แสงอาทิตย์ยามสายส่องผ่านช่องไม้ระแนงของรั้วหลังโรงเตี๊ยม ตกกระทบลานดินซึ่งแห้งสะอาด เสี่ยวซุ่ยนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ หลังจากทำงานซักผ้าช่วงเช้าเสร็จ ดวงตากลมโตของนางทอดมองเฉินอี้ที่กำลังกวาดใบไม้ด้วยท่าทีจริงจัง
เขาขยับไม้กวาดอย่างมั่นคง ร่างกายของเขายังคงบาดเจ็บที่ช่วงไหล่ ทำให้ยกของได้ไม่ถนัดนัก แม้ซูหรงจะปฐมพยาบาลด้วยโอสถขนานเอกของตำหนักเซียนให้แล้วก็จริง แต่ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกสักพัก ถึงกระนั้นเขาก็ดึงดันจะทำงานต่อ อวี้ไป๋เฉินจึงได้มอบหมายให้เขาทำงานที่ไม่ต้องยกของ คืองานกวาดลานแทน
นางเห็นสภาพบาดเจ็บของเขาก็รู้สึกอนาถใจที่ตัวเองไร้พลัง และสงสารที่คนจิตใจอารีเช่นเขา กลับไม่มีวิชายุทธ์ใดที่พอป้องกันตัวได้เลย ถึงกระนั้นลั่วชิงในร่างเสี่ยวซุ่ยก็รู้ดีว่าตนไม่สามารถเอ่ยอะไรตรง ๆ ออกมาเพื่อเป็นการชี้แนะให้เขาพัฒนาฝีมือได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงวิชายุทธ์หรือแสดงตัวตนที่แท้จริง ล้วนถูกยันต์ผนึกไว้หมดสิ้น คำพูดของนางในตอนนี้ทำได้เพียงเจรจาอย่างเด็กสาวไร้การศึกษาที่พูดคุยตามประสาเท่านั้น
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น… ก็ใช่ว่าจะสอนใครไม่ได้เสียทีเดียว นางใช้เวลาครุ่นคิดทั้งคืนแล้วว่าจะช่วยเหลือเขาอย่างไร เมื่อตัวเองต้องมาตกในสถานการณ์นี้
“เฉินอี้…” เสียงของเสี่ยวซุ่ยเอ่ยเบา ๆ พลางมองพื้นดินตรงหน้า พลางใช้นิ้วชี้เล็ก ๆ วาดเป็นวงกลมลงไปในผงทราย “ข้าเคยฝันแปลก ๆ น่ะเจ้าค่ะ ฝันว่ามีคนเดินวนเป็นวงกลมแบบนี้ เวลาจะหลบอะไรที่พุ่งเข้ามา…”
“ฝัน?” เฉินอี้เอ่ยพลางหันมามองอย่างแปลกใจ
“ใช่สิ แบบว่า... สมมุตินะ ถ้ามีอะไรมากระแทกจากตรงนี้นะเจ้าคะ” นางลุกขึ้น แล้วใช้ฝ่าเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงข้างหน้าเล็กน้อย เป็นมุมเฉียง ไม่ใช่การก้าวตรงไปด้านหน้าตรง ๆ แต่เป็นก้าวแบบเยื้องไปทางเดียวกับขาข้างที่ก้าว จากนั้นหมุนตัวตามจังหวะ วาดเท้าอีกข้างพาไปเป็นครึ่งวงกลม ทำให้ร่างกายเคลื่อนไปอีกทางหนึ่งอย่างนุ่มนวล
