เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้
ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทน
เอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?"
"ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อ
เอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้น
ซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งยึดติดโต๊ะประหนึ่งต้นไม้ใหญ่ฝังรากลึกลงไปในเก้าอี้ สาวใช้ดึงข้าจนหมดแรงก่อนจะยอมแพ้ความคิดนั้นไป "จะว่าไปแล้วฝ่าบาทเพคะ วันคล้ายวันประสูติของพระองค์คือเมื่อไหร่หรือเพคะ? มันเป็นวันสำคัญสำหรับอาณาจักรเหมือนกันแท้ ๆ แต่กลับไม่เคยมีการเฉลิมฉลองให้พระองค์เลย”
ข้าส่งยิ้มบาง ๆ ให้เธอ แต่ลึกลงไป ข้ารู้สึกถึงความเฉยเมยที่คุ้นเคย “วันนี้” ข้าตอบเรียบ ๆ “ข้าเกิดวันเดียวกับ คาลิเบล น้องชายของข้า”
สีหน้าตกตะลึงของเอลลี่ และ เซอร์ไอเดน แสดงออกมาอย่างชัดเจน ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ “เดี๋ยวนะเพคะ พระองค์หมายความว่าวันนี้เป็นวันประสูติของพระองค์ด้วยเหมือนกันงั้นเหรอเพคะ? ทำไมพระองค์ไม่เคยบอกมาก่อนเลยล่ะเพคะ?! นี่มันเรื่องสำคัญมากนะเพคะ!”
“เอลลี่ มันไม่ได้—” ข้าพยายามลดความสำคัญของเรื่องนี้ลง แต่เธอกลับขัดข้าทันที
“ไม่สำคัญได้ยังไงเพคะ?” เธอเท้าเอว ดวงตาฉายแววจริงจัง “วันนี้สำคัญสำหรับพระองค์เหมือนกันนะเพคะ! หม่อมฉันจะไม่ปล่อยให้พระองค์ใช้วันสำคัญแบบนี้มานั่งมืดมนอยู่ในห้องได้หรอกเพคะ!”
ก่อนที่ข้าจะพูดอะไรได้อีก เธอก็หันไปสั่งเซอร์ไอเดน “เซอร์ไอเดน! ท่านช่วยพาฝ่าบาทไปเดินเล่นในงานเทศกาลเดี๋ยวนี้เลย! ข้าต้องการใช้เวลาจัดเตรียมงานวันเกิดให้ฝ่าบาท!”
เซอร์ไอเดนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ราวกับตั้งคำถามกับการตัดสินใจที่กะทันหันนี้ แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย โดยรับรู้ถึงความตั้งใจแน่วแน่ของเอลลี่ ข้ามองเขาอย่างรู้ทัน ว่าเขาคงไม่ขัดคำสั่งนี้แน่นอน
“เอลลี่ ข้าซาบซึ้งใจนะ แต่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย วันนี้เป็นวันเทศกาล—” ข้าพยายามห้าม แต่เอลลี่ไม่ยอมฟัง
“ถ้างั้นพระองค์ก็ควรไปสนุกกับเทศกาลซิเพคะ!” เธอยืนยัน ดวงตาเป็นประกายด้วยความมุ่งมั่น “วันนี้จะเป็นวันที่น่าจดจำ พระองค์เพียงแค่เชื่อใจหม่อมฉันเถอะเพคะ”
พูดจบ เธอก็ผลักข้าไปทางประตู ข้ารู้สึกถึงคำคัดค้านที่ติดอยู่ที่ลำคอ แม้ เอลลี่จะเอ็นดูข้ามากแต่เมื่อใดก็ตามที่นางโกรธข้าไม่อาจจะขัดนางได้เลยโดยเฉพาะยิ่งเป็นเรื่องของข้า...
