Beranda / รักโบราณ / บ่าวหญิงของศิษย์รัก / บทที่ 7: นางเกรี้ยวกราดที่โรงเตี๊ยมถูกบุกรุก

Share

บทที่ 7: นางเกรี้ยวกราดที่โรงเตี๊ยมถูกบุกรุก

last update Terakhir Diperbarui: 2025-06-18 01:12:42

               ค่ำวันนั้น โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นถูกแต่งแต้มด้วยแสงโคมแดงและกลิ่นอาหารหอมฉุย และบริเวณที่กลิ่นอาหารอบอวลมากที่สุดก็เห็นจะเป็นโต๊ะสำหรับรับรองแขกพิเศษของโรงเตี๊ยมในคืนนี้

เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสะอาดเรียบร้อย เดินถือถาดอาหารเดินวนไปมา คอยเติมชาให้ผู้คน แม้จะยังเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็ไม่ทำถ้วยตก นางรู้สึกปลาบปลื้มกับพัฒนาการในการคุมร่างกายของตัวเองที่ทำได้ดีขึ้น แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตาม

ขณะทำงาน นางก็ลอบชำเลืองไปยังห้องรับรองหลัก ก็พบว่าแขกในคืนนั้นคือชายฉกรรจ์สี่คนที่แต่งกายคล้ายจอมยุทธ์ต่างสำนัก เสื้อลมผ้าหนา ปักสัญลักษณ์ประหลาดบนอกเสื้อ และแต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึมเกินกว่าผู้มาเยี่ยมเยียนโดยไมตรี        

ในโต๊ะเดียวกันนั้น อวี้ไป๋เฉินนั่งอยู่หัวโต๊ะเพื่อเผชิญหน้ากับแขกทั้งสี่ เสี่ยวซุ่ยเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาทำงานที่นี่ เขามีเส้นผมสีดำสนิทราวขนนกอีกา ปล่อยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเรียวงามได้รูป ผิวราวกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่มมาเนิ่นนาน ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน ๆ คิ้วของเขาเรียวยาว ดวงตาสีน้ำตาลก็เรียวเฉียงชี้ขึ้นเล็กน้อย จมูกของเขาโด่ง รับกับใบหน้าทั้งหมดอย่างน่าพึงพอใจ เสื้อผ้าของเขาเป็นชุดคลุมแขนยาวสีเทาหม่น ชายแขนเสื้อและชายเสื้อเป็นสีเงิน เสื้อผ้าแม้ไม่ได้มีลวดลายวิจิตรพิสดาร แต่ก็สะอาดสะอ้าน

แม้ตอนนี้สีหน้าของอวี้ไป๋เฉินจะแสดงท่าทีนิ่งสงบ แต่แววตากลับมีบางอย่างที่แข็งกร้าว ราวกับพร้อมจะปะทะกับผู้นั่งร่วมโต๊ะได้ทุกเวลา

“ข้าขออีกครั้ง สิ่งนั้นควรส่งคืนแก่ผู้ครอบครองที่แท้จริง มันไม่ใช่ของท่านตั้งแต่ต้น” ผู้มาเยือนคนหนึ่งซึ่งเป็นชายคิ้วเข้ม และมีรอยแผลเป็นตรงแก้ม สวมเสื้อสีดำพูดออกมาด้วยเสียงต่ำ เปิดเผยท่าทีคุกคามอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอีกสามคนนั้นสวมเสื้อสีต่างกัน มีทั้งสีเขียว สีน้ำตาล และสีเหลือง ท่าทางของพวกเขาเองก็พร้อมใช้กำลังเช่นกัน

“ข้าไม่ใช่เจ้าของของมันก็จริงอยู่ ทว่าข้าก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าพวกเจ้าคือผู้คู่ควรจะครอบครองมันเช่นกัน ดังนั้นก็คงมอบให้ไม่ได้” อวี้ไป๋เฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่เฉียบคมอย่างคมกระบี่

