เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางหูได้ทำโจ๊กธัญพืชและผัดผักบุ้งไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จางอี้หมิงบอกให้บิดานำต้นหญ้าหวานมาเด็ดเอาแต่ใบอ่อนล้างให้สะอาดก่อนจะนำไปตากแดด เสร็จแล้วทั้งครอบครัวจึงเริ่มนั่งล้อมวงกินข้าวมื้อแรกของวัน เว้นแต่หลี่อ้ายที่ไม่ได้มานั่งกินข้าวด้วย จางอี้เทาจึงนำโจ๊กไปป้อนให้ภรรยาถึงเตียงนอนหลังจากที่ตนเองกินเรียบร้อยแล้ว
“เมื่อวานแม่ว่าผัดผักบุ้งอร่อยมากแล้ว วันนี้อร่อยกว่าเมื่อวานเสียอีก” นางหูเอ่ยขึ้นมาหลังจากคีบผัดผักบุ้งเข้าปาก รสชาติมันอร่อยถูกปากกว่าเดิมเป็นไหน ๆ
“เพราะท่านย่ารู้จักการควบคุมไฟแล้วอย่างไรเล่าขอรับ รวมถึงรู้ว่าความสุกจะเอามากน้อยเพียงไหน ลองทำไปอีกสักสี่ห้าครั้ง ท่านย่าก็สามารถไปเป็นแม่ครัวหลวงได้สบายเลยขอรับ”
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างปากหวาน ย่าแค่พอทำได้ คนที่เก่งคือหมิงเอ๋อร์ต่างหากเล่า”
“ข้าเก่งเช่นท่านพ่อขอรับ” จางอี้หมิงยกความดีความชอบให้บิดาพร้อมกับชูนิ้วโป้งทั้งสองมือ หูไป๋หงและจางอี้เทาถึงกับหัวเราะออกมา นานเท่าไรแล้วที่ครอบครัวจางไม่ได้หัวเราะเสียงดังเช่นนี้ คงตั้งแต่ย้ายออกมาจากเมืองหลวงกระมัง
“อาเทา แม่เห็นเจ้าตากอะไรกลางลานบ้าน เจ้าได้สมุนไพรมาเช่นนั้นหรือ” นางหูตะโกนถามบุตรชายที่ตอนนี้คงกำลังป้อนข้าวสะใภ้ ไม่รู้ว่าจะได้ยินหรือไม่
“ไม่ใช่ขอรับท่านย่า มันคือต้นหญ้าหวาน ข้าจะเอามาทำน้ำตาลผักขอรับ ข้ากับท่านพ่อไปเจอเยอะมาก ท่านพ่อและท่านย่าบอกข้าว่าน้ำตาลราคาแพงมาก ข้าจึงคิดจะทำน้ำตาลผักออกมาขายขอรับ” หลานชายรีบตอบคำถามแทนบิดาของตน ทำให้นางหูที่ฟังอยู่เกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
“น้ำตาลผักเช่นนั้นเหรอ ย่าไม่เคยได้ยินมาก่อน มันเป็นอย่างไรเล่าหมิงเอ๋อร์”
“น้ำตาลผักคือรสหวานที่ได้มาจากต้นหญ้าหวาน ข้าจะเอามาทำเป็นน้ำตาลเชื่อม มันสามารถเอาไปใส่อาหาร ทำขนมหรือทำเป็นชาก็ได้ เหมือนน้ำตาลเลยขอรับ หลังจากที่มันแห้งแล้ว คืนนี้ข้าจะให้ท่านย่าลองทำดูนะขอรับ”
“นี่เป็นอาหารสวรรค์อีกใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วขอรับ”
“อืม ย่าชักติดใจการทำอาหารสวรรค์แล้วสิ ก็สมกับเป็นอาหารสวรรค์นั่นแหละ เพราะมันไม่เคยมีในเมืองของเรา”
“ท่านแม่ขอรับ ข้ามีข่าวดีมาบอกด้วยขอรับ” จางอี้เทาเดินเข้ามาเมื่อป้อนโจ๊กภรรยาเสร็จ เขาเห็นท่านแม่กำลังสนอกสนใจเรื่องอาหารสวรรค์ไม่น้อย คงเป็นการณ์ดีที่จะแจ้งเรื่องที่ได้พูดคุยกันเอาไว้กับอี้หมิง
“ข่าวดีอันใดหรืออาเทา”
“หมิงเอ๋อร์หาวิธีที่เราจะสร้างบ้านได้แล้วขอรับ”
