หลังจากที่เขาได้เเยกย้ายกับเหล่าสหายของตนที่อยู่คนละตำหนัก ศิษย์พี่จางลี่ได้ฝากฝังให้ศิษย์พี่ตงหยางเดินไปส่งตนที่หน้าตำหนักเหมือนครั้งเเรกที่ได้เจอกันตรงที่ตลาด ทว่าศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินได้ผ่านมาทางนั้นพอดีจึงอาสาเดินกลับตำหนักไปพร้อมกับตน ถึงหนิงอ้ายจะสามารถเเยกแยะได้ว่าชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์พี่นั้นเพียงเเค่มีใบหน้าเหมือนกับเเทนไทและไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอน
หนิงอ้ายกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ว่าไม่ควรอยู่ใกล้กับคนนี้จะเป็นการดีที่สุด อาจจะดูเสียมารยาทไปบ้างกับศิษย์พี่โจวเซินผู้เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ในตำหนักของตนก็จริง ทว่าหนิงอ้ายยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ สายตาที่อีกฝ่ายมองมาชวนให้เขารู้สึกอึดอัดใจไปไม่น้อยเช่นกัน เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายจากชายหนุ่มทั้งสองคนหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะเดินกลับตำหนักของตนในทันทีอย่างไม่รั้งรอโดยที่ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาคอยรับส่งตนทั้งสิ้น
วิหคสอดแนมของหนิงอ้ายก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม หนิงอ้ายได้รับรู้ทุกสิ่งที่ศิษย์พี่ท่านนี้ทำเป็นประจำทุกวัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่เจอความผิดปกติก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังคงสั่งให้วิหคสอดแนมติดตามอีกฝ่ายต่อไปด้วยเพราะยังรู้สึกไม่วางใจ
ส่วนทางฝั่งของเฟยหลงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของศิษย์พี่ตงหยางความรู้สึกในตอนนี้ที่มีต่ออีกฝ่ายก็เป็นเพียงเเค่ความหมั่นไส้ในความเเข็งแกร่งที่ชวนให้หงุดหงิดใจเป็นบางครั้ง สาเหตุก็เนื่องจากเนตรเเห่งสวรรค์ที่ยังไม่สามารถล่วงรู้ความลับของอีกฝ่ายได้เท่านั้นเอง
หากเฟยหลงได้ยินสาเหตุที่ร่างบางไม่ชอบหน้าตนนั้นคงจะพูดไม่ออกเลยทีเดียว...
วันพักผ่อนตามที่ทางสำนักกำหนดให้เป็นวันหยุดได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วยิ่งนักให้ความรู้สึกเหมือนเพียงพริบตาเดียว แม้ว่าหนิงอ้ายจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนตนแทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นทั้งในเชิงเวทย์ เชิงยุทธ์รวมไปถึงการหลอมสร้างโอสถระดับหนึ่งให้มีความแม่นยำที่มากยิ่งขึ้น
ทุกคืนเด็กหนุ่มยังคงดูดซับหินปราณที่ได้รับมาก่อนหน้าไปพร้อม ๆ กับการชักนำปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายของตนตามเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา อีกทั้งยังเตรียมทำของขวัญให้กับสหายของตนอย่างอี้หลินล้วนเเต่เป็นความลับทั้งสิ้น แม้กระทั่งเจ้าต้าเฮยที่ออดอ้อนด้วยความอยากรู้มากเเค่ไหนเเต่หนิงอ้ายก็ไม่ได้บอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เพียงเเต่บอกให้อีกฝ่ายร่วมลุ้นไปพร้อมกับอี้หลินในวันนั้นจะดีกว่า
เจ้าตัวน้อยพยักหน้าเข้าใจก่อนที่จะบอกว่าตนก็ควรเตรียมของขวัญบ้างเช่นกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าวันหยุดที่ผ่านมาทั้งหนึ่งผู้ฝึกตนหนึ่งสัตว์อสูรต่างได้ใช้เวลาคุ้มค่าเป็นอย่างมากที่สุด...