“หากเช่นนั้น ก็อย่าหาว่าพวกเราหยาบคาย!” แขกอีกคนที่สวมเสื้อสีเขียวเข้มลุกขึ้นจากโต๊ะ กระทืบพื้นเสียงดัง แรงกระแทกของฝ่าเท้าที่กระทบพื้น ส่งเสียงดังปังจนถ้วยชาไหว ส่งผลให้เสี่ยวซุ่ยที่ถูกทำให้แสดงอาการอย่างคนสามัญถึงกับต้องสะดุ้งเฮือก ถาดในมือแทบหล่น จนเฉินอี้ที่เดินผ่านมาเพื่อทำความสะอาดโต๊ะอีกตัวยังหันมามองนางเป็นห่วง

ชายแปลกหน้าเสื้อเขียวผู้ลุกขึ้นยืน ตวัดแขนหนึ่งครั้ง ปล่อยคลื่นพลังลมแรงออกมา ข้าวของทั้งหมดบนโต๊ะรับรองแขกพิเศษถึงกับกระจัดกระจาย อาคารโรงเตี๊ยมทั้งหลังสั่นไหวไปเล็กน้อย แขกในห้องต่างตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีใครกล้าก้าวออกไป เพราะความกลัวทำให้ผู้มาเยือนที่เป็นคนธรรมดา หาใช่ชาวยุทธ์ ต้องขาสั่นลุกไปขึ้นไปตามกัน

“เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าเรามีสิทธิ์ในสิ่งนั้นหรือไม่!” เสียงตะโกนแผดขึ้น พร้อมกับแขกอีกคนที่สวมเสื้อสีน้ำตาลกระโดดจากเก้าอี้ พุ่งทะยานข้ามโต๊ะเข้าโจมตีอวี้ไป๋เฉินที่นั่งอยู่ด้วยฝ่ามือทันที ทว่าเจ้าของโรงเตี๊ยมกลับยกจานรองแก้วขึ้นมา ก่อนจะใช้มันตบเข้าที่ข้อมืออีกฝ่ายเบา ๆ เบี่ยงวิถีให้อีกฝ่ายถลำไปโจมตีพื้นโรงเตี๊ยมแทน จนพื้นถึงกับแตกร้าว  

“ทุกคนออกจากโถงก่อนเร็ว! เกิดเรื่องแล้ว!” เฉินอี้ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณนั้นตะโกนเรียกสติทุกคน ทำให้ลูกค้าที่พากันขาสั่น ต้องได้สติอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาพากันวิ่งออกไปจากโรงเตี๊ยม ทว่าเด็กสาวคนหนึ่งที่มากับคณะเดินทางที่เป็นลูกค้าของโต๊ะอีกตัว กลับสะดุดล้มลงอยู่ข้างประตู

เฉินอิ้วิ่งเข้าไปจะช่วยนาง ทว่าชายที่สวมเสื้อสีเขียวกลับตวัดแขนทั้งสองไปทั่ว กระแสพลังปราณที่เต็มไปด้วยพลังจู่โจมกระจัดกระจายไปทั่วโถงอย่างไร้ทิศทาง ราวกับจะทำลายข้าวของในโรงเตี๊ยมเพื่อข่มขู่อวี้ไป๋เฉิน หนึ่งในกระแสพลังจู่โจมนั้นก็พุ่งเข้าใส่เฉินอี้ที่พยายามช่วยเด็กสาวที่กำลังล้ม!

“หลบไปเฉินอี้!” เสี่ยวซุ่ยที่มองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่เหมือนร่างกายกลับหมดเรี่ยวแรงและสั่นกลัวจนขาหมดกำลัง นั่งอยู่กับพื้นตั้งแต่เมื่อครู่ ทำได้เพียงร้องบอกออกไป แต่เสียงของนางแผ่วเบาจนราวกับไม่มีผู้ใดได้ยิน

คลื่นพลังปราณฟาดเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างแรง ร่างของเฉินอี้ปลิวกระแทกกับเสาไม้เสียงดังสนั่น ก่อนที่เขาจะทรุดลงกับพื้น เลือดไหลรินออกมาจากไหล่ข้างหนึ่ง

“เฉินอี้!!” เสี่ยวซุ่ยกรีดร้อง แต่ไม่อาจลุกขึ้นไปทำอะไรได้ นางกัดปากตัวเองด้วยความเจ็บใจจนเลือดซึมริมฝีปาก กำเสื้อของตนแน่นจนมือสั่นเทา

น้ำตาของเซียนที่ติดในร่างสาวใช้หลั่งไหลโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด หรือเพราะถูกรังแก แต่เป็นเพราะความรู้สึกไร้พลังที่กัดกินเหมือนเปลวเพลิงในอก เมื่อครั้งนางยังเป็นลั่วชิง เพียงโบกมือครั้งเดียวก็จัดการคนพวกนี้ได้ไม่ยาก ทว่าตอนนี้เพียงแค่ลุกขึ้นมา นางยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ...

ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นมากกว่านั้น ซูหรงที่อยู่ชั้นบนของอาคารก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของโถงด้านล่าง นางเดินลงบันไดลงมา และได้มองเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อวี้ไป๋เฉินพยายามหลบเหล่าแขกที่เข้ามาโจมตี แขกเสื้อเขียวใช้คลื่นพลังทำลายข้าวของไปไม่น้อย เฉินอี้ถูกซัด และเสี่ยวซุ่ยที่นั่งคุกเข่าทรุดอยู่กลางโถง ดวงตาของซูหรงเบิกกว้างชั่วครู่ ก่อนแววตาจะแปรเปลี่ยนเป็นแววโทสะ

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เสียงตวาดของซูหรงดังลั่น และเพียงชั่วขณะเดียว แสงสีเงินพลันพุ่งออกจากเงื้อมมือของนาง กระแทกเข้ากลางพื้นไม้ กระจายเป็นวงอักขระเรืองแสงเต็มพื้นดิน ทำเอาผู้บุกรุกต้องหยุดชะงักพร้อมกันทันที

“หากพวกเจ้าต้องการจะต่อสู้ในที่ของข้า จงเตรียมตัวรับผลลัพธ์ให้ดี” ซูทรง น้ำเสียงของซูหรงเย็นชาจนแทบทำให้อากาศรอบข้างเย็นยะเยือก แม้ไม่เปล่งพลังเต็มที่ แต่พลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายของนาง ก็ทำให้ชายแปลกหน้าเหล่านั้นตระหนักดีว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สามารถเอาชนะโดยง่าย

“ครั้งนี้พอก่อนก็แล้วกัน” แขกในชุดดำกล่าว พลางมองพวกที่ติดตามมาคนอื่น ๆ แล้วหันไปมองอวี้ไป๋เฉิน “ส่วนเจ้า ข้าให้เวลาทบทวนให้ดี ว่าของนั่นควรยกให้พวกเราหรือจะเก็บมันไว้ต่อไป แล้วดึงดูดใครต่อใครให้มาหาเจ้าอีกเช่นนี้”

“ทำลายข้าวของคนอื่นแล้วจะบอกว่าพองั้นรึ?” ซูหรงพูดขึ้นมาเหมือนยังไม่ยอมให้จบเรื่อง แขกคนที่สวมชุดสีน้ำตาลจึงหยิบถุงเล็ก ๆ ใบหนึ่งออกมา วางไว้บนโต๊ะ

            “ในนี้มีหนึ่งตำลึงทอง คงพอชดใช้ค่าเสียหายวันนี้ได้”

            “เช่นนั้นข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน อย่าได้กลับมาก่อเรื่องที่นี่อีก” ซูหรงเอ่ยขึ้น หลังจากคิดในใจเบ็ดเสร็จแล้วว่าข้าวของที่เสียหาย อย่างไรก็ไม่น่าจะถึงหนึ่งในสิบตำลึงเงิน อย่างมากก็เกือบ ๆ เท่านั้น แต่กลับได้มาหนึ่งตำลึงทอง ก็มากกว่าที่คาดไว้เกือบร้อยเท่า

            หลังจากซูหรงปล่อยพวกเขา จนพวกเขาเดินออกไปจากโรงเตี๊ยมแล้ว เสี่ยวซุ่ยก็คลานไปประคองร่างเฉินอี้ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา นิ้วมือแตะบาดแผลของเขาเบา ๆ

“เจ็บไหม... ข้าช่วยอะไรไม่ได้เลย... ข้าไร้ประโยชน์นัก...”

นางรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นของเลือดอุ่น ๆ ตรงแขนเสื้อของเขาที่ไหลรินออกมาจากไหล่ ความอบอุ่นนั้นทำให้นางเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บที่ลึกลงไปอีก ในหัวของนางครุ่นคิดกังวล และตอนนี้มันสรุปเรื่องราวออกมาได้ว่า...