“สร้างบ้านหรืออาเทา มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เราไม่มีเงินสักอีแปะ คงได้แต่ฝันไปเท่านั้น”
“เป็นความจริงขอรับท่านย่า พวกเราจะสร้างบ้านใหม่กัน มันอาจจะไม่ใหญ่โตเท่ากับบ้านในเมืองหลวง แต่มันจะแข็งแรงทนทานต่อลมหนาวและหิมะที่จะมาถึงแน่นอนขอรับ” เมื่อเห็นท่านย่ายากจะเชื่อ เด็กน้อยจึงเอ่ยสมทบ
“หมิงเอ๋อร์ เอาความคิดนี้มาจากชาวสวรรค์อีกเช่นนั้นเหรอ”
“ใช่แล้วขอรับ ท่านเทพสอนข้ามาขอรับ” อี้หมิงยกยิ้ม เขาไม่รู้หรอกว่ามีเทพที่ว่านี้จริงหรือไม่ แต่ก็หยิบยืมชื่อเสียงมาใช้จนชินปากเสียแล้ว
“ดี ๆ แล้วเราจะเอาเงินมาจากไหนเล่า”
“เป็นเช่นนี้ขอรับท่านแม่........” จางอี้เทาอธิบายให้มารดาของตนเองฟังถึงแผนการที่เขาได้คุยกับบุตรชายตอนขึ้นเขา จนการอธิบายสิ้นสุดลง นางหูถึงกับน้ำตาไหลออกมา
“ท่านย่า ร้องไห้ทำไมหรือขอรับ หรือท่านย่าไม่สบาย” เด็กน้อยปรี่เข้ามาดู
“หมิงเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ เพราะเจ้า...บ้านของเราถึงมีความหวังที่จะผ่านพ้นฤดูหนาวแสนโหดร้ายไปได้ ลำพังเพียงแค่ย่ากับพ่อแม่เจ้าก็ไม่รู้จะทำเช่นใด เจ้าช่างเป็นอภิชาตบุตรโดยแท้”
“ท่านย่าขอรับ พวกท่านคือครอบครัวของข้า ข้ารักพวกท่านทุกคน ต่อไปนี้พวกเราจะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นขอรับ” อี้หมิงลุกขึ้นไปกอดท่านย่าไว้แน่น เขาเคยเป็นเด็กกำพร้าไม่มีญาติ พอได้มีแล้วก็สุขใจ อยากรักษาและปกป้องมันเอาไว้แม้ว่าร่างกายจะมีอายุเพียงห้าขวบก็ตาม
เมื่อตากต้นหญ้าหวานไปได้สามชั่วยาม ใบหญ้าหวานก็แห้งเพียงพอที่จะนำไปทำน้ำเชื่อม ในยามโหย่ว (17.00 – 18.59) จางอี้หมิงจึงชวนนางหูไปทำน้ำตาลเชื่อมด้วยกัน โดยมีบิดาตามไปนั่งดูวิธีการทำด้วย
“ท่านย่าขอรับ ต้มน้ำเปล่าให้เดือด ๆ เลยนะขอรับ หลังจากน้ำเดือดแล้ว ใส่ใบหญ้าหวานแห้งลงไปสองส่วนและแบบสดหนึ่งส่วน เราต้องใส่ตอนที่น้ำกำลังเดือด เพราะมันจะช่วยลดกลิ่นเหม็นขอรับ ต้มไปประมาณหนึ่งเค่อ ถึงยกลงแล้วปล่อยให้มันเย็น” จางอี้หมิงยืนอธิบาย เด็กน้อยเขย่งเท้าดูหม้อต้ม
“เมื่อเย็นแล้ว เราจะนำมากรองเอากากใบหญ้าหวานออก วิธีก็ง่ายมากขอรับ แค่ตั้งน้ำเปล่าให้เดือดอีกครั้ง แล้วนำกากจากครั้งแรกลงไปต้ม น้ำตาลผักรอบที่สองจะใช้ดื่มกินแทนชาขอรับ เพียงแค่นี้เราก็จะได้น้ำตาลผักแล้วขอรับ”
“ง่ายเช่นนี้เลยหรือหมิงเอ๋อร์”