มันคือกระบวนท่าแรกของ “ปทุมยาตรา” ท่าการก้าวเท้าที่เป็นพื้นฐานของวิชาสำนักเซียนของนาง ซึ่งสามารถทำให้หลบการโจมตีทุกประการที่พุ่งมาเป็นเส้นตรงได้ โดยการก้าวเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ปรัชญาของมันดั่งภาษิตว่า แม้ดอกบัวจะเบ่งบานกลางน้ำ แต่กลับไม่เปื้อนโคลน โดยการย่างก้าวเช่นนี้จึงไม่ใช่แค่การเดิน ธรรมดา ศิลปะแห่งการไม่แตะต้องอันตราย เคลื่อนที่พ้นจากแรงปะทะรุนแรงโดยไม่ใช้แรงต้านใด ๆ และนอกจากนี้ กระบวนท่านี้สามารถพัฒนามาเพื่อย่างเข้าหาฝ่ายตรงข้าม และโต้ตอบกลับได้จากมุมอับ หากมีกระบวนท่าโจมตีต่อจากนั้น โดยไม่ต้องใช้พลังปราณที่ซับซ้อน ขอเพียงรู้ว่าจะก้าวไปตรงไหน อย่างไร เท่านั้นก็พอแล้ว ต่อให้ไม่มีพลังปราณมากมาย เหมือนกับตัวนางในตอนนี้ ก็สามารถใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เขาก็แค่หมุนหลบ ไม่ต้องใช้แรงมาก... ข้าก็ไม่รู้หรอก ว่าทำไมมันดูง่ายในฝัน… แต่น่าลองเหมือนกันนะ” เสี่ยวซุ่ยพยายามบอกอย่างเด็กสาวไร้เดียงสา
“เจ้าฝันได้ละเอียดขนาดนี้เลยรึ?” เฉินอี้เลิกคิ้วสูง ดูสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
“อื้อ...” เสี่ยวซุ่ยพยักหน้าถี่ ๆ ทำตาโตเหมือนเด็กที่ได้เล่านิทานสนุก “ข้าเลยคิดว่าถ้าลองทำดูจริง ๆ มันจะหลบอะไรได้ไหม? เรามาลองทำกันหน่อยดีไหม”
“แบบนี้รึ?” เด็กหนุ่มมองเธออย่างไม่แน่ใจ แต่ในที่สุดก็ลองยืนในตำแหน่งที่เธอว่า แล้วขยับฝ่าเท้าตามคำแนะนำ ก้าวแล้วหมุนตาม ร่างหมุนครึ่งรอบ ทว่ากลับเซจนเกือบจะล้มลง
“ไม่ ๆ ข้าเห็นในฝันว่าเขาเอาส้นเท้าก้าวลงไปก่อน ใช้ส้นเท้าเป็นจุดหมุน ไม่ใช่แค่ก้าวหมุนไปเฉย ๆ มันเป็นเหมือน... เอ่อ... ลูกข่าง ใช่ ๆ คล้ายกับเอาเท้าที่ก้าวเป็นเดือยลูกข่าง..” นางเปรียบเทียบกับของเล่น ตามประสาเด็กสาวชาวบ้านทั่วไป
“การเปรียบเทียบเจ้าก็แปลกนะ แต่เอาเถอะ ข้าจะลองอีกที” เฉินอี้พูดพลางหัวเราะออกมาเบา ๆ
เขาลองก้าวอีกครั้ง ครั้งที่สองของเขาดีขึ้นเล็กน้อย ร่างไม่เซมากนัก ส่วนครั้งที่สามกลับมั่นคงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างหมุนตามแรงส่ง แล้วหยุดลงโดยที่ปลายเท้าทั้งสองตั้งมั่นอยู่กับที่
‘เจ้านี่...มีพื้นฐานการใช้งานร่างกายดีอย่างเหลือเชื่อ ขนาดข้าอธิบายแบบมั่ว ๆ ยังจับจังหวะได้ถูก อนาคตคงเป็นยอดยุทธมือดีได้แน่’
เสี่ยวซุ่ยมองเขาพลางคิดในใจ แล้วรู้สึกได้ถึงความตื้นตันบางอย่าง