เมื่อข้าก้าวออกไปพร้อมกับเซอร์ไอเดน บรรยากาศรื่นเริงก็เข้าปกคลุมข้าทันที ถนนเต็มไปด้วยร้านค้ามากมาย และเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่ถือบอลลูนหลากสี เสียงดนตรีจากนักแสดงที่กำลังร่ายรำอย่างสนุกสนาน เวทมนตร์แสงสี และพลุต่างๆ ที่ลอยอยู่บนฟ้า ทุกอย่างดูเหมือนต้องมนตร์ และข้าก็เผลอปล่อยให้ตัวเองหลงไปกับความสุขของผู้คนรอบตัว
“งานเทศกาลคึกคักแบบนี้เสมอหรือเปล่า?” ข้าเงยหน้าถามเซอร์ไอเดนด้วยความรู้สึกทึ่ง
“ก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เขาตอบด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ผู้คนทุกคนรักการเฉลิมฉลอง มันช่วยให้พวกเขามีกำลังใจต่อในการใช้ชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
แม้จะลังเลในตอนแรก แต่ข้าก็เริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วอก ความสุขที่ผู้คนรอบตัวกำลังสัมผัส ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาหาข้าด้วย
ในขณะที่เรากำลังเดินชมเทศกาล ข้ารู้สึกได้ว่าบางอย่างได้เปลี่ยนไป บางที วันนี้อาจจะเป็นวันหนึ่งที่ข้าสามารถมีความสุขได้เหมือนผู้คนรอบๆ
แต่ท่ามกลางความสนุกสนานนี้ ความรู้สึกปวดร้าวบางอย่างก็ก่อตัวขึ้นภายในใจข้า ความทรงจำที่เลือนรางแต่ฝังลึกหวนกลับมาอีกครั้ง—ช่วงเวลาในอดีตที่ข้าชิงชัง และริษยา ได้แต่อยู่ภายในห้องอันเดียวดาย ยามที่อาณาจักรเต็มไปด้วยเสียงเฉลิมฉลอง ข้ากลับต้องติดอยู่ในห้องมืดเงียบสงัด เพียงแค่เฝ้ามองผ่านหน้าต่าง ฟังเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นจากภายนอกอย่างไร้หนทางเข้าถึงและไร้ผู้คนแยแส
ข้าเหลือบมองไปหาเหล่าเด็กๆและผู้คนรอบตัวข้า ดวงตาของพวกเขาสะท้อนภาพของเทศกาลที่เจิดจ้า แต่เมื่อข้าหันไปเห็นเงาสะท้อนของตนเองในกระจกหน้าร้าน ข้าก็รับรู้ได้ทันที—รอยยิ้มของข้าช่างว่างเปล่า ดวงตาข้ามิได้ส่องประกายเช่นเดียวกับเสียงหัวเราะรอบตัว กลับเต็มไปด้วยเงาของอดีตอันเงียบเหงา
ดูเหมือนเซอร์ไอเดนจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของข้าโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดๆ ก่อนที่ข้าจะทันได้พูดอะไร เขาก็ก้มตัวลงและใช้สองมืออันแข็งแกร่งจับที่เอวของข้า แล้วยกตัวข้าขึ้นไปบนบ่าของเขาอย่างง่ายดาย
"เซอร์ไอเดน!" ข้าร้องเสียงหลง แก้มร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย
"ลองมองดูจากมุมสูงสิ" เขาตอบเรียบๆ แต่ถ้อยคำของเขากลับส่งผลลึกถึงใจข้า
ทุกย่างก้าวของเขาพาข้าสูงขึ้น ความกังวลในใจเริ่มจางลง กลายเป็นความตื่นเต้นแทน ภาพของเทศกาลที่เคยอยู่ตรงหน้าข้ากลายเป็นภาพอันกว้างใหญ่และงดงาม แผงขายของอันสดใส ผู้คนที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างรื่นเริง เวทมนตร์และการแสดงโชว์ต่างๆ การตกแต่งของงานเฉลิมฉลองดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่ข้าเคยสัมผัส ข้ามองเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้ยินเสียงดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะยิ่งกว่าเดิม
เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกจากริมฝีปากข้าโดยไม่รู้ตัว ข้าเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปกับช่วงเวลานี้ มันให้ความรู้สึกราวกับว่าข้าได้ก้าวออกจากพันธนาการของอดีตไปเล็กน้อย ข้าตระหนักว่าเซอร์เอเดนมิได้เพียงแค่ยกตัวข้าขึ้นสูงทางกายภาพ แต่เขายังกำลังพยายามยกจิตใจของข้าขึ้นให้พ้นจากความเศร้าหมองอีกด้วย
"นี่มัน...น่าอัศจรรย์มาก" ข้าพึมพำพลางก้มลงมองเขาด้วยความซาบซึ้ง หัวใจของข้ารู้สึกเบาสบายกว่าก่อนหน้านี้
เขาไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่พยักหน้าช้าๆ แต่ข้ากลับเข้าใจความหมายของมันดี นี่คือวิธีของเขาในการปลอบโยนข้า โดยให้ข้าได้เห็นความสุขจากมุมมองที่แตกต่าง และดึงข้าออกจากอดีตที่มืดมน
เมื่อข้าปล่อยให้บรรยากาศแห่งเทศกาลโอบกอดตนเอง ข้าก็เริ่มรู้สึกว่าความปวดร้าวจากอดีตเริ่มจางหายไปทีละน้อย ข้ารู้ดีว่าอดีตไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่วันนี้... ตอนนี้ มันไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ข้ามีคนที่ยื่นมือมาหาข้า ดึงข้าจากความมืดมิดและเดียวดายแล้ว...