จางอี้หมิงยืนมองขบวนเดินทางของท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ และน้องน้อยอีกสองคนจนขบวนหายลับไปจากสายตา เมื่อหลี่อ้ายแข็งแรงพอจะออกเดินทางแล้ว ครอบครัวจางจึงได้เดินทางกลับหมู่บ้านหลัวถงพร้อมกับป้ายวิญญาณของอดีตท่านผู้นำตระกูล เด็กน้อยถอนหายใจและหันหลังเดินกลับเข้าจวนไปด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ด้วยนี้เป็นครั้งแรกที่เขาต้องแยกจากบิดา มารดาและท่านย่าตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างของจางอี้หมิงคนนี้ เขามีโอกาสได้มีความสุขกับน้องชายน้องสาวเพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่มิเป็นไรหรอกเมื่อเขาหมดภาระต้องตอบแทนบุญคุณแล้วจะกลับมายังแคง้นฉินก็ยังมิสายเกินไปความตั้งมั่นต่อสิ่งที่จะทำตั้งแต่ฟื้นคืนมีชีวิตใหม่อีกครั้ง ภารกิจเหล่านั้นเขาทำมันได้สำเร็จทุกอย่างแล้วไม่ว่าจะเป็นการนำป้ายวิญญาณท่านปู่กลับไปที่หมู่บ้านหลัวถง การแก้แค้นตระกูลหลัก การมีอาชีพและฐานะที่ดีขึ้น การแบ่งปันความสุขและความสำเร็จต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เสร็จสิ้นไปทั้งหมดแล้ว ในแคว้นฉินนี้ เขามิมีสิ่งใดให้เป็นห่วงอีกต่อไป“น้องชายหมิง พวกเราออกเดินทางกันเถอะ สายมากแล้ว”เป็นอ๋องน้อยหนิงเทียนที่เดินเข้ามาวางมือลงไปบนบ่าเล็ก ๆ นั้นอย่างอ่อนโยน พร้
แต่สิ่งที่มิคาดว่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นทันทีหลังจากที่จางอี้หมิงตะโกนเข้าไปรอบสอง หลี่อ้ายก็กรีดเสียงร้องดังออกมาถึงนอกห้อง ทำให้ทุกคนหันหน้าไปมองทางประตูห้องคลอดอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย“อุแว้ อุแว้”เสียงเด็กร้องแผดขึ้นทันทีที่จางอี้หมิงเอ่ยจบ ราวกับว่าเด็กน้อยรีบลืมตามาดูโลกตามคำบอกของพี่ใหญ่หรือเพราะเกรงกลัวคำขู่ก็หารู้ไม่“คลอดแล้ว ท่านแม่ น้องหญิงคลอดแล้ว” จางอี้เทาเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นเดินไปชะเง้ออยู่หน้าประตูอีกครั้ง“อุแว้ อุแว้”“เอ๋! เสียงร้องมาจากไหนอีก” นางหูเอ่ยถามอย่างแปลกใจ“หรือว่า มีเด็กสองคน”นั่นเป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบ พวกเขารอจนกระทั้งผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม หมอตำแยสองคนก็อุ้มห่อผ้าออกมาจากห้องคลอดจางอี้เทาเป็นคนแรกที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นหมอตำแยอุ้มห่อผ้าเดินออกมาจากห้องคลอด จางอี้หมิงจึงเดินไปชะเง้อชะแง้มองห่อผ้าทันที“นายท่านจาง คุณชายน้อย เป็นบุตรชายเจ้าค่ะ”หมอตำแยส่งห่อผ้าขาวสะอาดให้กับนายท่านจาง ผู้ที่เป็นบิดาของเด็กน้อยได้อุ้ม เขาน้ำตาไหลออกมาทันทีที่หมอตำแยยื่นห่อผ้าที่ข้างในนั่นมีบุตรชายของเขา ผู้เป็นบิดาโอบอุ้มเอาห่อผ้ามาถืออย่างทะนุถนอม บุต