นางจะปล่อยให้ชีวิตของนางและเฉินอี้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้.. นางจะต้องทำอะไรสักอย่าง!

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 55 : นางทดสอบวิชา

    คณะเดินทางทั้งสามก้าวเท้าไปตามเส้นทางจากโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นทอดยาวตามแนวด้านล่างของเทือกเขาเหิงหลัวด้วยจังหวะมั่นคง แสงอาทิตย์ยามสายส่องผ่านแนวไม้โปร่ง กระทบใบหญ้าและหมวกของซูหรงที่เดินนำหน้า บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกร้องเบา ๆ กับลมที่ไล้ยอดหญ้า เสี่ยวซุ่ยหอบสัมภาระเล็ก ๆ เดินตามหลังซูหรง ส่วนเฉินอี้เดินเคียงข้างราวนางกำลังระวังภัยให้อย่างเงียบ ๆ เขามักแอบเหลือบมองเสี่ยวซุ่ยเป็นระยะ เมื่อเห็นนางเริ่มหอบก็ยื่นน้ำให้ หรือช่วยรับสัมภาระมาถือบ้างโดยไม่ต้องให้นางเอ่ยปาก"ข้าไม่เหนื่อยหรอกเจ้าค่ะ" เสี่ยวซุ่ยว่าอย่างเอียงอาย แต่สีหน้าแดงระเรื่อของนางบอกตรงกันข้าม"ข้ารู้" เฉินอี้ยิ้มเบา ๆ "แต่เจ้าคงไม่ถือ หากข้าช่วยเพียงเล็กน้อย"ทว่าเมื่อทั้งสามกำลังจะถึงทางโค้งซึ่งเบื้องหน้าคือทางราบก่อนถึงเชิงเขาหลิงอวิ๋น พลันเสียงกระทืบเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากพุ่มไม้ทั้งสองฝั่งทาง ก่อนจะมีร่างชายฉกรรจ์สี่คนในชุดคลุมเก่าเปรอะโผล่ออกมาพร้อมมีดดาบในมือ"เงินทองเอาไว้นี่ แล้วชีวิตพวกเจ้าจะปลอดภัย!" หนึ่งในนั้นตะโกนเสียงดัง ก่อนที่อีกคนจะหัวเราะอย่างหยัน "พวกเจ้าอย่าคิดตุกติก หญิงสอง ชายหนึ่ง ไม่มีอาวุธ

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 54 : นางเริ่มออกเดินทาง

    สายลมยามเช้าวันต่อมา พัดผ่านสนามหญ้าหน้าโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นอย่างอ้อยอิ่ง ดอกหญ้าเอนไหวราวรู้ว่าจะต้องโบกมืออำลาคณะเดินทาง ซูหรง เฉินอี้ และเสี่ยวซุ่ยยืนรวมกลุ่มกันอยู่เบื้องหน้าม้านั่งหินใต้เงาไม้ใหญ่ ห่อผ้าสัมภาระถูกจัดวางไว้บนโต๊ะหิน หีบเครื่องรางและยันต์หลากชนิด ถูกซูหรงตรวจสอบอีกครั้ง ก่อนนำใส่ห่อผ้าสะพายข้างตัว บางแผ่นเก็บไว้ในอกเสื้อ ชายเสื้อ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินซูรงในชุดสีแดงเข้มยืนสงบ ดวงตาทอดมองไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน ก่อนเอ่ยขึ้นกับทั้งสองบ่าวที่กำลังตรวจสอบสัมภาระเป็นครั้งสุดท้าย“ข้าใช้คาถาฟื้นสภาพให้ท่านจ้าวหยาง เพิ่มอัตราการฟื้นฟูร่างกายให้ อีกไม่นานก็คงเดินได้ ต่อสู้ได้เหมือนเดิม ส่วนท่านอู๋เป่ยข้าก็ช่วยฟื้นสติของเขาแล้ว ส่วนพวกสำนักคุ้มภัยที่บาดเจ็บ ถูกพิษ ข้าก็ช่วยรักษาให้ด้วยวิชาเซียน พวกเขารู้ว่าพรรคมารจะไม่กลับมาที่โรงเตี๊ยมหลังได้ตราแล้ว ก็ถอนกำลังกลับไปส่วนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งก็คงสามารถคุ้มครองโรงเตี๊ยมเราได้ระหว่างที่ข้าออกเดินทาง ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเหตุร้ายกับเพื่อน ๆ หรือสามีข้า หรือโรงเตี๊ยมตอนพวกเราไม่อยู่หรอก”“เราจะมุ่งหน้าสู่ ยอดเขาห