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายช่างมากไปด้วยพรสวรรค์ เจ้าเห็นด้วยหรือไม่??" เหยียนฮุ่ยเอ่ยถามกับไป๋เหลียนฮวา
"เพียงไม่กี่วันก็สามารถหลอมสร้างปรุงโอสถระดับหนึ่งที่มีความบริสุทธิ์ทั้งสิบส่วนเเล้ว หากศิษย์น้องหนิงอ้ายไปสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ด้วยวัยเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้ ข้าว่าในบรรดาห้าสำนักที่เหลือหากทราบข่าวนี้คงไม่นิ่งนอนใจเป็นแน่..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยตอบไปตามสิ่งที่ตนคิดซึ่งทุกคนในที่นี้ต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้
"นอกจากฝีมือการหลอมสร้างปรุงโอสถที่เรียกว่าเก่งกาจไปมากกว่าอายุเเล้ว ความสามารถเชิงยุทธ์การต่อสู้ก็ไม่ด้อยไปเช่นกัน ฟังว่าการทดสอบเข้าสำนักนั้นกลุ่มของศิษย์น้องได้พบเจอกับสัตว์อสูรระดับสูงหลายครั้งเเต่ก็สามารถผ่านมาได้อย่างง่ายดาย..."
"ทั้งตัวของศิษย์น้องหนิงอ้ายรวมไปถึงสหายคนอื่น ๆ นับได้ว่ามากไปด้วยความสามารถทั้งในเชิงเวทย์และเชิงยุทธ์ที่มากกว่าศิษย์ใหม่ในรุ่นเดียวกันไปไม่น้อยเช่นกัน สหายเเต่ละคนยังมีวิญญาณยุทธ์เฉพาะโดดเด่นที่คาดว่าน่าจะมาจากตระกูลใหญ่เสียด้วยซ้ำ..."
"ฟังว่าเเต่ละตำหนักที่ได้สหายของศิษย์น้องไปเข้าร่วมสังกัด ต่างได้เเสดงความสามารถอันโดดเด่นเป็นประจักษ์แก่สายตา บางคนนั้นถึงกับถูกรับเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสในตำหนักนั้นอีกด้วย ดูท่าเเล้วงานประลองระหว่างตำหนักในครั้งหน้าข้าว่าอันดับการเเข่งขันย่อมมีความเปลี่ยนเเปลงอย่างแน่นอน..."
"ช่างเป็นกลุ่มรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยความสามารถอย่างเเท้จริง!!"
"ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าเคยคิดว่าผู้ใดกันที่จะสามารถครอบครองตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักเราได้ จนมาถึงตอนนี้กลับกลายเป็นศิษย์น้องหนิงอ้าย ยอมรับว่าครั้งเเรกข้าประหลาดใจและรู้สึกเคลือบเเคลงใจเป็นอย่างมาก ทว่าความสำเร็จในก้าวเเรกของศิษย์น้องในวันนี้กล่าวได้ว่าเหนือชั้นกว่าข้าในช่วงอายุเดียวกันยิ่ง..."
"ทุกคนในที่นี้ก็ใช่ว่าจะธรรมดาไปเสียเมื่อไหร่ พวกเจ้าที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปีเเต่กลับเป็นนักปรุงโอสถระดับสี่กันเเล้ว...."
"ทุกคนล้วนมีแนวทางเป็นของตน ขอเพียงพวกเจ้ามุ่งมั่นและทำอย่างเต็มที่ให้ถึงที่สุดเเล้วผลลัพธ์ที่ได้รับหลังจากนั้นย่อมเป็นผลดีต่อพวกเจ้าอย่างแน่นอน..." เกาเจินกล่าวสำทับไปอีกครั้งกับบรรดาศิษย์น้องของตน
"เมื่อวานนี้ศิษย์พี่ใหญ่ก็ได้ทำการเก็บตัวเพื่อเลื่อนระดับพลังวิญญาณ ไม่รู้ว่าในครั้งนี้จะใช้เวลานานเท่าไหร่ ฟังว่าท่านอาจารย์ได้มอบโอสถลมปราณระดับแปดให้ศิษย์พี่โจวเซินไปหนึ่งเม็ด หากว่าประสบวาสนาสวรรค์มากพอศิษย์พี่ย่อมผ่านพ้นเป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณขั้นสูงได้เป็นแน่..."
"ศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินเป็นความภาคภูมิใจของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา สามารถและพรสวรรค์ของนักปรุงโอสถระดับห้าด้วยอายุเพียงเท่านี้นับได้ว่าหาได้ยากยิ่งไม่รู้ว่าผู้ใดกันจะได้เป็นเจ้าของหัวใจดวงนี้ไป..."
"ตำหนักของพวกเราส่วนใหญ่เเล้วล้วนเป็นบุรุษทั้งสิ้น ต่อไปข้าคงต้องเรียกขานฮูหยินของศิษย์พี่เเต่ละคนว่าพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สาม พี่สะใภ้สี่เสียแล้วกระมัง..."