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของส้มและชมพู เทศกาลภายนอกยังคงดำเนินไปอย่างคึกคัก แต่ภายในใจของข้ากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและประหม่า ขณะที่ข้ากับเซอร์ไอเดนเดินกลับไปยังพระราชวัง หัวใจของข้าเต้นรัวด้วยอารมณ์ที่ไม่คุ้นเคย วันนี้กำลังจะเป็นวันสำคัญในชีวิตของข้า
ข้าเดินตามเซอร์ไอเดนผ่านทางเข้าพระราชวังอันโอ่อ่า และทันทีที่เขาเปิดประตู เสียงร้องประสานกันก็ดังก้องไปทั่ว
“สุขสันต์วันเกิดพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ ฝ่าบาท!”
คำอวยพรอันสดใสดังก้องจากเหล่าข้ารับใช้ที่ยืนเรียงรายอยู่ ใบหน้าของพวกเขาล้วนประดับไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ข้ายืนแข็งทื่ออยู่กับที่ ความตกตะลึงทำให้สมองของข้าประมวลผลไม่ทัน
ความอบอุ่นไหลเวียนเข้ามาในหัวใจของข้าอย่างรวดเร็ว มุมปากของข้าขยับขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดวงตาของข้ากวาดมองไปทั่วห้องเพื่อค้นหาคนที่อยู่เบื้องหลังเซอร์ไพรส์นี้
เอลลี่ก้าวออกมาจากกลุ่มฝูงชน ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น เธอจับมือข้าเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความสุข “มาเถอะเพคะ ฝ่าบาท ข้ามีบางอย่างพิเศษเตรียมไว้ให้”
เธอพาข้าเดินไปยังห้องรับประทานอาหาร และเมื่อข้าก้าวเข้าไป ภาพตรงหน้าก็ทำให้ข้าแทบหยุดหายใจ
ตรงกลางโต๊ะ มีเค้กขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน ประดับประดาด้วยลวดลายอันวิจิตร และชื่อของข้าถูกเขียนไว้อย่างงดงามอยู่ด้านบน มันเป็นภาพที่ข้าเคยใฝ่ฝันถึงเมื่อตอนเป็นเด็ก แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็นจริงได้
“...” ข้ายังคงได้แต่ยืนนิ่ง ๆ ด้วยความรู้สึกท่วมท้น ความปลื้มปีติอัดแน่นจนข้าไม่อาจเอ่ยคำอะไรออกมาได้
“งานเฉลิมฉลองของฝ่าบาทเพคะ เพื่อฝ่าบาท เจ้าหญิง ออเรเลีย เจ้าหญิงตัวน้อยของพวกเราเพคะ” เอลลี่พูดด้วยรอยยิ้มกว้างและน้ำเสียงภาคภูมิใจ
เธอหยิบมีดขึ้นมาตัดเค้กออกมาชิ้นหนึ่งและยื่นให้ข้า พลางพูดอย่างอ่อนโยน “เพคะ ฝ่าบาท อธิษฐานก่อนทานนะเพคะ”
ข้าเหลือบตามองไปยังใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความรักของข้ารับใช้ที่มาร่วมงาน จากนั้นจึงหันไปมองเซอร์ไอเดนและเอลลี่ ผู้ที่คอยอยู่เคียงข้างข้าเสมอ ความรู้สึกบางอย่างเอ่อล้นขึ้นมา และทันใดนั้นเอง น้ำตาของข้าก็ไหลพรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไม่อยู่—เป็นน้ำตาแห่งความสุข
ข้าสะอื้นไห้โดยไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป ก่อนจะก้าวไปหาเอลลี่และโผกอดเธอแน่น ความอบอุ่นจากอ้อมแขนของเธอทำให้ข้ารู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่แท้จริง
“ขอบคุณนะ” ข้ากระซิบเสียงแผ่ว มันเป็นคำพูดที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ
เอลลี่รับรู้ถึงความเปราะบางในจิตใจของข้า เธอโอบกอดข้าไว้แน่นขึ้น ปล่อยให้ข้าร้องไห้เพื่อปลดปล่อยความโดดเดี่ยวที่สะสมมานานแสนนาน
หลังจากที่ข้าเริ่มสงบลง ข้าสูดลมหายใจลึก ๆ และหันกลับไปมองเค้กที่อยู่ตรงหน้า ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
ข้ายกมีดขึ้นและค่อย ๆ ตัดลงบนเนื้อเค้กนุ่มฟู แบ่งมันออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อแบ่งปันกับทุกคนในงาน เสียงหัวเราะและเสียงไชโยดังขึ้นรอบตัว ขณะที่ข้ามอบชิ้นเค้กให้เหล่าข้ารับใช้ที่รักและห่วงใยข้า
