Beranda / รักโบราณ / บ่าวหญิงของศิษย์รัก / บทที่ 8 : นางไม่รู้หรอกว่าข้ายังไม่สิ้นลาย

Share

บทที่ 8 : นางไม่รู้หรอกว่าข้ายังไม่สิ้นลาย

last update Terakhir Diperbarui: 2025-06-18 15:42:24

            แสงอาทิตย์ยามสายส่องผ่านช่องไม้ระแนงของรั้วหลังโรงเตี๊ยม ตกกระทบลานดินซึ่งแห้งสะอาด เสี่ยวซุ่ยนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ หลังจากทำงานซักผ้าช่วงเช้าเสร็จ ดวงตากลมโตของนางทอดมองเฉินอี้ที่กำลังกวาดใบไม้ด้วยท่าทีจริงจัง

เขาขยับไม้กวาดอย่างมั่นคง ร่างกายของเขายังคงบาดเจ็บที่ช่วงไหล่ ทำให้ยกของได้ไม่ถนัดนัก แม้ซูหรงจะปฐมพยาบาลด้วยโอสถขนานเอกของตำหนักเซียนให้แล้วก็จริง แต่ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกสักพัก ถึงกระนั้นเขาก็ดึงดันจะทำงานต่อ อวี้ไป๋เฉินจึงได้มอบหมายให้เขาทำงานที่ไม่ต้องยกของ คืองานกวาดลานแทน

นางเห็นสภาพบาดเจ็บของเขาก็รู้สึกอนาถใจที่ตัวเองไร้พลัง และสงสารที่คนจิตใจอารีเช่นเขา กลับไม่มีวิชายุทธ์ใดที่พอป้องกันตัวได้เลย ถึงกระนั้นลั่วชิงในร่างเสี่ยวซุ่ยก็รู้ดีว่าตนไม่สามารถเอ่ยอะไรตรง ๆ ออกมาเพื่อเป็นการชี้แนะให้เขาพัฒนาฝีมือได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงวิชายุทธ์หรือแสดงตัวตนที่แท้จริง ล้วนถูกยันต์ผนึกไว้หมดสิ้น คำพูดของนางในตอนนี้ทำได้เพียงเจรจาอย่างเด็กสาวไร้การศึกษาที่พูดคุยตามประสาเท่านั้น

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น… ก็ใช่ว่าจะสอนใครไม่ได้เสียทีเดียว นางใช้เวลาครุ่นคิดทั้งคืนแล้วว่าจะช่วยเหลือเขาอย่างไร เมื่อตัวเองต้องมาตกในสถานการณ์นี้

“เฉินอี้…” เสียงของเสี่ยวซุ่ยเอ่ยเบา ๆ พลางมองพื้นดินตรงหน้า พลางใช้นิ้วชี้เล็ก ๆ วาดเป็นวงกลมลงไปในผงทราย “ข้าเคยฝันแปลก ๆ น่ะเจ้าค่ะ ฝันว่ามีคนเดินวนเป็นวงกลมแบบนี้ เวลาจะหลบอะไรที่พุ่งเข้ามา…”

“ฝัน?” เฉินอี้เอ่ยพลางหันมามองอย่างแปลกใจ

“ใช่สิ แบบว่า... สมมุตินะ ถ้ามีอะไรมากระแทกจากตรงนี้นะเจ้าคะ” นางลุกขึ้น แล้วใช้ฝ่าเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงข้างหน้าเล็กน้อย เป็นมุมเฉียง ไม่ใช่การก้าวตรงไปด้านหน้าตรง ๆ แต่เป็นก้าวแบบเยื้องไปทางเดียวกับขาข้างที่ก้าว จากนั้นหมุนตัวตามจังหวะ วาดเท้าอีกข้างพาไปเป็นครึ่งวงกลม ทำให้ร่างกายเคลื่อนไปอีกทางหนึ่งอย่างนุ่มนวล