"ข้าคงจะเป็นท่านน้าเป็นท่านป้าของหลาน ๆ อีกหลายสิบคน หากเหมือนไปทางฝั่งมารดาข้าก็คงดีใจด้วยไม่น้อย เเต่หากเหมือนทางฝั่งบิดามากกว่าข้าขอสงสารพี่สะใภ้และหลานของข้าที่ต้องมีสามีและบิดาเป็นศิษย์พี่สี่อย่างแน่นอน..." เมื่อจบคำของสตรีเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้หรือไปเหลียนฮวาก็ได้สร้างเสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างชอบใจจากทุกคนในที่นี้
ตัวคนที่เปิดประเด็นคุยนั้นในตอนนี้ได้หลบหลังศิษย์พี่และศิษย์น้องของตนไปมา ด้วยเพราะกำลังถูกเหยียนฮุ่ยผู้ที่ถูกพาดพิงถึงนั้นกำลังวิ่งไล่จับอยู่นั่นเอง...
หนิงอ้ายที่ได้เห็นและได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ผ่านวิหคสอดแนมของตนนั้นก็รู้สึกมีความสุขไปด้วยเช่นกัน เห็นว่าสมควรแก่เวลาตามนัดหมายที่ต้องไปหาท่านอาจารย์ของตนเพื่อเรียนรู้เนื้อหาในส่วนต่อไป หนิงอ้ายจึงตรวจสอบความเรียบร้อยของตนอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยชวนเจ้าตัวน้อยให้ไปกับตนด้วย
ต้าเฮยก็ไม่ได้ปฏิเสธอันใดก่อนที่อีกฝ่ายจะหายไปอยู่ในอกเสื้อของเด็กหนุ่ม พร้อมกับชูคอไปมาส่งสัญญาณว่าพร้อมมากเเล้ว จากนั้นหนิงอ้ายจึงร่ายเวทย์ป้องกันคลุมทับเรือนพักหลังนี้ทันทีอย่างไรเสียปลอดภัยไว้ก่อนเป็นการดีที่สุด
ถึงหน้าเรือนพักของเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ของตนเเล้ว หนิงอ้ายได้ตั้งโตะเตรียมอาหารให้อีกฝ่ายเรียบร้อย อาหารเเต่ละวันหนิงอ้ายได้ใส่สมุนไพรบำรุงหลากหลายชนิด จุดประสงค์ก็เพื่อบำรุงร่างกายไปไม่ต่างการกินโอสถ ด้วยเพราะว่าสมุนไพรบางชนิดก็มีส่วนช่วยในการดึงรสชาติของอาหารให้อร่อยมากขึ้นเช่นกัน
เหวินหวู่ได้เห็นว่าศิษย์คนเล็กผู้นี้ได้นำความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรที่มีคุณสมบัติประโยชน์มาใส่ลงในเมนูอาหาร ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ต่างไปจากการทานโอสถบำรุงในทุกวัน หนิงอ้ายจึงได้รับคำชมจากท่านอาจารย์ไปมากมายเลยทีเดียว
ให้เวลาท่านอาจารย์ในการทานมือเช้านี้ด้วยความไม่เร่งรีบ หนิงอ้ายจึงขอเเยกตัวไปทำหน้าที่ของตนเช่นเดิมนั่นคือการรดน้ำดูเเลสวนสมุนไพร อีกทั้งสมุนไพรเเห้งหลายสิบชนิดที่เขาได้ใช้ไปกับการหลอมสร้างโอสถในหลายวันที่ผ่านมาก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงไปบ้างเเล้ว เด็กหนุ่มจึงจัดการเก็บสมุนไพรเหล่านี้พร้อมกับนำมาตากเเห้งให้สนิท เพื่อที่จะได้ใช้สมุนไพรเหล่านี้ในการหลอมสร้างโอสถในครั้งต่อไป...