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 53 : นางไม่อาจเชื่อเขาได้อีกแล้ว

    ห้องพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเงียบสงัด ผ้าม่านพลิ้วไหวเบา ๆ ตามแรงลมยามบ่าย ซูหรงยืนอยู่ที่โต๊ะ กำลังเก็บสัมภาระก่อนออกเดินทาง ลำแสงอ่อนของอาทิตย์ส่องต้องใบหน้าของนาง ทำให้ผิวขาวของนางดูสว่างเรืองรอง ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว ราวกับพร้อมเผชิญหน้ากับความจริงบางอย่างเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนที่อวี้ไป๋เฉินจะก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบกริบ ใบหน้าของเขายังซีดเซียวจากอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความอึดอัดและเจ็บปวด เขาหยุดยืนอยู่กลางห้อง ห่างจากนางราวหนึ่งช่วงตัว“เจ้าส่งตรานั่นให้นางไปหรือ?” เขาเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว พลางมองไปยังห่อผ้าสัมภาระของนาง “แล้วนั่นเจ้าจะเก็บของ ไปที่ไหนกัน?”“ใช่ ข้าส่งตราให้นางไปเอง ” ซูหรงตอบเรียบ ๆ โดยไม่หันมามอง “แล้วข้าก็จะเดินทางไปยังที่แห่งหนึ่ง จะพาเฉินอี้กับเสี่ยวซุ่ยไปด้วย”สิ้นคำตอบนั้น บรรยากาศก็พลันเงียบงัน ก่อนที่เสียงของซูหรงจะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นางหันมาสบตาเขาโดยตรง ดวงตาคมเข้มดุจเปลวไฟที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน“ข้าอยากถามเจ้ามานานแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่เคยบอกข้า ว่าเจ้าคือลูกชายของประมุขพรรคมารรุ่นก่อน?”คำพูด

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 52 : นางมีแผนอะไรอยู่กันนะ?

    รุ่งเช้าของวันใหม่ ฟ้าสีครามค่อย ๆ ถูกปิดบังด้วยเมฆหนา โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบงันเช่นกันณ ลานกว้างด้านหน้าโรงเตี๊ยม ที่ถูกจัดการพื้นที่จนโล่ง เสื่อผืนใหญ่ถูกวางกลางลานเช่นเช่นวันก่อน ขณะที่คนจากสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิง และบ่าวจากโรงเตี๊ยมอีกหลายคนรวมตัวอยู่ห่าง ๆ เฝ้าดูเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในเช้านี้ด้วยหัวใจที่เต้นรัวซูหรงในชุดสีแดงเข้มขลิบทองยืนอยู่กลางลาน สง่างามและเยือกเย็น ด้านหลังของนางคือเฉินอี้ ที่มายืนคุ้มกันห่าง ๆ เผื่อการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จแสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆลงมา ซูหรงยืนรอไม่นานนัก ร่างของหญิงสาวในชุดสีม่วงเข้มก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นั่นคือ ร่างหุ่นเชิดของอวี้เซี่ยหง ประมุขพรรคมาร ส่วนตัวของผู้ควบคุมหุ่นเชิดมนุษย์นั้น ชักใยด้วยเส้นใยพลังปราณจากที่ห่างไกล ไม่มีผู้ใดมองเห็นตัวจริง นอกจากนางก็มีผู้ติดตามชุดดำสองคน สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า เห็นเพียงลูกตาเท่านั้นถึงอย่างนั้นแม้พลังที่แผ่ออกมา จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งจากตัวจริง แต่กลิ่นอายความน่าสะพรึงกลับยังชัดเจน แต่ซูหรงไม่หวาดเกรงสักนิดเดียว นางไม่เอ่ยคำทักทายใด ๆ นางเพียงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 51 : นางลืมข้าไปเสียแล้ว