มันคือกระบวนท่าแรกของ “ปทุมยาตรา” ท่าการก้าวเท้าที่เป็นพื้นฐานของวิชาสำนักเซียนของนาง ซึ่งสามารถทำให้หลบการโจมตีทุกประการที่พุ่งมาเป็นเส้นตรงได้ โดยการก้าวเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ปรัชญาของมันดั่งภาษิตว่า แม้ดอกบัวจะเบ่งบานกลางน้ำ แต่กลับไม่เปื้อนโคลน โดยการย่างก้าวเช่นนี้จึงไม่ใช่แค่การเดิน ธรรมดา ศิลปะแห่งการไม่แตะต้องอันตราย เคลื่อนที่พ้นจากแรงปะทะรุนแรงโดยไม่ใช้แรงต้านใด ๆ และนอกจากนี้ กระบวนท่านี้สามารถพัฒนามาเพื่อย่างเข้าหาฝ่ายตรงข้าม และโต้ตอบกลับได้จากมุมอับ หากมีกระบวนท่าโจมตีต่อจากนั้น โดยไม่ต้องใช้พลังปราณที่ซับซ้อน ขอเพียงรู้ว่าจะก้าวไปตรงไหน อย่างไร เท่านั้นก็พอแล้ว ต่อให้ไม่มีพลังปราณมากมาย เหมือนกับตัวนางในตอนนี้ ก็สามารถใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“เขาก็แค่หมุนหลบ ไม่ต้องใช้แรงมาก... ข้าก็ไม่รู้หรอก ว่าทำไมมันดูง่ายในฝัน… แต่น่าลองเหมือนกันนะ” เสี่ยวซุ่ยพยายามบอกอย่างเด็กสาวไร้เดียงสา

“เจ้าฝันได้ละเอียดขนาดนี้เลยรึ?” เฉินอี้เลิกคิ้วสูง ดูสนใจขึ้นมาเล็กน้อย

“อื้อ...” เสี่ยวซุ่ยพยักหน้าถี่ ๆ ทำตาโตเหมือนเด็กที่ได้เล่านิทานสนุก “ข้าเลยคิดว่าถ้าลองทำดูจริง ๆ มันจะหลบอะไรได้ไหม? เรามาลองทำกันหน่อยดีไหม”

“แบบนี้รึ?” เด็กหนุ่มมองเธออย่างไม่แน่ใจ แต่ในที่สุดก็ลองยืนในตำแหน่งที่เธอว่า แล้วขยับฝ่าเท้าตามคำแนะนำ ก้าวแล้วหมุนตาม ร่างหมุนครึ่งรอบ ทว่ากลับเซจนเกือบจะล้มลง

“ไม่ ๆ ข้าเห็นในฝันว่าเขาเอาส้นเท้าก้าวลงไปก่อน ใช้ส้นเท้าเป็นจุดหมุน ไม่ใช่แค่ก้าวหมุนไปเฉย ๆ มันเป็นเหมือน... เอ่อ... ลูกข่าง ใช่ ๆ คล้ายกับเอาเท้าที่ก้าวเป็นเดือยลูกข่าง..” นางเปรียบเทียบกับของเล่น ตามประสาเด็กสาวชาวบ้านทั่วไป

“การเปรียบเทียบเจ้าก็แปลกนะ แต่เอาเถอะ ข้าจะลองอีกที” เฉินอี้พูดพลางหัวเราะออกมาเบา ๆ

เขาลองก้าวอีกครั้ง ครั้งที่สองของเขาดีขึ้นเล็กน้อย ร่างไม่เซมากนัก ส่วนครั้งที่สามกลับมั่นคงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างหมุนตามแรงส่ง แล้วหยุดลงโดยที่ปลายเท้าทั้งสองตั้งมั่นอยู่กับที่

‘"จ้านี่...มีพื้นฐานการใช้งานร่างกายดีอย่างเหลือเชื่อ ขนาดข้าอธิบายแบบมั่ว ๆ ยังจับจังหวะได้ถูก อนาคตคงเป็นยอดยุทธมือดีได้แน่’"

เสี่ยวซุ่ยมองเขา แล้วรู้สึกได้ถึงความตื้นตันบางอย่าง

“ถ้าใช้ก้าวแบบนี้ ตอนหลบอะไรน่าจะดีเลยนะ...” ลั่วชิงในร่างเสี่ยวซุ่ยแกล้งพูดออกมาเหมือนยังอยู่ในฝัน

“เจ้านี่ฝันได้แปลกแต่มีประโยชน์จริง ๆ” เฉินอี้พูด ขณะที่ยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับนาง “ไว้ข้าจะลองฝึกต่อ ขอบใจนะ น่าจะช่วยให้หลบอะไรต่อมิอะไรได้ง่ายขึ้นเยอะเลย”