“ถ้าใช้ก้าวแบบนี้ ตอนหลบอะไรน่าจะดีเลยนะ...” ลั่วชิงในร่างเสี่ยวซุ่ยแกล้งพูดออกมาเหมือนยังอยู่ในฝัน
“เจ้านี่ฝันได้แปลกแต่มีประโยชน์จริง ๆ” เฉินอี้พูด ขณะที่ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับนาง “ไว้ข้าจะลองฝึกต่อ ขอบใจนะ น่าจะช่วยให้หลบอะไรต่อมิอะไรได้ง่ายขึ้นเยอะเลย”
ยังไม่ทันที่เสี่ยวซุ่ยจะตอบอะไรกลับ เสียงกิ่งไม้หักจากบนต้นพลับก็ดังกร๊อบ เนื่องด้วยข้างบนมีนกขนาดใหญ่ตัวหนึ่งบินลงมาเกาะ ทำให้กิ่งไม้เส้นหนึ่งขนาดเท่าไม้เรียวตกลงมาตรงหัวเฉินอี้พอดี
โดยไม่รู้ตัว ขาขวาของเขาพาร่างของชายหนุ่มให้ก้าวไปข้างหน้า ขยับหมุนหลบไปครึ่งรอบอย่างที่เพิ่งฝึก ร่างกายเบี่ยงไปด้านขวาเล็กน้อย กิ่งไม้พลาดศีรษะเขาไปเพียงสองนิ้ว แล้วกระแทกพื้นเสียงเบา ๆ
“เฮ้ย…!” เฉินอี้มองกิ่งไม้นั้น แล้วหันไปมองเสี่ยวซุ่ย “เจ้าเห็นไหมเมื่อครู่ ข้า... ข้าไม่ตั้งใจ แต่ร่างมันหมุนไปเองเหมือนที่เจ้าเล่าเลย!”
“จริงเหรอ!” เสี่ยวซุ่ยทำหน้าแปลกใจเกินจริง คล้ายเด็กหญิงที่ตื่นตาตื่นใจกับของเล่นใหม่ “เจ้าหลบได้ด้วย! มันต้องเป็นเพราะข้าฝันดีแน่ ๆ!”
‘แค่นี้ก็พอ... หากเขาฝึกต่ออีกหน่อย ร่างกายก็จะจดจำพื้นฐานการหลบหลีกแบบนี้ได้ เขาดูเหมือนเมล็ดเล็ก ๆ ที่จะเติบโต ถ้าหยดน้ำลงวันละนิดละหน่อย ย่อมต้องเจริญงอกงามได้แน่’
เฉินอี้ยิ้งอย่างดีใจกับการที่ตัวเองได้พบอะไรใหม่ ๆ ขณะที่นางก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยตามเขา ขณะที่มือเล็ก ๆ กำชายเสื้อแน่น ในใจลั่วชิงที่ยังอยู่ในกายของสาวใช้ตัวเล็ก ในบัดนี้นั้นเริ่มรู้สึกได้ถึงสิ่งหนึ่ง
ไม่ใช่แค่เฉินอี้ที่กำลังฝึกฝน…
หากแต่ตัวนางเองก็เช่นกัน นางกำลังฝึกฝนการเป็นมนุษย์ และการถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้ผู้อื่น แม้จะพูดอะไรยาก ๆ ไม่ได้เลยก็ตาม
คืนหลังจากที่ซูหรงเเละสามีปรับความเข้าใจกันได้ เสียงหรีดหริ่งเรไรยามราตรีขับขาน ลมเย็นในยามค่ำคืนพัดผ่านม่านโปร่งของห้องพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พัดพากลิ่นหอมอ่อน ๆ จากโคมไฟน้ำมันซึ่งซูหรงเพิ่งจุดไว้เมื่อครู่ให้หอมอบอวลอยู่ในห้อง นางยืนอยู่ริมหน้าต่างในชุดคลุมบางเบาสีแดงเลือดนกที่แฝงประกายทองจาง ๆ เมื่อถูกแสงจันทร์สาดส่อง