"ท่านอาจารย์วันนี้ข้าพาใครบางคนมารู้จักท่านด้วยนะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส
"ต้าเฮยเป็นสัตว์อสูรที่ข้าเจอในขณะที่มันได้รับบาดเจ็บจากการไล่ล่าจากผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งตรงป่าข้างเมืองหมอกทมิฬ ตอนนั้นข้าคิดเพียงจะนำอีกฝ่ายมารักษาเเต่กลายเป็นว่าเจ้าตัวน้อยนี้ถึงกับตามติดข้าไม่ห่าง จนสุดท้ายข้าจึงต้องยอมรับมันมาเป็นสัตว์เลี้ยงจนได้ขอรับ..." หนิงอ้ายเล่าที่มาของเจ้าตัวแสบนี้ให้กับอาจารย์ด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่ย้อนคิดไปถึงตอนนี้ที่อีกฝ่ายเเสดงท่าทางประหลาดและน่ารักมากเเค่ไหนเพื่อที่ออดอ้อนให้เป็นสัตว์เลี้ยงของตน…
ทางฝั่งของเหวินหวู่ที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายได้พาบางคนหรือบางสิ่งมาแนะนำให้ตนรู้จักนั้น เขาก็พอรับรู้ได้ว่าอาจจะเป็นสัตว์อสูรของอีกฝ่ายก็เป็นได้ กลิ่นอายของสัตว์อสูรที่เเผ่ออกมารอบตัวของเด็กหนุ่มให้ความรู้สึกไปไม่ต่างจากสิ่งป้องกันจากสัตว์อสูรระดับมายาเลยทีเดียว ศิษย์ของเขาช่างมากไปด้วยวาสนาเสียจริงที่สามารถครอบครองสัตว์อสูรระดับสูงเช่นนี้ได้
เเต่เมื่อตนได้เห็นเจ้าก้อนสีดำในมือศิษย์ของตน พร้อมกับถ้อยคำแนะนำที่บรรยายไปถึงความน่ารักของสัตว์เลี้ยงตัวนี้ เพียงเเค่มองครั้งเดียวเหวินหวู่ก็รู้ได้ทันทีว่าลูกศิษย์ของตนนั้นคงถูกหลอกหรือเต็มใจให้หลอกจากท่าทางและรูปลักษณ์ไปแล้วอย่างแน่นอน
ลักษณะภายนอกของสัตว์เลี้ยงที่เด็กหนุ่มตั้งชื่อให้ว่าต้าเฮยก็ช่างดูพอเหมาะเข้ากันเสียจริง ลำตัวเรียวยาวที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีดำเลื่อมระยิบระดับ ดวงตากลมโตสีเเดงฉานนั้นดูดุดันเป็นอย่างยิ่ง เเต่เมื่อมือของเด็กหนุ่มผู้เป็นดั่งเจ้านายของมันลูบส่วนหัว จากท่าทางข่มขวัญเมื่อครู่กลับแปรเปลี่ยนเป็นท่าทางออดอ้อนไปเสียอย่างนั้น ส่วนที่ยื่นออกมาคล้ายกับเขาเล็ก ๆ บนหัวยิ่งตอกย้ำว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นสิ่งใด
ไม่ผิด...ไม่ผิดแน่ นี่คืออสรพิษผู้เป็นดั่งมือขวาของท่านผู้นั้น เเล้วเหตุใดจึงได้ปรากฏตัวอยู่ข้างกายของเด็กหนุ่มได้กัน เเล้วการที่อีกฝ่ายถึงกับละทิ้งซึ่งศักดิ์ศรี ยอมเป็นสัตว์เลี้ยงให้กับลูกศิษย์ของตนนั้นมีความหมายใดมากว่านี้หรือไม่กันนะ...
คล้ายกับว่าจะล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย ทันใดนั้นได้ปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้น มีเพียงชายชราผู้เดียวเท่านั้นที่ได้ยิน
'ตาเฒ่าเหวินไม่พบเจอกันนานสบายดีหรือไม่?? นายท่านมีคำสั่งให้ข้าคุ้มครองนายหญิงเเต่เพียงเท่านั้น ที่สำคัญอย่าได้แพร่งพรายออกไปว่าข้านั้นเป็นผู้ใดเเล้วกัน...'
ถ้อยคำข่มขู่อย่างอุกอาจที่ถูกส่งตรงให้กับชายชราผู้เป็นเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้น ช่างเป็นการข่มขวัญเอ่อ...เป็นการพูดคุยที่ดูราวกับว่าสนิทสนมกันเสียจริง
ทางฝั่งของหนิงอ้ายที่ไม่ได้ยินหรือสัมผัสถคงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเพียงชั่วขณะ ก็ยังคงพูดถึงความน่ารักของเจ้าตัวน้อยให้อาจารย์ของตนได้ฟัง พร้อมกับเอ่ยสำทับไปหลายครั้งว่าต้าเฮยสัตว์เลี้ยงของตนนั้นน่ารักเป็นที่สุด
เหวินหวู่รู้สึกราวกับถูกทุบอย่างตั้งตัวไม่ทันเสียอย่างนั้น อันใดกันคือปกป้องนายหญิง เเล้วนี่ศิษย์คนเล็กของเขาไปข้องเกี่ยวกับท่านผู้นั้นได้อย่างไร แม้ว่าจะเต็มไปด้วยคำถามในตอนนี้เเต่เขาที่พอรู้จักและได้ยินกิตติศัพท์ของท่านผู้นั้นมาไม่น้อย ดังนั้นการไม่สงสัยจะเป็นการดีที่สุด
เขาทำได้เพียงเป็นห่วงเด็กหนุ่มตรงหน้าตนยิ่งนัก ไม่รู้ว่าไปทำสิ่งใดให้ท่านผู้นั้นถูกใจได้จนถึงขั้นสั่งการให้มือขวาคนสนิทที่มักจะเคลื่อนไหวในภารกิจที่สำคัญเท่านั้นต้องมาแฝงตัวอยู่เคียงข้างเช่นนี้ได้...
หลังจากที่ฝืนตัวทำปกติราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น ได้ทำการรู้จักต้าเฮยที่เป็นสัตว์เลี้ยงของลูกศิษย์ของตนเเล้วนั้น เหวินหวู่จึงได้ออกปากอนุญาตให้ต้าเฮยสามารถเที่ยวเล่นทุกพื้นที่ในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานี้ได้เพียงเเต่อย่าสร้างความวุ่นวายแก่ผู้อื่นก็เพียงพอเเล้ว
กล่าวจบชายชราก็ได้เห็นใบหน้าซาบซึ้งของเด็กหนุ่มตนที่มองมาไปพร้อม ๆ กับใบหน้าที่เชิดขึ้นของอสรพิษตัวน้อยนี้ ที่ส่งเสียงตอบกลับมาว่าหากไม่อนุญาตก็ไม่คิดจะฟังอยู่แล้วเช่นกัน
"ตอนนี้เจ้าจะสามารถปรุงโอสถระดับหนึ่งความบริสุทธิ์สิบส่วนได้เเล้วก็จริง เเต่ถึงอย่างไรนเจ้าก็ยังไม่ได้เป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งเต็มตัว เนื่องจากเจ้ายังไม่ได้ไปสอบเลื่อนระดับที่สำนักโอสถอาจารย์จะพาเจ้าไปเอง อย่างไรก็เตรียมตัวและวันพรุ่งนี้ให้เจ้ามาเเต่เช้าเล่า..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าในตอนนี้สัตว์อสูรตัวน้อยได้ขอเด็กหนุ่มออกไปเที่ยวเล่นด้านนอก ปล่อยให้หนิงอ้ายอยู่กับอาจารย์สองคนในห้องนี้
"ขอรับท่านอาจารย์..."
"อาจจะดูรวดเร็วและข้ามขั้นไปบ้าง เเต่ด้วยความสามารถของเจ้าเเล้วในวันนี้อาจารย์จะสอนเจ้าให้หลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองเสียเเล้วกัน..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับภายมือตวัดสมุนไพรที่จำเป็นในโอสถระดับสองออกมาจากเเหวนมิติของตน
"โอสถระดับสองล้วนมีขั้นตอนและวิธีการเช่นเดียวกันกับการหลอมสร้างปรุงโอสถระดับที่หนึ่ง เพียงเเต่ว่าผู้ที่จะสามารถปรุงโอสถระดับสองขึ้นมาได้นั้นจะต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขึ้นไป ส่วนรายละเอียดย่อยที่เหลือนั้นข้าจะบอกเจ้าอีกทีเเล้วกัน..."
เหวินหวู่ก็ได้ใช้เตาโอสถเดิมก่อนหน้า ตวัดเรียกสมุนไพรที่ต้องการนั้นลงไปยังเตาโอสถทันที วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟอันเป็นเปลงเพลิงประจำตัวนั้นได้แผดเผาสมุนไพรเหล่านี้ด้วยความรวดเร็ว เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้นสมุนไพรที่ได้เห็นก่อนหน้าก็แปรเปลี่ยนโอสถระดับสองจำนวนสองเม็ด ความบริสุทธิ์สิบส่วนนอนก้นอยู่ในเตาโอสถเป็นที่เรียบร้อย
"โอสถระดับสองที่เจ้าปรุงได้ในวันนี้จะมอบคืนให้เจ้าทั้งหมด อาจารย์อยากจะให้เจ้านำโอสถระดับสองเหล่านี้ไปเเลกเป็นแต้มคะแนนพร้อมกับขอเเลกเป็นสมุนไพรตามที่เจ้าต้องการที่อาคารส่วนกลางได้..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู
"ข้าจะทำตามที่ท่านอาจารย์แนะนำขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความมุ่งมั่น เมื่อทบทวนขั้นตอนการหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองที่อาจารย์ของตนได้เเสดงให้เห็นเมื่อครู่เเล้วนั้น เด็กหนุ่มจึงนั่งอยู่หน้าเตาโอสถและพร้อมที่จะหลอมสร้างปรุงโอสถเสียที...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต