลี่ยนได้ถึงเพียงนั้นกัน? —


เสียง กุบกับ ของรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวอย่างเอื่อยๆดังขึ้นตามทาง เอลลี่ ที่นั่งเงียบอยู่ข้างกายข้าตั้งแต่รถม้าเริ่มเคลื่อนไหวจู่ๆก็หันมาหาข้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น

“เป็นอย่างไรบ้างเพคะ ฝ่าบาท? งานเลี้ยงสนุกไหมเพคะ? คุยเรื่องอะไรกันบ้างเพคะ?”

ข้ายิ้มบาง ๆ บรรยากาศดีๆ ของบ่ายวันนี้ยังคงติดอยู่ในใจ ข้าสนุกมากจริงๆ ที่ได้พูดคุยกับเฟริกซ์และโรสรินแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความหนักอึ้งของบทสนทนาก่อนหน้านี้กดทับอยู่ในความคิดของข้าเช่นกัน

“ก็แค่บทสนทนาทั่วไป... อ้อ ใช่แล้ว พวกเขาจะเข้าเรียนที่ เอลโดเรีย ในปีหน้าล่ะ” ข้าตอบ น้ำเสียงแฝงไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

เอลลี่เบิกตากว้างอย่างตกใจ ความตื่นเต้นของเธอเอ่อล้นออกมา

“ว้าว เอลโดเรีย?! สถาบันที่ขึ้นชื่อดีที่สุดในอาณาจักรนะหรอเพคะ นั่นสุดยอดไปเลย! จริงสิ! ฝ่าบาทจะไม่ไปด้วยเหรอเพคะ? พระองค์มีความสามารถในการบริหารบ้านเมืองเก่งขนาดนี้ แถมยังมีความรู้มากมายอีกหม่อมฉันคิดว่ายังไงพระองค์ต้องสอบผ่านแน่นอนเพคะ”

ขณะนั้นเอง เซอร์ไอเดน ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็พูดเสริมขึ้นมา

“ด้วยฝีมือดาบของพระองค์ กระหม่อมคิดว่าไม่น่ามีปัญหาเลยถ้าจะสอบเข้าพ่ะย่ะค่ะ”

ข้าหลุดหัวเราะเบา ๆ กับคำชม แม้มันจะปลุกกระแสความคิดที่ปั่นป่วนภายในใจขึ้นมาก็ตาม

“วันนั้น ตอนที่ได้เห็นพระองค์ต่อสู้กับสัตว์เวทมนตร์ กระหม่อมรู้สึกทึ่งมากเลยพ่ะย่ะค่ะ “

” กระหม่อมไม่เคยคาดคิดเลยว่าพระองค์ที่กระหม่อมคอยอารักขาอยู่จะมีฝีดาบที่เก่งกาจเผลอๆ อาจจะเหนือกว่ากระหม่อมเสียด้วยซ้ำ" เขาพูดต่อด้วยความจริงใจ เสียงของเขาแฝงด้วยความชื่นชมจนทำให้ข้าอดรู้สึกเขินไม่ได้

“ในสมัยเด็กข้าเคยฝึกวิชาดาบกับดยุก เอลเดรก มาก่อนน่ะเขาเป็นอาจารย์ที่ดี ข้าคิดว่าอาจะจะเป็นเพราะเขาถึงทำให้ข้าเก่งถึงเพียงนี้” ข้าตอบ พลางเบี่ยงเบนคำชมอย่างไม่ใส่ใจนัก

เซอร์ไอเดนพยักหน้าเข้าใจ ด้วยสีหน้านิ่งๆ

“ไม่แปลกใจเลย พระองค์ถึงได้เก่งกาจถึงเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ”

รถม้ายังคงเคลื่อนไปตามถนนใน ชิทูเรีย ที่คุ้นตา ข้าถอนหายใจเบา ๆ 

“ต่อให้ข้ามีความสามารถแค่ไหน... เอลโดเรีย ก็ไม่ใช่ที่ของข้าหรอก” ข้าเอ่ย เสียงแผ่วเบาจนแทบเป็นเพียงเสียงกระซิบ

“เสด็จพ่อคงไม่อนุญาตอยู่แล้ว อีกอย่าง ชิทูเรียกำลังอยู่ในช่วงพัฒนา—ข้าจะทิ้งพวกเขาไปได้อย่างไร? แล้วพวกเจ้าอีกล่ะ…” ข้าหันไปมองเอลลีกับเซอร์ไอเดน ดวงตาของข้าแน่วแน่ขึ้น

“ข้าขออยู่ที่นี่กับพวกเจ้าดีกว่า… ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระเช่นนี้ด้วยกันกับพวกเจ้า”

บรรยากาศในรถม้าเงียบลงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เอลลี่จะพุ่งเข้ามาสวมกอดข้าแน่น

“โอ้ ฝ่าบาทเพคะ…” เธอตะโกนร้องไห้พลางใช้มือลูบศีรษะข้าที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง “เหตุใดพระองค์ถึงได้จิตใจดีงามถึงเพียงนี้กันเพคะ พระองค์ต้องเป็นนางฟ้าลงมาจุติเป็นแน่แท้เพคะ โฮ— หม่อมฉันก็จะอยู่เคียงข้างพระองค์ตลอด—ไป เช่นกันเพคะ” เอลลี่พูดไปร้องไห้ไป

เซอร์ไอเดนพยักหน้าเล็กน้อย รอยยิ้มอ่อนโยนแต้มบนริมฝีปากของเขา

“กระหม่อมจะขอติดตามพระองค์ต่อไปพ่ะย่ะค่ะนั่นคือหน้าที่ของกระหม่อม”

ข้าส่งยิ้มบาง ๆ ตอบกลับ ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจราวกับหลอมละลายความหนักอึ้งในใจข้าไปชั่วขณะ

รถม้ายังคงแล่นต่อไปตามเส้นทางคดเคี้ยว ข้าทอดสายตามองออกไปยังเมืองที่อยู่เบื้องนอก ที่ตอนนี้สีหน้าของชาวเมืองเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาจากใจจริงกันแล้ว

ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไรอยู่เบื้องหน้า ต่อให้ข้าไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ ไม่ได้เป็นจักรพรรดินี ขอแค่เอลลี่และเซอร์ไอเดนอยู่เคียงข้างข้าแบบนี้ต่อไปสำหรับตอนนี้… แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว


คืนนั้น ขณะที่โลกภายนอกค่อยๆ สงบลง ข้ากลับไม่อาจข่มตาหลับได้เลย นั่งอยู่ข้างหน้าต่างของห้อง แสงจันทร์ส่องผ่านเข้ามา เติมเต็มห้องด้วยเงาสะท้อนอันอ่อนโยน ให้บรรยากาศราวกับความฝัน ด้านนอก เมืองชิทูเรียช่างเงียบสงบ ต่างจากความมีชีวิตชีวาในยามกลางวันโดยสิ้นเชิง

ความคิดของข้าล่องลอยออกไปช่วงเวลาที่ข้าได้คุยกับเฟริกซ์และโรสรินพลันทำให้ข้าคิดถึงเด็กชายตัวน้อยที่มักจะคอยเดินตามตอแยข้าต้อยๆ คาลิเบล น้องชายของข้า และเพียงแค่คิดถึงเขา รอยยิ้มบางๆ ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากของข้า "อีกไม่กี่เดือน เขาก็จะอายุแปดชันษาแล้วสินะ" ข้าพึมพำกับตัวเองเบาๆ "เสด็จพ่อคงส่งเขาไปที่ เอลโดเรีย แน่ๆเหมือนกันกับพวกเฟริกซ์" ความคิดนี้ทำให้ข้าทั้งรู้สึกอบอุ่นและปวดใจไปพร้อมกัน

"อีกก้าวหนึ่งสู่การเป็นจักรพรรดิของเจ้าสินะ..." ข้ากระซิบออกมาแม้ในห้องจะมีแต่ความเงียบงันไร้ซึ่งคำตอบใดๆกลับมาก็ตาม

ข้าทอดสายตามองจันทร์ ข้าไม่ได้มีความรู้สึกเศร้าและน้อยใจที่ไม่ได้ไปเรียนที่ เอลโดเรีย ทว่ามันก็กลับมีความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมา... ถ้าหากว่า.....ถ้าหากว่าวันหนึ่งข้าได้ก้าวเดินไปตามเส้นทางนั้นล่ะ? เส้นทางแห่งจักรพรรดินีที่ภาคภูมิ

ถ้าข้าสามารถเป็นพี่สาวที่น้องชายสามารถภาคภูมิใจได้ล่ะ? ถ้าหากวันแรกในโรงเรียนของเขาข้าเป็นคนพาเขาเดินชมรอบโรงเรียน ได้นั่งทานข้าวกลางวันด้วยกันกับเขาและเพื่อนใหม่ของเขาที่สวน...หรือช่วยเขาสอนบทเรียนที่ยากเกินไป... ภาพเหล่านั้นทำให้ริมฝีปากของข้าคลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ข้าอยากสร้างช่วงเวลาแบบนั้นให้เป็นความทรงจำจริงๆ

"แต่ก็คงไม่จำเป็นต้องสอนอะไรเขาหรอก" ข้าหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหัว "เจ้าเด็กนั้นฉลาดกว่าข้ามาก... ไม่แปลกใจเลยที่ข้าไม่เคยเอาชนะเขาได้เลย ไม่ว่าข้าจะพยายามเสียเท่าไหร่ก็ตาม(?)"