บรรยากาศของค่ำคืนนี้อบอวลไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะ และมิตรภาพ มันช่างแตกต่างจากอดีตอันโดดเดี่ยวของข้าโดยสิ้นเชิง
ในที่สุด ข้าก็ได้สัมผัสกับความรู้สึกของการมี ‘ครอบครัว’
ความอบอุ่นของการได้รับความรักห่มคลุมหัวใจข้าไว้ และในค่ำคืนนี้ ข้ารู้สึกได้ว่า หัวใจของข้า... ได้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งอย่างแท้จริง
เป็นเวลาสองเดือนแล้วตั้งแต่เฟริกซ์และโรสรินออกเดินทางไปยัง เอลโดเรีย ข้าอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ที่พวกเขาไม่ได้อยู่ร่วมงานเลี้ยงฉลองว้นเกิดกับข้า ความสุขอันสดใสของวันนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของข้า
ข้าทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง มองไปยังเมืองชิทูเรียที่คึกคัก ซึ่งกลายเป็นบ้านหลังที่สองของข้าไปแล้ว กระนั้น แม้จะมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาภายนอก แม้ว่าข้าจะเพลิดเพลินกับหน้าที่รับผิดชอบในแต่ละวันเพื่อช่วยพัฒนาเมือง แต่ความรู้สึกโหยหามิตรภาพที่หายไปก็ยังคงติดค้างอยู่ในใจ ยอมรับตามจริงบางครั้งข้าก็อดรู้สึกเหงาไม่ได้ที่ไม่มีพวกเขามาคอยเป็นเพื่อนเล่น ข้าคิดถึงช่วงเวลาที่เรามักได้ได้คุยเล่นหยอกล้อกันอย่างสบายใจ
โดยเฉพาะกับเฟริกซ์—บุคคลที่ทำให้ใจข้าสั่นไหวโดยที่ข้ายังไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้อย่างถ่องแท้ แต่นี่อาจจะเป็นการดีก็ได้ ตั้งแต่ฝันร้ายครั้งนั้นข้าก็ไม่อาจสบตาเขาตรงๆ ได้อีกเลย และข้าก็ไม่กล้าพอที่จะปรึกษาหรือเอ่ยถามจนกระทั่งเขาไป เอลโดเรีย
ชีวิตในชิทูเรียยังคงดำเนินต่อไป ข้ายุ่งอยู่กับงาน—เข้าร่วมประชุมกับเจ้าเมือง ดูแลความก้าวหน้าของตลาด และที่สำคัญข้ากลับมาฝึกดาบอีกครั้ง การฝึกดาบกับเซอร์ไอเดนกลายเป็นกิจวัตรที่ช่วยให้ข้ารู้สึกกระปรี่กระเปร่าขึ้น รวมถึงการฝึกร่างกายที่ห่างหายไปสักพัก ทว่าทุกครั้งที่มีช่วงเวลาเงียบสงบ ข้ามักจะเผลอคิดถึงของเฟริกซ์อยู่เสมอ และเมื่อใดที่นึกถึงสายตาของเขา หัวใจของข้าก็เผลอเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว
บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ข้ากำลังคัดแยกจดหมายอยู่นั้น ข้าสะดุดตาเข้ากับซองจดหมายหรูหราฉบับหนึ่ง ข้าค่อย ๆ เปิดมันออกด้วยความสนใจ เมื่อเห็นตราประทับของราชวงศ์....
ถึงท่านพี่ออเรเลีย,
หวังว่าท่านพี่คงจะสบายดีนะ ข้าพึ่งได้มีโอกาสส่งจดหมายหาท่านก็ตอนที่มาอยู่ ณ สถาบัน เอลโดเรีย นี่แหละ
ข้าเพิ่งเริ่มเรียนได้ไม่นาน ที่นี่ช่างเป็นสถานที่ที่ดี มีผู้คนจากสถานที่ต่างๆมากมาย บทเรียนต่างๆก็สนุก
ข้าได้เพื่อนใหม่สองคน เป็นไปได้ข้าอยากแนะนำพวกเขาให้ท่านได้รู้จัก พวกเขาช่วยเหลือข้าได้มากในการปรับตัวให้เข้ากับที่นี่
ข้าอยากรู้ว่าท่านพี่จะมาเข้าเรียนที่นี่ด้วยไหม? ถ้าเป็นท่านเรื่องการสอบคงจะผ่านได้อย่างง่ายดาย
ข้าคิดถึงพี่ หากมีช่วงเวลาว่าง ข้าสามารถไปหาท่านที่ ชิทูเรีย ได้หรือไหม? หวังว่าท่านจะเขียนตอบกลับข้าบ้างนะ
ปล.หากท่านไม่เขียนตอบข้าจะถือว่าเป็นการตอบตกลงนะ
ด้วยรัก,
คาลิเบล