อวี้ไป๋เฉินมองนางจากทางประตูหลังเดินเข้ามาเงียบ ๆ ราวกับกลัวทำลายความสงบอันละเอียดอ่อนนี้ “ข้าเคยฝันถึงคืนนี้อยู่หลายครั้ง...” นางเอ่ยเสียงเบาพลางหันกลับมา แววตาอบอุ่นดั่งผู้หญิงธรรมดาที่รอผู้ชายคนหนึ่งกลับมา หลังจากเขาผ่านพ้นจากสงครามในหัวใจ อวี้ไป๋เฉินเดินเข้ามาช้า ๆ พลางยื่นมือออกไปแตะแผ่นหลังบางที่สั่นเพียงเล็กน้อยยามลมพัด “ข้าก็ฝันเช่นกัน...” เขาโน้มตัวลงกระซิบข้างหู ขณะที่สองมือโอบรอบเอวของนางแน่นขึ้น ซูหรงหลับตาแนบกับอกเขา แผ่นอกที่เคยอบอุ่น ตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นไม้เก่า ๆ จากการทำงานในโรงเตี๊ยม หากแต่สำหรับนาง มันหอมเสียยิ่งกว่าดอกไม้ใด ๆ “ข้าเคยคิดว่าเราจะเสียความสัมพันธ์สามีภรรยาไปแล้ว...” นางเอ่ยเสียงสั่น ก้มหน้าลงหลบสายตา “เมื่
วันต่อมา หลังจากศึกเขาอู่ฮุ่ย แสงแดดยามสายส่องลอดหลังคากระเบื้องเก่า เสียงนกกระจิบร้องประสานกับกลิ่นหอมของน้ำเต้าต้มหวานจากในครัว โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นกลับมาสงบอีกครั้งแม้สถานการณ์จะวุ่นวายเพราะต้องซ่อมแซมอาคารหลายจุดหลังเหตุการณ์พรรคมารบุกโจมตี แต่ซูหรงกลับดูสดใสเป็นพิเศษ นางเดินเคียงอวี้ไป๋เฉินสามีของนาง ท่าทีดูสนิทสนมกว่าแต่ก่อนนัก เพราะหลังจากกลับมาเมื่อรู้ความจริงจากเซี่ยหง ทั้งคู่ได้นั่งคุยกันถึงเรื่องในอดีตที่เคยไม่เข้าใจกัน ด้วยความเข้าใจในที่สุดว่าสามีนางไม่ได้ตั้งใจทรยศ ไม่ได้หลอกลวงนางเพราะผลประโยชน์ใดในยุทธภพ หากแต่เป็นชายผู้พยายามละทิ้งอดีตอันโหดร้ายของพรรคมารเพื่อตั้งต้นใหม่อย่างสงบ“เจ้ารู้หรือไม่...” ซูหรงเอ่ยเสียงเบา “ข้าเคยโกรธเจ้ายิ่งนัก ที่เจ้าปิดบังเรื่องพรรคมาร... แต่ตอนนี้ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าทำเพื่อจะตัดขาดจากอดีตนั้นอย่างแท้จริง”อวี้ไป๋เฉินไม่ตอบ แต่เพียงยิ้มเศร้า ๆ ขณะที่นางกุมมือเขาแน่นขึ้น“เรากลับมาเป็นครอบครัวอย่างแท้จริงเถิด... ไม่ใช่แค่สามีภรรยาในนาม แต่เป็นสองคนที่เข้าใจกัน&rdqu
