“ง่ายเช่นนี้เลยหรือหมิงเอ๋อร์”
“ง่ายเช่นนี้เลยขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม่รู้ว่ารสชาติความหวานมันจะเป็นยังไง คงต้องรอหลังจากที่ต้มเสร็จแล้ว เราค่อยมาดูว่าจะปรับอัตราส่วนเช่นใดขอรับ”
อี้หมิงตอบนางหู ก่อนจะหันไปบอกบิดา“ท่านพ่อขอรับ รบกวนท่านพ่อไปตัดกระบอกไม้ไผ่มาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ข้าจะเอามาใส่น้ำตาลผัก พรุ่งนี้เราจะเอาไปให้ท่านลุงเย่ชิม บ้านเราไม่มีไหเปล่า คงต้องใช้กระบอกไม้ไผ่แทน ท่านพ่อตัดมาเยอะ ๆ เลยนะขอรับ เพราะข้าจะเอาไปเป็นสินค้าทดลองให้เถ้าแก่ในตลาดลองชิมดูขอรับ”
“ได้สิ พ่อจะไปทำให้เดี๋ยวนี้” จางอี้เทาผละออกไปทำตามที่บุตรชายต้องการ ปล่อยให้สองย่าหลานทำน้ำตาลผักกันต่อไป
“หมิงเอ๋อร์ ถ้าน้ำตาลผักที่เรากำลังทำอยู่นี้มันขายได้ บ้านเราคงมีเงินเข้าบ้าน และมีเงินซื้ออาหารไว้สำหรับฤดูหนาวนี้แล้ว”
“ท่านย่า ข้าว่ามันต้องขายได้อย่างแน่นอนเพราะชาวบ้านคงอยากกินน้ำตาล แต่มันแพง เลยซื้อไม่ได้ ถ้าเราทำน้ำตาลผักออกมาขาย เราไม่ต้องขายแพงมาก ให้ชาวบ้านได้กินของดี ๆ บ้าง ข้าว่ามันต้องขายได้ อีกอย่าง ท่านย่ารู้หรือไม่ เราสามารถเอาน้ำตาลผักใส่ลงไปในโจ๊กธัญพืช เพียงแค่นี้ก็ได้โจ๊กที่มีรสหวานแล้วขอรับ”
“จริงหรือหมิงเอ๋อร์ ย่าชักอยากลองเจ้าน้ำตาลผักนี่แล้วสิ ว่ามันจะหวานเหมือนน้ำตาลจริงไหม” นางหูยิ้มหวาน มือก็ยุ่งอยู่กับการต้มหญ้าหวานในหม้อไปเรื่อย ๆ
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม จางอี้เทากลับมาพร้อมกระบอกไม้ไผ่ที่ตัดทำปากให้เรียบแล้วจำนวนห้าสิบกระบอก ส่วนน้ำตาลผักก็เย็นตัวและผ่านการกรองเรียบร้อย ทุกคนจึงมานั่งล้อมวงอยู่ตรงกลางบ้าน มีน้ำตาลผักวางอยู่ตรงกลางแคร่ไม้
“หมิงเอ๋อร์ น้ำตาลผักของเจ้ามีสีน้ำตาลเข้มอ่อนไม่เท่ากันนะ” นางหูพินิจพิจารณา
“ใช่แล้วขอรับ สีเข้มคือน้ำตาลผักที่เราจะต้องนำไปทำอาหารหรือขนม ส่วนสีอ่อนคือน้ำดื่มคล้ายน้ำชาขอรับ วิธีใช้คือ ใส่ลงไปในอาหารได้เลย โดยเราเริ่มใส่ไปทีละน้อย ๆ เราต้องการความหวานมากน้อยแค่ไหน ใส่ตามใจคนที่กินเลยขอรับ”
“เอ๊ะ! เหตุใดมันถึงไม่มีกลิ่นเหม็นเหมือนตอนที่มันอยู่บนต้นละ” เป็นจางอี้เทาที่เอ่ยออกมาด้วยความแปลกใจ เขาจำได้ว่าพืชชนิดนี้กลิ่นเหม็นนัก แต่ในตอนนี้กลับไร้กลิ่นใด ๆ
“เพราะการต้มทำให้กลิ่นระเหยออกไปขอรับ ไม่มีกลิ่นก็ดีแล้วขอรับ”