รอยยิ้มค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของข้าเมื่อได้อ่านถ้อยคำของคาลิเบล เพียงแค่รู้ว่าเขาปรับตัวได้ดีและมีเพื่อนที่คอยช่วยเหลือ ข้าก็รู้สึกอุ่นใจ แม้ว่าความเหงายังคงเกาะกุมหัวใจของข้า แต่ข้าก็อดภูมิใจไม่ได้ที่คาลิเบลกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ทว่าทันทีที่ข้าไตร่ตรองถึงจดหมายของเขา รอยยิ้มของข้าก็ค่อย ๆ จางลง ข้ารู้ดีว่าทุกการเคลื่อนไหวของราชวงศ์มักถูกจับตามอง และถ้าหากมีข่าวลือว่าเราติดต่อกันเป็นการส่วนตัว อาจทำให้คาลิเบลต้องสงสัยและอาจมีข่าวลือเสียๆ หายๆ ข้าไม่อาจปล่อยให้ความห่วงหาของตัวเองเป็นภัยต่อสถานะของเขาได้
ข้าใช้เวลาครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจที่จะไม่ตอบกลับจดหมายของเขา แม้ว่าจะอยากพบเขามากเพียงใดก็ตาม ข้าเลือกที่จะเก็บถ้อยคำของเขาไว้ในใจ ปล่อยให้มันเป็นเครื่องเตือนใจถึงความรักและความผูกพันของเราสองพี่น้อง โดยไม่จำเป็นต้องส่งคำตอบกลับไป
ข้าพับจดหมายเก็บไว้ในกล่องของมีค่า หวังว่าสักวันหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป เราจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งโดยปราศจากข้อจำกัดใด ๆ ข้ายังมีหน้าที่ที่ต้องทำ เมืองที่ต้องดูแล ไม่อาจเสียเวลาคิดเรื่องส่วนตัวแบบนี้ได้นานเกินไป
สามเดือนผ่านไปนับจากวันเกิดปีที่สิบสามของข้า—ในทุกๆวันยังคงเต็มไปด้วยความสงบและความสุข ข้าเฝ้ามองชิทูเรียเจริญรุ่งเรืองภายใต้การดูแลของข้าเอง ข้าเริ่มคุ้นเคยกับชีวิตประจำวันที่ผสมผสานหน้าที่ความรับผิดชอบเข้ากับช่วงเวลาพักผ่อนอันแสนมีค่า ตอนกลางวัน ข้าทุ่มเทให้กับการพัฒนาเมือง ส่วนช่วงเวลาว่าง ข้าหาความสุขจากการปิกนิกกับเอลลีท่ามกลางเนินเขาอันเขียวขจี หรือฝึกดาบร่วมกับเซอร์ไอเดนในสวน การได้หัวเราะและแบ่งปันช่วงเวลากับพวกเขาทำให้หัวใจข้ารู้สึกเบาขึ้น
แต่แล้วเช้าวันหนึ่ง ท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นที่สาดส่องลงบนชิทูเรีย ความสงบสุขที่ข้าได้รับก็เริ่มมีการสั่นคลอนกับกระจกที่ถูกกระแทกจนร้าว ข้ากำลังฝึกซ้อมดาบ ตั้งใจวาดดาบในมือด้วยความมุ่งมั่น ขณะที่เซอร์ไอเดน เป็นคู่ฝึกให้ข้า เสียงกระทบกันของคมดาบสร้างจังหวะที่ดังก้องไปทั่วบริเวณ ทว่า เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะทุกอย่าง
ผู้ส่งสาร—แต่งกายด้วยเครื่องแบบทางการจากพระราชวัง—เดินเข้ามาด้วยท่าทางเร่งรีบ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม หัวใจข้าหนักอึ้งในทันที บางอย่างในตัวข้ากำลังต่อต้านกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น
"เจ้าหญิง" เขากล่าว พลางโค้งคำนับด้วยความเคารพ แต่ในน้ำเสียงกลับมีความแข็งกระด้างที่ปิดไม่มิด "โดยพระราชโองการของฝ่าบาท องค์จักรพรรดิอาเดลวิน วอน อากาธีร์ ขอสั่งให้ เจ้าหญิงลำดับที่หนึ่ง ออเรเลีย วอน อากาธีร์ ต้องเสด็จกลับพระราชวังหลวงในทันทีะ่ะย่ะค่ะ"
ลมหายใจข้าสะดุด ร่างกายแข็งทื่อเมื่อพยายามประมวลคำพูดของเขา ความหนาวเย็นของความวิตกกังวลแล่นผ่านร่างกายข้า แต่มันแตกต่างจากเมื่อก่อน ครั้งนี้มันแหลมคมยิ่งกว่า ราวกับคมมีดที่พร้อมจะกรีดแทง ความทรงจำเกี่ยวกับความโดดเดี่ยวและความสิ้นหวังกลับมาอีกครั้ง ภาพอดีตที่ข้าพยายามลืมเลือนเริ่มชัดเจนขึ้น
"อะไรนะ?" ข้าพึมพำออกมา เบาหวิวราวกับเสียงกระซิบ คำพูดเพียงหนึ่งคำ แต่กลับเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและความหวาดกลัว "ทำไมถึงมีรับสั่งเช่นนี้?"