หลังการเจรจากับเฉินอี้เหมือนจะจบลง ลั่วชิงก็มิได้กล่าวคำใดต่ออีก นางเพียงมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความเข้าใจ แล้วหมุนกายหันไปหาซูหรงที่ยืนอยู่ห่างออกไป“ซูหรง” เสียงของนางเรียบนิ่งแต่เปี่ยมด้วยพลัง “พาเขากลับไปที่โรงเตี๊ยม… ดูแลเขาให้ดี”ปลายนิ้วเรียวของลั่วชิงแตะที่อากาศเบื้องหน้า วงแหวนอักขระยันต์เรืองแสงสีเงินค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนพื้น ขนาดใหญ่พอจะให้คนยืนได้สองคน ก่อนที่นางจะเอ่ยถ้อยคำอำลา“เคลื่อนย้ายแสนลี้สำหรับกลับโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น พาเขากลับไป แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ดีล่ะ พวกเจ้าเติบโตขึ้นมามากแล้ว คงใช้ชีวิตกันต่อไปได้แม้จะไม่มีข้า แต่ก็อย่าได้หลงลืมตัวข้าหรือสิ่งที่ข้าได้สอนพวกเจ้าล่ะ”“เจ้าค่ะ... ถึงข้าจะอยากให้ข้ากับท่านอาจารย์อยู่ด้วยกันต่อไป ทว่าข้าเองก็ได้เลือกว่าจะกลับไปอยู่ในโลกมนุษย์ จัดการความเข้าใจผิดที่มีกับสามี กับถ่ายทอดความรู้หลายอย่างแก่ผู้คนเบื้องล่าง ป้องกันไม่ให้คนหลงใหลในวิถึมารอีก... อย่างนั้นน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ... ลาก่อนนะเจ้าคะ” ซูหรงค้อมศีรษะ ก่อนจะเดินนำบ่าวหนุ
ลั่วชิงไม่ได้ตอบอะไรบ่าวหนุ่ม นางยังคงยืนนิ่ง ขณะที่พวกเซียนพากันไปรับตัวอู๋เป่ยและจ้าวหยางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากพวกเซี่ยหงถูกจับกุมและตราประทับมารถูกยึดคืนไปเรียบร้อยแล้ว ร่างของทั้งสองเต็มไปด้วยบาดแผลจนแทบไม่อาจขยับตัว พวกศิษย์เซียนพาพวกเขานอนลงบนแคร่หามวิเศษที่ลอยกลางอากาศเองได้แม้ไม่มีคนยก แล้วลอยมาถึงลั่วชิงและอีกสองผู้นำเซียน“ท่านทั้งสองคนนี้ คือผู้บาดเจ็บจากการป้องกันประตูเงามารไว้ก่อนพวกเราจะมาถึง เป็นผู้กล้าหาญและมีคุณธรรมยิ่ง” ลั่วชิงละสายตาจากเฉินอี้ ไปกล่าวต่อหน้าผู้นำเซียนทั้งสองที่มาด้วยกัน “ข้าคิดว่าพวกเขาควรได้อะไรตอบแทนความกล้าหาญนี้”ผู้นำเซียนเครายาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อีกผู้หนึ่งคือเซียนอ้วนพุงพลุ้ยหัวเราะเสียงดัง พร้อมหยิบเครื่องรางสองชิ้นออกมา แล้วกล่าวขึ้น“ของวิเศษพวกนี้ ข้าคงมอบให้พวกเขาตอบแทนในความกล้าหาญ แต่ตอนนี้พาพวกเขาไปที่เขาหลิงอวิ๋นเถอะ พวกข้าจะรักษาพวกเขาเอง”ลั่วชิงใช้ยกมือขึ้นแหวกม่านอากาศเปิดทางให้กองทัพเซียนมุ่งหน้าออกจากช่องเขาอู่ฮุ่ยอีกครั้ง ทุกสายตากำลังจับจ้องมายังร่างของนางไม่เพียงด้วยความ