จะว่าไปก็เพิ่งนึกขึ้นได้ มันแปลกมาก ทำไมต้นหญ้าหวานถึงไม่มีกลิ่นเฉพาะตัวล่ะ หรือเป็นเพราะโลกนี้ไม่ใช่โลกที่เราจากมา ถึงแม้จะเป็นต้นหญ้าหวานเหมือนกัน แต่มีคุณสมบัติบางอย่างแตกต่างกันเช่นนั้นหรือ แต่ก็ดีแล้วล่ะ ถ้าลองมีกลิ่นเหม็นเขียวยิ่งกว่ายาต้ม แบบนั้นเขาก็กินไม่ลงเหมือนกันและคงทำออกไปขายไม่ได้
“เอาล่ะ ใครจะเป็นคนชิมคนแรก” นางหูเอ่ยถาม นางสนใจน้ำตาลผักตรงหน้ามาก อยากรู้นักว่ารสชาติจะหวานดั่งว่าหรือไม่
“ข้าเองขอรับ เพราะข้ารู้จักน้ำตาลผักมากกว่าท่านพ่อกับท่านย่า” จางอี้หมิงตอบผู้อาวุโสของบ้านและใช้ช้อนเล็ก ๆ ตักน้ำตาลผักขึ้นมาลองแตะ ๆ
“อืม น้ำตาลผักไม่มีกลิ่นเหม็นเขียว รสชาติหวานจนเกือบขม คงต้องนำไปผสมน้ำเปล่าเพิ่มขอรับ เพราะมันหวานเกินกว่าลิ้นของเราจะรับรสได้ เราต้องทำให้เจือจางลงไปอีกหน่อยขอรับ ท่านพ่อ ท่านย่า ลองชิมดูได้ขอรับ ต่อไปถ้าเราต้องทำออกมาขาย จะได้จำได้ว่ารสชาติแบบนี้ขายไม่ได้ขอรับ”
“อืม หวานออกขม” นางหูชิมและเห็นด้วย
“มันหวานจริง ๆ ด้วยหมิงเอ๋อร์ ไม่น่าเชื่อว่าใบหญ้าบนภูเขาเมื่อเอามาต้มแบบนี้แล้ว มันจะกลายเป็นน้ำตาลผักขึ้นมาได้” จางอี้เทาตื่นเต้นและประหลาดใจ นับเป็นความรู้ใหม่สำหรับบัณฑิตอย่างเขา
“ท่านย่าขอรับ ต้มน้ำเปล่าแล้วนำน้ำตาลผักนี้ไปเจือจางหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ข้าว่ารอบนี้มันน่าจะใช้ได้แล้ว”
“ได้ ๆ”
ตลอดเย็นวันนั้น จางอี้เทา จางอี้หมิงและนางหู ได้ทดลองทำน้ำตาลผักด้วยอัตราส่วนผสมที่แตกต่างกันครั้งแล้วครั้งเล่า จนสุดท้ายก็ได้สูตรที่ลงตัว ทว่าเวลาก็ปาไปถึงยามซวี(19.00 – 20.59) เมื่อรู้สึกหิว นางหูจึงต้มโจ๊กแล้วผสมแค่น้ำตาลผักที่ทำขึ้นมานี้ให้ทุกคนได้ลอง ปรากฏว่าน้ำตาลผักช่วยทำให้โจ๊กธัญพืชมีรสชาติหวานขึ้น มีความอร่อยขึ้นมากว่าโจ๊กเปล่า ๆ มากมายนัก
ทั้งสามคนถึงกับยิ้มให้กันอย่างมีความสุข พรุ่งนี้ตอนเช้าจางอี้เทากับจางอี้หมิงจะเอาน้ำตาลผักและแผนการสร้างบ้านไปปรึกษากับหัวหน้าหมู่บ้านซุนถง ซึ่งก็หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คิดไว้
คืนนี้จึงเป็นคืนแรกที่คนบ้านจางได้นอนหลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในรอบหลายเดือน
เหตุการณ์เช่นนี้เป็นไปตามการคาดการณ์ของจางอี้หมิงทุกอย่าง กลยุทธ์นี้จางอี้หมิงอ่านเจอในนิทานพื้นบ้านท้องถิ่นของภาคอีสาน เขาจึงนำมาปรับใช้ในการแข่งขันในครั้งนี้ ด้วยลักษณะนิสัยของพ่อครัวหลวงนั้นเย่อหยิ่งและเขาจะต้องเร่งทำอาหารให้เสร็จโดยไว แล้วก็เป็นไปตามที่จางอี้ หมิงคาดไว้ เหลาอาหารเฟิงฟู่ทำปักษาล่องลมเสร็จตั้งแต่ต้นยามอู่ (11.00 – 12.59) ซึ่งคณะผู้ตัดสินต่างก็อิ่มอาหารจากที่บ้านมาก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงชิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจางอี้หมิงจึงให้พ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างให้พร้อมในช่วงเวลานั้น คล้ายกับการขยับเวลาออกไป เมื่อเหลือเวลาหนึ่งชั่วยามสุดท้าย พวกเขาจึงเริ่มลงมือทำอาหาร ในชาติก่อนแค่เพียงไข่เจียวธรรมดา ถ้าต้องมาได้กลิ่นในยามที่หิวจัด กลิ่นของไข่เจียวก็หอม กระตุ้นต่อมอยากอาหารได้มากโข จางอี้หมิงจึงใช้ความจริงข้อนี้มาทำให้เกิดข้อได้เปรียบของเหลาซิ่งฝูแม้แต่แขกผู้สูงศักดิ์ที่ไม่เคยได้ลิ้มลองกับความอดอยาก พวกเขากินข้าววันละสามมื้อ แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมานานเสียจนเลยเวลามื้ออาหารกลางวันมาถึงยามเว่ยแล้ว ความหิวจึงมาเยือนได้ง่าย พอถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นไข่เจียวร้อ
เมื่อเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม จางอี้หมิงจึงพยักหน้าส่งสัญญาณให้ท่านลุงอู๋เจ๋อเริ่มทำการปรุงอาหารของเหลาอาหารซิ่งฝูทันที โดยรายการอาหารที่จางอี้หมิงเลือกใช้ในการแข่งขันนี้คือไข่ม้วนข้าวผัดกุ้ง เนื่องจากอู๋เจ๋อฝึกการทำไข่ม้วนข้าวผัดกุ้งมาตลอดหนึ่งเดือนนี้จึงมั่นใจว่าตนทำได้ดี แต่เมื่อต้องมาทำต่อหน้าเหล่าชาวบ้านชาวเมือง เขาก็ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกกำลังใจให้กับตนเอง จางอี้หมิงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยให้กำลังใจท่านลุงอู๋อีกที“ท่านลุงอู๋ ไม่ต้องตื่นเต้นนะขอรับ ทำตามที่เราฝึกกันมา ท่านลุงอู๋เก่งอยู่แล้ว ท่านทำได้แน่นอน”“หมิงหมิงน้อย การทำอาหารชนิดนี้มันยังไม่เคยมีมาก่อนนะ ข้ากลัวว่ามันจะสู้รายการอาหารของเหลาเฟิงฟู่ไม่ได้ ฝ่ายนั้นทำปักษาล่องลมเชียวนะ แล้วไข่ม้วนของเราจะสู้ได้หรือไม่”อู๋เจ๋อเปรยออกมาเบา ๆ หากเขาเป็นกรรมการก็คงให้รายการอาหารของเหลาเฟิงฟู่ชนะเช่นกัน“ท่านลุงอู๋มิเชื่อฝีมือข้าหรือขอรับ พวกเราต้องชนะแน่นอนขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยทั้งปลอบใจและให้กำลังใจไปด้วยในคราเดียวในการทำไข่ม้วนสิ่งสำคัญคือการม้วนไข่ไม่ให้ขาดและไม่ติดหม้อ หากเป็นในยุคปัจจุบันอี้หมิงจะไม่มีความกังวลเ