ผู้ส่งสารยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่ง แม้ในดวงตาจะมีแววลังเลแวบผ่าน "ข้าเกรงว่าข้าไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดิทรงมีพระบัญชาให้พระองค์เสด็จกลับทันทีแต่เพียงเท่านั้น พ่ะย่ะค่ะ"
ความเร่งด่วนของสารที่ถูกส่งมาเป็นดั่งแรงกดดันที่หนักอึ้ง ข้ารู้สึกเหมือนกำลังจะจมดิ่งลงไปในห้วงน้ำลึก ภาพอดีตของพระราชวังอันเย็นเยียบ—ความอ้างว้างที่เคยกัดกินหัวใจ—ย้อนกลับมาหลอกหลอนข้าอีกครั้ง ความคิดเรื่องการกลับไปที่นั่นทำให้ข้าสั่นสะท้าน ข้าไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าความกลัวกำลังครอบงำข้าอีกครั้ง เสด็จพ่อท่านต้องการอะไรจากข้า? ไม่ใช่ว่าท่านเกลียดข้าถึงได้โยนข้าออกมาที่แห่งนี้หรือ? แล้วนี่ข้าสามารถหาความสุข หาที่อยู่ของตัวข้าได้ ไฉนท่านถึงเรียกตัวข้ากลับเสียดื่อๆ ท่านต้องการอะไรจากข้ากันแน่?!
ข้าหันไปมองเซอร์ไอเดน สีหน้าของเขาเคร่งเครียด และแม้เขาจะไม่พูดอะไร ข้าก็รู้ว่าเขาเข้าใจถึงความสับสนและหวาดหวั่นของข้า "อาจเป็นเรื่องสำคัญจริงๆก็ได้พ่ะย่ะค่ะ" เขากล่าวในที่สุด น้ำเสียงมั่นคงแต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใย
"สำคัญ?" ข้าทวนคำของเขา เสียงสั่นเล็กน้อย "จะมีเรื่องสำคัญอะไรจากบูตรที่ท่านทอดทิ้งและโยนให้มาอยู่ที่นี่ด้วยตัวพระองค์เอง?!"
ผู้ส่งสารยืนเงียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม ข้าสูดหายใจเข้าลึก พยายามควบคุมอารมณ์ที่ปั่นป่วน ข้าผ่านมาไกลเกินกว่าจะปล่อยให้ความกลัวเดิม ๆ ล่ามข้าไว้อีก
"ก็ได้" ข้ากล่าวในที่สุด พยายามข่มความสั่นสะท้านในหัวใจด้วยความแน่วแน่ "หากข้าต้องกลับไป ข้าก็จะไป"
ข้ามองไปยังผู้ส่งสาร แรงกดดันของการตัดสินใจครั้งนี้ถาโถมเข้ามา แต่ข้ากลับรู้สึกมั่นคงขึ้นอย่างน่าประหลาด
"เตรียมรถม้าให้ข้า" ข้าออกคำสั่ง โดยพยายามควบคุมสถานการณ์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อผู้ส่งสารออกไป ข้ารู้สึกได้ถึงเงาของความลังเลที่คืบคลานเข้ามา ความกังวลที่พยายามแทรกซึมกลับเข้ามาในใจ ทว่า ในขณะเดียวกัน ข้าก็รับรู้ได้ถึงสิ่งหนึ่ง—นี่อาจเป็นบททดสอบ เป็นบทพิสูจน์ว่าข้ามาไกลและเติบโตมากเพียงใด
ความสงบและความสุขที่ข้าสร้างขึ้นอาจถูกสั่นคลอน แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้เรื่องบ้าๆที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้พัดพาให้มันหายไปจากข้าตลอดกาลไม่อีกแล้ว...
เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังก้องไปทั่วอาณาจักร แน่นอนเมืองชิทูเรียก็เช่นกันแม้จะอยู่ห่างไกลแต่ตอนนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ธงหลากสีพลิ้วไหวตามสายลมอ่อน และแสงไฟระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ผู้คนออกมาร่วมงานกันอย่างคับคั่งเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล วันสำคัญที่ยิ่งใหญ่สำหรับอาณาจักรแห่งนี้ภายในวังของข้าบรรยากาศก็คึกคักไม่แพ้กัน แต่ขณะที่เสียงเฮฮาดังมาจากภายนอก ความคิดของข้ากลับล่องลอยไปที่อื่นแทนเอลลี่ที่กำลังสนุกสนานสะดุดตาข้าที่นั่งเหม่ออยู่เฉยๆ เธอเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเธอเห็นบรรยากาศของงานเทศกาลที่กำลังรื่นเริงแต่ตัวข้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น “ฝ่าบาทเพคะ” เธอเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล “เป็นอะไรหรือเพคะ? ท่านไม่ไปร่วมงานเทศกาลหรือ?" "ไม่ล่ะ พวกเจ้าไปเถอะ" ข้าตอบพลางก้มลงไปเขียนรายงานบนโต๊ะต่อเอลลี่ เห็นก็นึกสงสัย "วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของเจ้าชายคาลิเบล เทศกาลใหญ่แห่งปีทั้งที ฝ่าบาทจะเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้นะเพคะ!" นางกล่าวพลางพยายามดึงแขนข้าให้ลุกขึ้นซึ่งข้าก็ทำตัวแข็งย
เกือบหนึ่งปีผ่านไปนับตั้งแต่ข้าย้ายมายังชิทูเรียฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือน เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการดิ้นรน บัดนี้กลับคึกคักมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน ถนนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ตลาดที่คึกคักไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เร่งรีบเสนอขายสินค้าของตนรวมถึงนักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่แวะเวียนเข้ามาในเมืองแห่งนี้มากขึ้น กลิ่นขนมปังอบใหม่และดอกไม้แรกแย้มแต่งแต้มอากาศให้หอมหวาน ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นหลักฐานแห่งความพยายามของชาวเมือง และเป็นประกายแห่งความสุขที่ข้าได้ช่วยจุดประกายขึ้นมา การพัฒนาเมืองยังคงดำเนินต่อไปด้วยความราบรื่น การขุดเจาะอุโมงค์ก็ยังคงเป็นไปได้ด้วยดีแม้จะดำเนินการช้ากว่าที่คาดการณ์แต่แลกกับความปลอดภัยนับว่าคุ้มค่าในท่ามกลางกาลเวลาที่ผันเปลี่ยนเหล่านั้น สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน เฟริกซ์ โรสริน และข้ามีโอกาสพบกันบ่อยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์ตระกูลวาลมอร์หรือภายในวังของข้า เวลาที่เราใช้ร่วมกันค่อย ๆ ขยับขยาย เส้นแบ่งระหว่างเราเริ่มจางลง มิตรภาพ ความไว้วางใจ และความผูกพันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแรกเริ่ม ข้าเคยเว้นระยะห่างจากโรสริน ด้วยไม่แน่ใจว่าข้า
ห้องรับรองของตระกูลวาลมอร์เป็นสถานที่ที่เบาสบายแม้ไม่โออ่ามากมายแต่บรรยากาศชวนอบอุ่น แสงแดดยามบ่ายที่ไม่แรงมากส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ทอดเงาลวดลายที่พลิ้วไหวจากกิ่งไม้ภายนอกลงบนโต๊ะ เกิดเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการพบปะครั้งนี้ บรรยากาศภายนอกมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นภาพเด็กสามคนกำลังนั่งดื่มน้ำชา ทานขนม พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่กลับกันภายในของข้ากลับมีแต่ความกังวลและประหม่าเต็มไปหมด ผู้ที่นั่งล้อมโต๊ะหรูหรามีเพียงสามคน—ข้า,เฟริกซ์ และโรสลิน เด็กสาวที่ดูงดงามจับตาด้วยเรือนผมสีเงินซึ่งส่องประกายอ่อนโยนยามต้องแสง โรสลิน ผู้เปี่ยมด้วยพลังและความกระตือรือร้น พยายามชวนข้าคุยอยู่ตลอดเวลา"ข้าได้ยินเรื่องของพระองค์มาเยอะเลยเพคะ ฝ่าบาท! ความกล้าหาญของพระองค์ตอนเหตุการณ์สัตว์เวทมนตร์โจมตี—น่าประทับใจมากจริง ๆ!"ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางจุดประกายความอบอุ่นขึ้นในใจข้าเล็กน้อย ข้าจึงส่งรอยยิ้มบาง ๆ ตอบกลับขณะที่โรสลินยังคงพูดต่อไปด้วยความกระตือรือร้น ข้าเองก็ตอบเธอกลับไปอย่างเป็นมิตร ทว่าพร้อมกันนั้น ข้ากลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองยังคงรักษาระยะห่างไว้อย่างไม่รู้ตัว—สัญชาตญาณบางอย่างที่ทำใ