ยังไม่ทันที่เสี่ยวซุ่ยจะตอบอะไรกลับ เสียงกิ่งไม้หักจากบนต้นพลับก็ดังกร๊อบ เนื่องด้วยข้างบนมีนกขนาดใหญ่ตัวหนึ่งบินลงมาเกาะ ทำให้กิ่งไม้เส้นหนึ่งขนาดเท่าไม้เรียวตกลงมาตรงหัวเฉินอี้พอดี

โดยไม่รู้ตัว ขาขวาของเขาพาร่างของชายหนุ่มให้ก้าวไปข้างหน้า ขยับหมุนหลบไปครึ่งรอบอย่างที่เพิ่งฝึก ร่างกายเบี่ยงไปด้านขวาเล็กน้อย กิ่งไม้พลาดศีรษะเขาไปเพียงสองนิ้ว แล้วกระแทกพื้นเสียงเบา ๆ

“เฮ้ย…!” เฉินอี้มองกิ่งไม้นั้น แล้วหันไปมองเสี่ยวซุ่ย “เจ้าเห็นไหมเมื่อครู่ ข้า... ข้าไม่ตั้งใจ แต่ร่างมันหมุนไปเองเหมือนที่เจ้าเล่าเลย!”

“จริงเหรอ!” เสี่ยวซุ่ยทำหน้าแปลกใจเกินจริง คล้ายเด็กหญิงที่ตื่นตาตื่นใจกับของเล่นใหม่ “เจ้าหลบได้ด้วย! มันต้องเป็นเพราะข้าฝันดีแน่ ๆ!”

‘แค่นี้ก็พอ... หากเขาฝึกต่ออีกหน่อย ร่างกายก็จะจดจำพื้นฐานการหลบหลีกแบบนี้ได้ เขาดูเหมือนเมล็ดเล็ก ๆ ที่จะเติบโต ถ้าหยดน้ำลงวันละนิดละหน่อย ย่อมต้องเจริญงอกงามได้แน่’

เฉินอี้ยิ้งอย่างดีใจกับการที่ตัวเองได้พบอะไรใหม่ ๆ ขณะที่นางก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยตามเขา ขณะที่มือเล็ก ๆ กำชายเสื้อแน่น ในใจลั่วชิงที่ยังอยู่ในกายของสาวใช้ตัวเล็ก ในบัดนี้นั้นเริ่มรู้สึกได้ถึงสิ่งหนึ่ง

ไม่ใช่แค่เฉินอี้ที่กำลังฝึกฝน…

หากแต่ตัวนางเองก็เช่นกัน นางกำลังฝึกฝนการเป็นมนุษย์ และการถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้ผู้อื่น แม้จะพูดอะไรยาก ๆ ไม่ได้เลยก็ตาม

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 10 : นางเริ่มคิดว่าข้าอาจจะถูก

    ค่ำคืนในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเงียบสงบอีกครั้ง หลังเหตุการณ์ความวุ่นวายผ่านไป ลูกค้าหลายคนพากันไปนอนพักตามแต่ละห้อง สายลมยามค่ำพัดเบา ๆ ผ่านม่านผ้าไหมสีฟ้าอ่อนของหน้าต่างห้องพักส่วนตัวเจ้าของโรงเตี๊ยมที่อยู่ชั้นบนสุดของอาคาร กลิ่นหอมของดอกไม้และเครื่องหอมราคาแพง ยังลอยอบอวลอยู่ในอากาศซูหรงยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องน้ำชา เส้นผมยาวถูกรวบเป็นมวยด้วยปิ่นหยก ร่างบางห่มคลุมด้วยเสื้อคลุมบางสีแดงตัวโปรด นางยังดูสง่างามเหมือนกับทุกครั้ง ทว่าในยามนี้ ขณะใช้ตะเกียบคีบใบชาหอมใส่ลงในปั้นชา มือเรียวกลับสั่นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวนางรู้ดี ว่าร่างนางกำลังสั่นด้วยความกังวลจากภายในใจ ไม่ใช่เพียงเรื่องของอาจารย์ลั่วชิงที่นางผนึกเอาไว้ในร่างเด็กสาวไร้พิษภัยที่ไม่รู้ว่าผนึกจะเสื่อมลงเมื่อใดเท่านั้น แต่ยังมีอีกเรื่องที่ทำเอานางกังวลไม่แพ้กัน นั่นคือเรื่องของชายผู้ร่วมเตียงกับนางอยู่ทุกคืนนั่นอวี้ไป๋เฉิน สามีที่ทำเอานางเป็นกังวลอยู่ตอนนี้ กำลังนั่งอ่านบทกวีอยู่ลำพังบนเก้าอี้ของโต๊ะอ่านหนังสือ ราวกับไม่ทุกข์ร้อนกับอะไรทั้งสิ้น ทั้งที่เพิ่งถูกคุกคามไปเมื่อวานแท้ ๆ“เจ้าดูสงบจังนะ” ซูหรงเอ่ยกับคู่สนทนา โดยไม่หันกลับไปม