ผ่านไปครึ่งชั่วยามไก่นึ่งของทางเหลาอาหารเฟิ่งฟูก็สุกได้ที่ เล่อหยุนจึงทำการรมชาเป็นขั้นตอนสุดท้าย เมื่อคำนวณเวลาโดยประมาณแล้ว ฝั่งของเขาจะเสร็จก่อนเวลาที่กำหนดถึงหนึ่งชั่วยามการรมชาทำได้ไม่ยาก เพียงแต่ก่อนทำการรมชา เล่อหยุนนำน้ำผึ้งผสมด้วยซีอิ๊วมาทาลงไปบนตัวไก่ที่นึ่งสุกแล้วเพื่อให้ตัวไก่มีสีสันสวยงาม หลังจากนั้นจึงนำข้าวสาร น้ำตาล และใบชาชั้นดีลงไปคั่วในหม้อจนน้ำตาลเริ่มละลาย เมื่อควันเริ่มลอยออกมาจึงนำหม้อนึ่งไก่ลงไปอบด้วย เขาใช้เวลาประมาณ 60 ลมหายใจ ก่อนจะยกหม้อลงจากเตาและทำการรมควันแบบนั้นไปอีกหนึ่งเค่อ เพียงเท่านี้ก็จะได้ปักษาล่องลมที่มีสีสันน่ากินและรสชาติล้ำเลิศแล้วเล่อหยุนตกแต่งอีกเพียงเล็กน้อย เขาทำการตัดชิ้นส่วนของปักษาล่องลมให้พอดีคำ ง่ายต่อการชิมของคณะผู้ตัดสิน นอกจากนำไปส่งให้กับคณะผู้ตัดสินแล้ว อาหารอีกหนึ่งชุดถูกนำไปขึ้นโต๊ะให้กับแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายได้ทดลองชิมเช่นกัน“ไก่ชิ้นนี้อร่อย นุ่ม หอมกลิ่นชาเมื่อกินกับข้าวร้อน ๆ เข้ากันได้อย่างลงตัว”“ในเมืองหน้าด่านเช่นนี้ เพียงอาหารที่อร่อยและใช้วัตถุดิบน้อย ก็เป็นสิ่งที่พ่อครัวต้องคิดถึงเช่นกัน ปักษาล่องลม ถือว่าได้คุ
การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นทันทีที่เสียงประกาศจบลง บรรดาชาวบ้านที่มามุงดูการแข่งขันของสองเหลาอาหารชื่อดังต่างพากันเงียบเสียงเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการปรุงอาหารของผู้แข่งขัน หนิงอ๋องแย้มรอยยิ้มให้กำลังใจจางอี้หมิงเมื่อเด็กน้อยเพียงหนึ่งเดียวก้มศีรษะคารวะทำความเคารพไปยังที่นั่งของแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายอดีตพ่อครัวหลวงอย่างเล่อหยุนเองก็ยิ้มย่อง รายการอาหารที่เขาเลือกนำมาปรุงในวันนี้คือ ปักษาล่องลม หรือ ไก่รมชา นั่นเอง ขั้นตอนการปรุงปักษาล่องลมนั้นก็ไม่ยุ่งยากวัตถุดิบน้อยอย่างแต่กลับมีรสชาติที่น่าทึ่ง เล่อหยุนใช้ไก่ทั้งตัว ล้างทำความสะอาดและใช้ผ้าขาวซับน้ำให้ตัวไก่แห้งสนิท ตามด้วยสมุนไพรฮวาเจียว ขิง ต้นหอม ใส่ลงไปในตัวไก่เสร็จแล้วจึงกลัดด้วยไม้เสี้ยนเพื่อให้เครื่องเทศอยู่ในตัวไก่ไม่หลุดออกมาหลังจากนั้นใช้เกลือเม็ดมาทาทั่วทั้งตัวไก่แล้วตามด้วยพริกหอมฮวาเจียวอีกครั้ง ก่อนนำไปพักไว้ให้ตัวไก่ได้ดูดซับเอาเครื่องเทศเข้าไป ทางเหลาอาหารเฟิงฟู่ทำปักษาล่องลมทั้งหมด 5 ตัว ในระหว่างที่รอหมักไก่ให้เข้าที่ พ่อครัวหลายคนของเหลาเฟิงฟู่ก็เดินมายืนชมพ่อครัวเหลาอาหารซิ่งฝูพลางส่งเสียงเยาะเย้ยถากถางไม่หยุด“อา
ดั่งสายลมพัดผ่าน สายน้ำมิเคยไหลกลับ กาลเวลาเคลื่อนคล้อยตามที่ควรจะเป็น เช้าวันนี้ในเมืองไห่ถังต่างคราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งชาวบ้าน คหบดี หรือข้าราชสำนัก ไม่ว่าจะเป็นชาวเมืองไห่ถังเองหรือชาวเมืองใกล้เคียงบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน สมกับเป็นงานรื่นเริงประจำเมืองที่จะจัดขึ้นในทุกๆ ปีมีกลุ่มคนบางคนรับทายผลการพนันว่าเหลาอาหารไหนจะได้ตำแหน่งไปครอบครอง ถึงแม้ว่าจะมีการรับพนันแบบลับๆ ก็ตาม โดยเหลาอาหารเฟิงฟู่ยังคงเป็นที่นิยมของชาวเมือง เนื่องจากข่าวที่เหลาอาหารเฟิงฟู่ได้อดีตพ่อครัวหลวงมาเป็นพ่อครัวในการลงแข่งขันนั้นถูกกระพือออกไปให้รู้กันถ้วนหน้า ในส่วนของเหลาอาหารซิ่งฝูถึงแม้ว่าระยะเวลาหนึ่งปีมานี้จะมีลูกค้าหนาแน่น อาหารน่ากินและแปลกใหม่ก็ตาม แต่ก็เหมือนการแบ่งแยกชนชั้นว่าเป็นเหลาอาหารของชาวบ้านมากกว่า จึงยังคงเป็นรองเหลาอาหารเฟิงฟู่อยู่ขั้นหนึ่งณ ลานกลางเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ในการจัดการแข่งขันการทำอาหาร บัดนี้ถูกแบ่งพื้นที่เป็นสองฝั่ง เจ้าเมืองได้เดินทางมาเป็นประจักษ์พยาน นอกจากนั้นยังมีหนิงอ๋อง อ๋องน้อยหนิงเทียน อาจารย์เทียน และพ่อครัวหลวงบางคนที่ท่านเจ้าเมืองได้เชิญมาเพื่อเป็นเกียรติแก่
วันเวลาผันผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับครอบครัวจางที่มีงานรัดตัว อีกเพียงสามวันก็จะถึงวันแข่งขันทำอาหารเพื่อชิงตำแหน่งเหลาอาหารอันดับหนึ่ง บรรดาเหลาอาหารเล็กๆต่างพากันถอนตัวออกไปมาก ด้วยพวกเขาทราบกันว่าพ่อครัวของเหลาอาหารเฟิงฟู่เป็นถึงอดีตพ่อครัวหลวง ผู้ซึ่งเคยประกอบสำรับถวายฮ่องเต้แคว้นฉินมาแล้ว หากดึงดันลงแข่งไปก็หาทางเอาชนะได้ยาก ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเพียงเหลาอาหารเฟิงฟู่และเหลาอาหารซิ่งฝูเท่านั้นในการจับไม้สั้นไม้ยาว เหลาอาหารเฟิงฟู่จะได้ทำอาหารก่อนและตามด้วยเหลาอาหารซิ่งฝู ผลการแข่งขันจะมาจากการให้คะแนนของชาวเมืองไห่ถังหนึ่งส่วน โดยให้ชาวเมืองนำเงินไปหย่อนลงในกล่อง หนึ่งอีแปะเท่ากับหนึ่งคะแนน เมื่อสิ้นสุดการแข่งขันแล้ว เงินจำนวนนี้จะนำไปช่วยเหลือชาวบ้านที่เจ็บป่วยไม่มีเงินหาหมอต่อไปและอีกหนึ่งส่วนเป็นการให้คะแนนจากพ่อครัวจากเหลาอาหารในเมืองหลวง จำนวน 5 ท่าน เมื่อนำคะแนนมารวมกันแล้วเหลาอาหารใดได้คะแนนมากที่สุด จะได้ขึ้นป้ายเป็นเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมืองไห่ถังต่อไปเกณฑ์การนับคะแนน สถานที่แข่งขัน และวันเวลาในการแข่งขัน ล้วนถูกประกาศออกไปทั้งหมดแล้ว ชาวเมืองต่างพากันอดใจรอไม่ไหวที่