ความว่างเปล่ากลืนกินสติของข้าหลังจากการต่อสู้ ข้าต่อสู้อย่างสุดกำลัง ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องชาวเมือง แต่ในที่สุด ความอ่อนล้าก็ตามทัน ข้าหมดสติท่ามกลางความโกลาหลรอบตัวในห้วงนิทราลึก ข้าพบว่าตัวเองจมดิ่งสู่ความฝัน มันทั้งชัดเจนและเลือนรางในคราวเดียวกัน เหมือนจริงจนน่าประหลาดใจ แต่ก็คล้ายกับบางสิ่งที่ข้าไม่อาจไขว่คว้าได้ ภาพเลือนรางปรากฏขึ้นตรงหน้า—เงาร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยเงาอันเร้นลับ ทำให้ข้ามองเห็นไม่ชัด ทว่าผมสีส้มเพลิงของเขาส่องประกายราวกับเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ท่ามกลางความมืดแห่งนั้น แรงดึงดูดบางอย่างฉุดข้าเข้าไปใกล้เขาโดยไม่รู้ตัวเขายืนหันหลังให้ข้า และเมื่อข้าจ้องมองเขาอยู่นั้น เขาก็ค่อย ๆ หันกลับมา หัวใจข้าเต้นรัว ความคาดหวังพุ่งทะยานขึ้นสูง ทว่าในวินาทีที่เขาหันมาเผชิญหน้ากับข้า ข้ากลับไม่ได้ยินเสียงของเขาเลย ข้ามองเห็นเพียงริมฝีปากของเขาขยับ เป็นถ้อยคำที่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้ ข้าพยายามเปล่งเสียงเรียกเขา ทว่าไม่มีแม้แต่เสียงกระซิบเล็ดลอดจากริมฝีปากของข้า ข้าทำได้แค่เฝ้ามอง ขณะที่เขาขยับปากกล่าวบางอย่าง…แต่ข้าไม่ได้ยิน“ได้โ
ข้าก้าวเดินต้อยๆไปตามถนนที่คึกคักของชิทูเรีย ความตื่นเต้นและอารมณ์แห่งการผจญภัยหลอมรวมกันอยู่ในใจ ใบไม้เปลี่ยนสีของฤดูใบไม้ร่วงปลิวไสวราวกับเศษกระดาษสีที่โปรยปรายอยู่ในสายลมอ่อน ๆ มันเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่น่ายินดีจากการเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในวัง และเป็นโอกาสให้ข้าได้สัมผัสชีวิตของชาวเมืองแห่งนี้ด้วย แน่นอนด้วยเครื่องแต่งกายที่สุดแสนจะธรรมดา ทำให้ตอนนี้พวกเราแลดูเหมือนเป็นครอบครัวชาวเมืองที่มาเดินเล่นแถวตลาดแบบธรรมดาเอลลี่เดินอยู่ข้างข้า เสียงพูดคุยร่าเริงของเธอเติมเต็มอากาศ ขณะที่เธอชี้ให้ดูร้านค้าต่าง ๆ ที่เรียงรายอยู่สองฝั่งถนน“ฝ่าบาทเพคะ! ดูสิ ร้านนั้นขายขนมแลดูน่าอร่อยสุดๆไปเลยนะเพคะ! พวกเราควรซื้อมาลองทานกันสักหน่อยนะเพคะ” เธอเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้นข้ายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว กับความกระตือรือร้นและร่าเริงของนาง “ดูน่าสนใจดีนะ” ข้าตอบพลางมองไปที่แผงขายขนมอบที่มีของหวานหน้าตาน่าทาน กลิ่นหอมของแป้งที่อบใหม่ทำให้ข้าเผลอจินตนาการถึงรสสัมผัสของเปลือกขนมกรอบ ๆ และไส้หวานนุ่มละมุน ไม่ช้านาน เอลลี่ ก็กลับมาหาพวกเราที่ยืนรออยู่ไม่ห่างพร้อมขนมอบสามชิ้น ควันอุ่นๆลอยขึ้
วันฉลองพระชันษาครบรอบเจ็ดปีของ คาริเบล พึ่งผ่านไปเมื่ออาทิตย์ก่อน วันนี้เป็นวันที่สงบสุขในสวนพระราชวัง แสงอาทิตย์ส่องประกายอบอุ่น อาบไล้ทุกสิ่งให้เปล่งประกายสีทอง มอบความเป็นชีวิตชีวาให้ทุกสรรพสิ่งที่มันผ่าน อากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน สีสันสดใสแต่งแต้มทิวทัศน์ให้ดูงดงามราว แต่ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางความงามนี้ กลับมีสายตาและเสียงซุบซิบนินทาถึงข้าอยู่ร่ำไปขณะเดินเล่น ข้าพยายามเพิกเฉยต่อ คาลิเบล ที่เดินตามมาติด ๆออเรเลีย—เจ้าหญิงแห่งเงาของปราสาทบัดนี้ได้รับการเลื่อนขั้นกลายเป็นเจ้าหญิงตัวซวย เจ้าหญิงถูกทิ้ง บลาๆ ตามแต่ที่จะนินทา นั่นคือสิ่งทุกคนในวังไม่ว่าจะเป็นคนรับใช้ ไปจนถึงขุนนางบางคนที่เข้าออกวังมองข้า แต่ถึงกระนั้น คาลิเบล ผู้เป็นน้องชายตัวน้อยผู้เต็มไปด้วยพลัง ก็ยังคงวนเวียนกระโดดโลดเต้นตามข้าอย่างร่าเริง โดยไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น เสียงหัวเราะของเขากังวานสดใสราวกับเสียงนกในฤดูใบไม้ผลิ"ท่านพี่!" เขาเรียกพลางดึงชายกระโปรงของข้า การกระทำของเขาบางครั้งก็ทำให้ข้ารู้สึกหงุดหงิด แต่น้ำเสียงใสซื่อของเขาก็ทำให้หัวใจข้าอ่อนลงไปพร้อมกัน "เราไปเล่นกันที่น้ำพุได้ไหม?""ไม่,