แต่ในระหว่างที่ข้ากำลังมีความสุขกับจินตนาการเหล่านั้นชั่วพริบตา ภาพของเสด็จพ่อก็ผุดขึ้นมา—เป็นภาพที่ฝังแน่นอยู่ในใจ สีหน้าหวาดหวั่นของพระองค์ในคืนที่ข้าแอบเข้าไปดูน้องชายยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำ ความกังวลใจที่สะท้อนอยู่ในแววตาของพระองค์...ความหวาดกลัวนั่น สายตานั่นมันซึมลึกลงไปในเงามืดของหัวใจข้า รวมถึงความฝันนั้น ความฝันที่ข้า.....มือที่เปื้อนเลือด....

"ช่างน่าสมเพชจริงๆ" ข้าพึมพำออกมา ความเศร้าหมองถาโถมเข้าใส่ "ข้าเคยผลักไสเขามากมายขนาดนั้น... แต่ตอนนี้ ข้ากลับคิดถึงเขาเสียเอง...." ความสับสนแทรกซึมเข้ามาในใจของข้า ไม่ว่าจะย้ำอีกกี่ครั้งแต่ความรู้สึกข้าก็ยังเป็นเฉกเช่นเดิม ข้าเคยเกลียด(?)เขา ริษยา(?)เขาแท้ๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่เพียงคิดถึงยังกลับอาลัยอาวรณ์ในตัวเขาด้วย

ข้าสูดหายใจเข้าลึกๆ ปล่อยให้ความเย็นของอากาศช่วยกลบเกลื่อนความรู้สึกปั่นป่วนในใจ ก่อนจะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง ปล่อยให้แสงจันทร์โอบกอดข้าไว้ และให้ความคิดเหล่านั้นค่อยๆ เลือนหายไปในความเงียบของรัตติกาลแต่....

แต่ว่าหากมีสักวัน....หากพระเจ้าทรงโปรด....ถ้าหากข้าได้มีโอกาสสามารถสานสัมพันธ์กับคาลิเบลได้อีกครั้ง ข้าอยากจะลองเป็นฝ่ายเข้าหาเขาดูบ้าง อย่างน้อยๆ....ในฐานะพี่สาวที่ดีโดยไม่สนสักครั้งว่าเสด็จพ่อจะทรงคิดเห็นอย่างไร....แค่ในฐานะเพียงเรา...สองพี่น้อง....

ในคืนนั้นข้าได้เห็นหิมะแรกตกลงจากฟากฟ้า หิมะสีขาวนวลและเบาบาง......

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   สารแห่งโชคชะตา

    เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทนเอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?" "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อเอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้นซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งย

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   ทรยศ?

    เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่าในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้า

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   เส้นทางที่ไม่อาจบรรจบ

    ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำใ

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

    ความว่างเปล่ากลืนกินสติของข้าหลังจากการต่อสู้ ข้าต่อสู้อย่างสุดกำลัง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องชาวเมือง แต่ในที่สุด ความอ่อนล้าก็ตามทัน ข้าหมดสติท่ามกลางความโกลาหลรอบตัวในห้วงนิทราลึก ข้าพบว่าตัวเองจมดิ่งสู่ความฝัน มันทั้งชัดเจนและเลือนรางในคราวเดียวกัน เหมือนจริงจนน่าประหลาดใจ แต่ก็คล้ายกับบางสิ่งที่ข้าไม่อาจไขว่คว้าได้ ภาพเลือนรางปรากฏขึ้นตรงหน้า—เงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยเงาอันเร้นลับ ทำให้ข้ามองเห็นไม่ชัด ทว่าผมสีส้มเพลิงของเขาส่องประกายราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ท่ามกลางความมืดแห่งนั้น แรงดึงดูดบางอย่างฉุดข้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัวเขายืนหันหลังให้ข้า และเมื่อข้าจ้องมองเขาอยู่นั้น เขาก็ค่อย ๆ หันกลับมา หัวใจข้าเต้นรัว ความคาดหวังพุ่งทะยานขึ้นสูง ทว่าในวินาทีที่เขาหันมาเผชิญหน้ากับข้า ข้ากลับไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย ข้ามองเห็นเพียงริมฝีปากของเขาขยับ เป็นถ้อยคำที่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้ ข้าพยายามเปล่งเสียงเรียกเขา ทว่าไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบเล็ดลอดจากริมฝีปากของข้า ข้าทำได้แค่เฝ้ามอง ขณะที่เขาขยับปากกล่าวบางอย่าง…แต่ข้าไม่ได้ยิน“ได้โ