ศพของฮูหยินผู้เฒ่าจือเฟยอิน ถูกนำไปทิ้งที่ป่าท้ายเมือง หาได้มีการทำพิธีอันใดไม่ จางอี้หมิงมิได้รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ เพราะถ้ามิใช่ความเห็นแก่ตัวอยากทำร้ายครอบครัวของตนเองก่อน คงไม่เกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมาจางอี้หมิงได้พบท่านตากับท่านยายแล้วเช่นกัน โดยหลี่อ้ายถือเอาวันพักผ่อนในสัปดาห์หนึ่งของทุกคนกลับไปเยี่ยมบิดามารดาของตนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง เมื่อพ่อแม่ลูกได้กลับมาเจอกันก็เกิดภาพอันน่าประทับใจอย่างเหลือล้นหลี่อ้ายสวมกอดบิดามารดาด้วยความรักและคิดถึง ในขณะที่ท่านตาและท่านยายของอี้หมิงก็โอบบุตรสาวไว้อ้อมแขนอย่างห่วงหา ท่านทั้งสองแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับตอนที่รู้ว่าหลี่อ้ายถูกขับไล่ให้ไปอยู่ชายแดนพร้อมสามีและลูกของนาง“นั่นใช่จางอี้หมิง หลานรักของยายใช่หรือไม่ เจ้าตัวโตขึ้นขนาดนี้แล้วหรือ” หญิงชราหันมามองเด็กชายที่หลบอยู่หลังหลี่อ้าย ซึ่งจางอี้หมิงก็พยักหน้ารับน้อยๆ“ขะ ข้าจางอี้หมิงขอรับ” เขาตอบกลับไปด้วยท่าทีเงอะงะโธ่...ก็คนไม่เคยมีตายายนี่นา จะทำตัวไม่ถูกบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาในวันนั้นจางอี้หมิงถูกสวมกอดอยู่หลายหน เขาได้รับเสื้อผ้ามากมายจากท่านตาผู้เป็นคหบดีค้าผ้าในคราแรกก็คิ
เป็นเวลากว่าสามเดือนแล้วที่เหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้นกับครอบครัวจางผ่านพ้นไป ตอนนี้จางอี้หมิงหายจากอาการป่วยเป็นปลิดทิ้ง ท่านอ๋องน้อยหนิงเทียนปักหลักอยู่ที่เรือนตระกูลจางเพื่อติดตามน้องชายที่เที่ยวไปตามตรอก ซอกซอยของเมืองหลวง โดยบอกท่านแม่ทัพซึ่งติดตามมาด้วยว่าเป็นการเรียนรู้เส้นทางการค้าตามที่หนิงอ๋องกำชับมาทว่าความจริงแล้วก็คือการเล่นซนตามประสาเด็ก เนื่องจากชีวิตในแคว้นเหลียงของอ๋องน้อยหนิงเทียนต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบเอาไว้มากมาย ทั้งการเล่าเรียนอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นทั้งทางด้านบุ๋นและบู๋ เมื่อได้เดินทางห่างไกลบ้านและห่างไกลสายตาของพระบิดา จึงถือโอกาสปลดปล่อยความเก็บกดบ้างนั่นเองทางด้านจางอี้เทาก็ตามติดภรรยาอย่างมิเคยให้คลาดสายตา จนหลี่อ้ายถึงกับรำคาญและคาดโทษว่าหากมิปล่อยให้นางได้มีเวลาอิสระและชีวิตส่วนตัวบ้าง นางจะให้สามีนอนนอกห้อง จางอี้เทาจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายความเข้มงวดของตนเองลง“ท่านพี่ ข้าแค่ตั้งครรภ์นะเจ้าคะ ข้ามิได้ป่วย ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ ท่านหมอก็แนะนำให้เดินและทำงานบ้าง จะช่วยให้คลอดง่าย” หลี่อ้ายโอดครวญไม่หยุด เมื่อจางอี้เทายังคงตามติดนางอย่างกับเงาตามตัว เขาไม่ไ