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 9 : นางเริ่มสงสัยว่าจะคุมข้าไม่ได้

    ค่ำคืนนั้น โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นไม่ได้เงียบสงบดังเคย แม้ดวงโคมจะถูกจุดสว่างไสว และเสียงหัวเราะในห้องโถงจะยังแว่วดังอย่างเป็นมิตร แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ห้าคนที่นั่งอยู่โต๊ะมุมตะวันตก กลับเริ่มส่งเสียงดังเกินความเหมาะสมชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่ม สวมเสื้อคลุมเปิดอก เผยรอยสักพยัคฆ์คำรามที่ไหล่ข้างหนึ่ง เขาโบกจอกสุราเสียงดัง แล้วตะโกนลั่น“ของข้ามาแล้ว ใครจะกล้าแย่งไปบ้าง ไม่มีล่ะสิ ข้านี่แหละหนึ่งในใต้หล้า!” เขาตบโต๊ะดังปังด้วยฝ่ามือหนักแน่น จนขวดสุราที่เฉินอี้เพิ่งนำมาวางสั่นไหว หกเลอะโต๊ะไปเกือบครึ่ง“คุณชาย โปรดเบาเสียงด้วยขอรับ… ร้านของเรามีกฎไม่ให้ส่งเสียงดังรบกวนแขกท่านอื่น” เฉินอี้ค้อมศีรษะ กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทว่าหนักแน่นและชัดเจน“ข้าจ่ายเงินแล้ว จะกิน จะตะโกน จะเต้น จะปล้ำคน ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้ารึ?” ชายคนนั้นหรี่ตามองเขา ก่อนจะยิ้มเยาะเขาง้างมือหมายจะตบเฉินอี้เล่น ทว่าเฉินอี้เพียงก้าวเท้า ขยับเพียงนิดเดียวเท่านั้น ร่างของเขาก็กลับเบี่ยงหลบการฟาดมืออย่างนุ่มนวล ไม่ใช่การโยกหลบธรรมดา แต่เป็นการก้าวเฉียงเบา ๆ ไปข้างหน้าแล้วหมุนตัวเพียงครึ่งรอบ ตามที่ได้ลองฝึกซ้อมจากคำแนะนำ

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 8 : นางไม่รู้หรอกว่าข้ายังไม่สิ้นลาย

    แสงอาทิตย์ยามสายส่องผ่านช่องไม้ระแนงของรั้วหลังโรงเตี๊ยม ตกกระทบลานดินซึ่งแห้งสะอาด เสี่ยวซุ่ยนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ หลังจากทำงานซักผ้าช่วงเช้าเสร็จ ดวงตากลมโตของนางทอดมองเฉินอี้ที่กำลังกวาดใบไม้ด้วยท่าทีจริงจังเขาขยับไม้กวาดอย่างมั่นคง ร่างกายของเขายังคงบาดเจ็บที่ช่วงไหล่ ทำให้ยกของได้ไม่ถนัดนัก แม้ซูหรงจะปฐมพยาบาลด้วยโอสถขนานเอกของตำหนักเซียนให้แล้วก็จริง แต่ก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูอีกสักพัก ถึงกระนั้นเขาก็ดึงดันจะทำงานต่อ อวี้ไป๋เฉินจึงได้มอบหมายให้เขาทำงานที่ไม่ต้องยกของ คืองานกวาดลานแทนนางเห็นสภาพบาดเจ็บของเขาก็รู้สึกอนาถใจที่ตัวเองไร้พลัง และสงสารที่คนจิตใจอารีเช่นเขา กลับไม่มีวิชายุทธ์ใดที่พอป้องกันตัวได้เลย ถึงกระนั้นลั่วชิงในร่างเสี่ยวซุ่ยก็รู้ดีว่าตนไม่สามารถเอ่ยอะไรตรง ๆ ออกมาเพื่อเป็นการชี้แนะให้เขาพัฒนาฝีมือได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงวิชายุทธ์หรือแสดงตัวตนที่แท้จริง ล้วนถูกยันต์ผนึกไว้หมดสิ้น คำพูดของนางในตอนนี้ทำได้เพียงเจรจาอย่างเด็กสาวไร้การศึกษาที่พูดคุยตามประสาเท่านั้นแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น… ก็ใช่ว่าจะสอนใครไม่ได้เสียทีเดียว นางใช้เวลาครุ่นคิดทั้งคืนแล้วว่าจะช่วยเหลือเขาอย่าง