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   เจ้าหญิงที่ถูกปกป้อง

    ข้าก้าวเดินต้อยๆไปตามถนนที่คึกคักของชิทูเรีย ความตื่นเต้นและอารมณ์แห่งการผจญภัยหลอมรวมกันอยู่ในใจ ใบไม้เปลี่ยนสีของฤดูใบไม้ร่วงปลิวไสวราวกับเศษกระดาษสีที่โปรยปรายอยู่ในสายลมอ่อน ๆ มันเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่น่ายินดีจากการเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในวัง และเป็นโอกาสให้ข้าได้สัมผัสชีวิตของชาวเมืองแห่งนี้ด้วย แน่นอนด้วยเครื่องแต่งกายที่สุดแสนจะธรรมดา ทำให้ตอนนี้พวกเราแลดูเหมือนเป็นครอบครัวชาวเมืองที่มาเดินเล่นแถวตลาดแบบธรรมดาเอลลี่เดินอยู่ข้างข้า เสียงพูดคุยร่าเริงของเธอเติมเต็มอากาศ ขณะที่เธอชี้ให้ดูร้านค้าต่าง ๆ ที่เรียงรายอยู่สองฝั่งถนน“ฝ่าบาทเพคะ! ดูสิ ร้านนั้นขายขนมแลดูน่าอร่อยสุดๆไปเลยนะเพคะ! พวกเราควรซื้อมาลองทานกันสักหน่อยนะเพคะ” เธอเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้นข้ายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว กับความกระตือรือร้นและร่าเริงของนาง “ดูน่าสนใจดีนะ” ข้าตอบพลางมองไปที่แผงขายขนมอบที่มีของหวานหน้าตาน่าทาน กลิ่นหอมของแป้งที่อบใหม่ทำให้ข้าเผลอจินตนาการถึงรสสัมผัสของเปลือกขนมกรอบ ๆ และไส้หวานนุ่มละมุน ไม่ช้านาน เอลลี่ ก็กลับมาหาพวกเราที่ยืนรออยู่ไม่ห่างพร้อมขนมอบสามชิ้น ควันอุ่นๆลอยขึ้

  • บันทึกของเจ้าหญิงผู้ลืมเลือน   โอกาสที่เปลี่ยนไป

    วันฉลองพระชันษาครบรอบเจ็ดปีของ คาริเบล พึ่งผ่านไปเมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้เป็นวันที่สงบสุขในสวนพระราชวัง แสงอาทิตย์ส่องประกายอบอุ่น อาบไล้ทุกสิ่งให้เปล่งประกายสีทอง มอบความเป็นชีวิตชีวาให้ทุกสรรพสิ่งที่มันผ่าน อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน สีสันสดใสแต่งแต้มทิวทัศน์ให้ดูงดงามราว แต่ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความงามนี้ กลับมีสายตาและเสียงซุบซิบนินทาถึงข้าอยู่ร่ำไปขณะเดินเล่น ข้าพยายามเพิกเฉยต่อ คาลิเบล ที่เดินตามมาติด ๆออเรเลีย—เจ้าหญิงแห่งเงาของปราสาทบัดนี้ได้รับการเลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าหญิงตัวซวย เจ้าหญิงถูกทิ้ง บลาๆ ตามแต่ที่จะนินทา นั่นคือสิ่งทุกคนในวังไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ ไปจนถึงขุนนางบางคนที่เข้าออกวังมองข้า แต่ถึงกระนั้น คาลิเบล ผู้เป็นน้องชายตัวน้อยผู้เต็มไปด้วยพลัง ก็ยังคงวนเวียนกระโดดโลดเต้นตามข้าอย่างร่าเริง โดยไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เสียงหัวเราะของเขากังวานสดใสราวกับเสียงนกในฤดูใบไม้ผลิ"ท่านพี่!" เขาเรียกพลางดึงชายกระโปรงของข้า การกระทำของเขาบางครั้งก็ทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด แต่น้ำเสียงใสซื่อของเขาก็ทำให้หัวใจข้าอ่อนลงไปพร้อมกัน "เราไปเล่นกันที่น้ำพุได้ไหม?""ไม่,

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status