เซี่ยหงกระอักเลือดออกมาจากปาก แต่แววตาของนางยังไม่ถอดใจ ดวงตาข้างหนึ่งหลับสนิทเพราะเลือดจากศีรษะที่มีแผล จ้องมองลั่วชิงด้วยแววแข็งกร้าว แม้จะถูกลั่วชิงโจมตีจุดลมปราณทั่วร่างจนสาหัส ทว่าพลังความแค้นของนางยังไม่มอดดับ ร่างของนางค่อย ๆ ปล่อยพลังปราณสีม่วงออกมาอย่างเชื่องช้า“เจ้า...คิดว่าข้าจะยอมพ่ายเพียงแค่นี้หรือ...” นางคำรามเบา ๆ“เจ้าโดนโจมตีจุดลมปราณไปถึงเพียงนั้น ยังฝืนใช้พลังอีกงั้นรึ? มันเจ็บปวดทรมานมากเลย อย่าฝืนดีกว่า” ลั่วชิงพยายามเตือน แต่ไม่เป็นผล ไอพลังลมปราณสีม่วงเข้มเริ่มพวยพุ่งขึ้นรอบตัวประมุขพรรคมารอีกครั้ง แม้สีหน้าจะเต็มไปด้วยคสามเจ็บปวดก็ตามในพริบตา เทวรูปมารหกกรองค์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นคลุมร่างของนางอีกหน ขนาดใหญ่โตเท่าอาคารสี่ห้าชั้นเหมือนเดิม ท้องฟ้าและขุนเขาสะท้านด้วยไอพลังปราณที่ปั่นป่วนหนักหน่วงกว่าเดิมมาก แม้จะมีบาดแผลทั่วร่าง เซี่ยหงก็ยืนประสานมืออยู่ด้านในศีรษะของเทวรูปนั้น กัดพันด้วยความโกรธเกรี้ยว“เจ้าควรหยุดแล้ว... ก่อนที่สิ่งที่เหลืออยู่ของเจ้า จะหายไปหมด” ลั่วชิงกล่าวเบา ๆ ขณะที
เสียงก้าวย่างของเทวรูปมารหกกรที่สร้างจากพลังปราณยังดังก้องทั่วแนวเขาอู่ฮุ่ย ฝีเท้าหนักหน่วงของมันสะเทือนผืนดินทุกครั้งที่ย่างเหยียบ จนกระทั่งมันมาถึงประตูเงามารทว่าเบื้องหน้าประตูเงามารอันสูงใหญ่กลับมีหญิงสาวผู้หนึ่งยืนต้านทานอยู่ ซูหรงนั่นเองศิษย์หญิงของลั่วชิงกางสองมือขึ้นเหนือศีรษะ ร่ายยันต์พลังปราณสีเงินเป็นรูปวงกลม ก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่ส่องแสงระยับ แขนยักษ์ที่ถือดาบมหึมาของเทวรูปมารเริ่มฟาดลงมาราวกับสายฟ้าฟาด แต่เกราะยันต์กลับต้านรับไว้ได้ แม้จะแตกร้าวลง ซูหรงก็ร่ายอาคม ฟื้นฟูกลับขึ้นมาใหม่ภายในพริบตา“คิดจะขวางข้าเรอะ พี่สะใภ้!?”เสียงของเซี่ยหงคำรามออกมาจากในศีรษะของเทวรูป พลางควบคุมแขนยักษ์ฟาดซ้ำลงไปอีกครั้งแรงกระแทกสะเทือนสะท้าน เกราะยันต์พลังปราณสายไปในพริบตา ซูหรงย่อตัวลงน้อย ๆ พร้อมกัดฟัน ก่อนที่ปลายนิ้วจะเขียนอักขระกลางอากาศ ร่ายยันต์ใหม่ขึ้นมาอีกชุด“ตราบใดที่ข้ายังยืนอยู่ เจ้าจะไม่มีวันผ่านประตูนี้ไปได้!” ซูหรงตะโกนอย่างเด็ดเดี่ยว ทว่าเซี่ยหงกลับหัวเราะเยาะ“เดี๋ยวก็ได้ล้มแล้ว! เจ้าคนอ่อนแอ... สายข่