    แสงแดดยามสายของวันต่อมาสาดทาบลงบนพื้นไม้ของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น กลิ่นหอมของใบชาอ่อน ๆ ลอยคลุ้งอยู่ในเรือนครัว เสี่ยวซุ่ยยืนอยู่ตรงโต๊ะไม้ เตรียมน้ำชาสำหรับแขกในโรงเตี๊ยมอย่างขะมักเขม้น ใบหน้านวลผ่องของนางมีรอยยิ้มจาง ๆ ดวงตาแจ่มใส ท่าทางขยันขันแข็งดุจบ่าวหญิงสามัญทั่วไปทว่าทันใดนั้น เศษความทรงจำบางอย่างแล่นผ่านหัว เกี่ยวกับการชงชา ปรุงโอสถสมุนไพร ทว่าไม่กี่อึดใจมันก็หายไปราวหมอกที่จางหาย นางจึงไม่สนใจอะไรก็ตามที่แวบเข้ามาในหัว แล้วทำงานต่อไปในฐานะบ่าว“เสี่ยวซุ่ย ไปเก็บผ้าที่ลานด้วยนะ แดดกำลังดีแบบนี้ คงแห้งหมดแล้วล่ะ” เสียงพี่หลินดังมาจากหน้าประตู“เจ้าค่ะ พี่หลิน” เสี่ยวซุ่ยรับคำอย่างว่าง่าย เช็ดมือลวก ๆ แล้วรีบก้าวออกจากครัว “ข้าจะไปเก็บผ้าเดี๋ยวนี้ล่ะเจ้าค่ะ”ในขณะเดียวกัน ณ ห้องลับด้านบนสุดของโรงเตี๊ยม ประตูบานหนักค่อย ๆ เปิดออกพร้อมเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงสาวในชุดสีแดงเข้มขลิบทอง นางคือซูหรง ที่เพิ่งออกมาหลังจากทำพิธีสร้างยันต์ ใบหน้าซีดลงเล็กน้อยจากการใช้พลังปราณอย่างต่อเนื่อง แต่ดวงตาแสดงความมั่นใจและเฉียบขาดเหมือนเดิม“ท่านออกมาแล้ว!” เฉินอี้ที่รออยู่หน้าห้องเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 50 : เขาขอบคุณข้า

    ล่วงเข้าสู่ยามเย็น แสงแดดอ่อนคล้อยทาบลงบนแนวหลังคาโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น เงาไม้ทอดยาวอยู่บนพื้นไม้เรียบ เสียงลมกระทบหน้าต่างเบา ๆ กล่อมให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยหลังความวุ่นวายในยามสายจางหายในห้องพักด้านใน ร่างของเสี่ยวซุ่ยนั่งพิงหมอนอิง ดวงตายังดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากอาการที่เพิ่งฟื้น ทว่าริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อบานประตูถูกเคาะเบา ๆ ก่อนที่เฉินอี้จะก้าวเข้ามาด้วยท่าทางระมัดระวัง เขามีผ้าห่มบางผืนหนึ่งพับอยู่ในมือ ใบหน้าแม้จะยังมีร่องรอยของความอ่อนล้า แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและโล่งใจ“เจ้าไม่แล้วหรือ? ท่านหมอว่าเจ้าควรพักดูอาการอีกคืน” เขาเอ่ยเสียงเบา เสี่ยวซุ่ยหันมามองเขา สบตาเพียงครู่ ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ“ข้านอนมานานพอแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบเบา ๆเฉินอี้เดินเข้ามาใกล้ วางผ้าห่มไว้บนเก้าอี้ตัวข้างฟูก ก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างร่างนาง ใบหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย“เสี่ยวซุ่ย… ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้า” เขาเริ่ม นางก็เลิกคิ้วน้อย ๆ“เจ้าจำไม่ได้ใช่ไหม ว่าตอนที่ข้าจะถูกสังหารในลานนั่น... อยู่ ๆ ก็มีแสงพลังสีฟ้าสว่างวาบออกจากฝ่ามือของเจ้า แล้วพลังในร่างของข้า… มันระเบิดขึ้น เหม

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status