อีกด้านหนึ่งของจวน จางอี้หมิงที่ปลอดภัยจากพิษร้ายแล้วกำลังหวนคิดถึงความฝัน อาจจะเป็นเพราะความเจ็บปวดบริเวณท้องที่ร่างกายเล็ก ๆ นี้ทนไม่ไหว หรือเป็นเพราะยาระงับความเจ็บปวดที่อาลิ่วให้เขากินก็สุดจะรู้ สติสัมปชัญญะของเขาจึงดับวูบไปและได้ลอยละล่องกลับไปยังโลกใบเดิมที่เคยจากมาในฝันนั้น...เขารับรู้ได้ว่าตนเองอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เขาเห็นแม่ครูกำลังถูกประคองด้วยรวิสา หญิงสาวที่เติบโตมาด้วยกันและยังเป็นรักแรกของเขา ทั้งสองคนเดินไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยก่อนจะเปิดประตูเข้าไปอานนท์เห็นร่างของตนเองนอนอยู่บนเตียงคล้ายคนที่กำลังนอนหลับเท่านั้น ร่างของเขาซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อแม่ครูเข้าไปถึงในห้องพักแล้ว พยาบาลที่ดูแลอยู่จึงหลบออกจากห้องเพื่อให้แขกที่มาเยี่ยมได้ใช้เวลาส่วนตัวกับคนไข้แม่ครูนั่งลงข้างเตียง ยกมืออันเหี่ยวย่นตามกาลเวลาลูบไปบนศีรษะของอานนท์อย่างรักใคร่ น้ำตาของหญิงชราเอ่อล้นออกมาจากดวงตา โดยมีรวิสาคอยปลอบอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่าง“นนท์ เมื่อไหร่ลูกจะตื่นขึ้นมาเสียที อย่าทำให้แม่เป็นห่วงได้ไหม” แม่ครูเอ่ยกับร่างคนไข้บนเตียง ก็ไม่รู้ว่าคำบอกนั้นจะส่งไปถึงคนที่ฟังอยู่ได้หรือ
“ท่านแม่ทัพ นำยาชุบชีวิตติดตัวมาหรือไม่” อ๋องน้อยหนิงเทียนหันไปถามแม่ทัพที่ตนเองฝากตัวเป็นศิษย์ ทั้งยังเป็นผู้ทำหน้าที่คุ้มกันตนเองตลอดการเดินทางมายังแคว้นฉิน“นำมาพ่ะย่ะค่ะ” ท่านแม่ทัพตอบ เขาเดินออกไปที่รถม้าไม่ถึงชั่วอึดใจก็กลับมาและยื่นยาชุบชีวิตให้กับท่านอ๋องหนิงเทียน“พวกเจ้ารีบนำยานี้ไปช่วยน้องชายข้าเร็วเข้า” อ๋องน้อยหนิงเทียนเอ่ยสั่งการพลางยื่นยาชุบชีวิตไปให้ อาลิ่วจึงเดินไปรับมา องครักษ์หนุ่มรีบนำยามาบดและป้อนให้กับคนป่วยบนเตียงยาเม็ดชุบชีวิตเป็นดั่งโอสถเทพ สมแล้วที่ใคร ๆ ต่างก็ไขว้คว้าอยากได้มาครอบครอง เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม จางอี้หมิงก็ลืมตาฟื้นขึ้นมา อาการปวดท้องหายไปเป็นปลิดทิ้ง การหายใจกลับมาสม่ำเสมอ ใบหน้าที่เคยซีดเผือดเริ่มมีเลือดฝาด ริมฝีปากกลับมาเป็นสีแดงระเรื่อดังปกติถึงแม้ว่าจะมีอาการอิดโรยอยู่บ้าง แต่เมื่ออาลิ่วและอาปาเข้าไปตรวจดอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงกล่าวรายงานท่านอ๋องน้อยหนิงเทียนด้วยความยินดี“อาการของท่านอ๋องน้อยอี้หมิงหายจากการถูกพิษแล้วพ่ะย่ะค่ะ พักผ่อนและเสวยยาบำรุงอีกไม่กี่เทียบก็คงกลับมาแข็งแรงดั่งเดิมแล้ว” สิ้นคำของหน่วยองครักษ์เหลียงไป๋ จวนที่เคยเงียบเหง