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 7: นางเกรี้ยวกราดที่โรงเตี๊ยมถูกบุกรุก

    ค่ำวันนั้น โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นถูกแต่งแต้มด้วยแสงโคมแดงและกลิ่นอาหารหอมฉุย และบริเวณที่กลิ่นอาหารอบอวลมากที่สุดก็เห็นจะเป็นโต๊ะสำหรับรับรองแขกพิเศษของโรงเตี๊ยมในคืนนี้เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสะอาดเรียบร้อย เดินถือถาดอาหารเดินวนไปมา คอยเติมชาให้ผู้คน แม้จะยังเก้ ๆ กัง ๆ แต่ก็ไม่ทำถ้วยตก นางรู้สึกปลาบปลื้มกับพัฒนาการในการคุมร่างกายของตัวเองที่ทำได้ดีขึ้น แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ตามขณะทำงาน นางก็ลอบชำเลืองไปยังห้องรับรองหลัก ก็พบว่าแขกในคืนนั้นคือชายฉกรรจ์สี่คนที่แต่งกายคล้ายจอมยุทธ์ต่างสำนัก เสื้อลมผ้าหนา ปักสัญลักษณ์ประหลาดบนอกเสื้อ และแต่ละคนมีสีหน้าเคร่งขรึมเกินกว่าผู้มาเยี่ยมเยียนโดยไมตรี ในโต๊ะเดียวกันนั้น อวี้ไป๋เฉินนั่งอยู่หัวโต๊ะเพื่อเผชิญหน้ากับแขกทั้งสี่ เสี่ยวซุ่ยเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาทำงานที่นี่ เขามีเส้นผมสีดำสนิทราวขนนกอีกา ปล่อยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าเรียวงามได้รูป ผิวราวกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในร่มมาเนิ่นนาน ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน ๆ คิ้วของเขาเรียวยาว ดวงตาสีน้ำตาลก็เรียวเฉียงชี้ขึ้นเล็กน้อย จมูกของเขาโด่ง รับกับใบหน้าทั้งหมดอย่างน่าพึงพอใจ เสื้อผ้าของเขาเป็นช

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 6 : นางกลั่นแกล้งข้า!

    แสงแดดยามเช้าที่สาดทอลงมาในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นวันนี้ ดูแทบไม่ต่างจากทุกวัน แต่สำหรับเสี่ยวซุ่ยแล้ว เช้านี้มีบางอย่างผิดปกติ เพราะทันทีที่นางเดินมาถึงลานซักผ้าใต้ร่มไม้หลังโรงเตี๊ยม ก็พบกับซูหรง ในชุดเสื้อผ้าสีแดงสด กำลังยืนกอดอก รออยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนจะสงบนิ่ง แต่สายตานั้นแฝงความน่าหวาดหวั่นใจบางอย่าง ทำเอาร่างกายที่ถูกทำให้มีอาการอย่างเด็กสาวทั่วไปต้องอดสั่นน้อย ๆ ไม่ได้“เสี่ยวซุ่ย วันนี้เจ้าจะต้องทำงานเพิ่ม” ซูหรงเอ่ยขึ้น ด้วยท่าทีทรงอำนาจ “เริ่มจากไปซักผ้าปูโต๊ะทั้งหมดในร้าน ผ้าม่าน ผ้าปูที่นอนด้วย ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว เจ้าต้องทำคนเดียวนะ วันนี้คนอื่นน่าจะยุ่ง ๆ กับการเตรียมตัวต้อนรับแขกพิเศษ เห็นว่าสหายเก่าของท่านอวี้ไป๋เฉินจะมาเยี่ยมเยือน”เสี่ยวซุ่ยชะงักเล็กน้อย นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่หน้าที่ปกติของสาวใช้ฝึกหัดทั่วไป งานเหล่านี้รวมทุกอย่างแล้ว ต้องใช้แรงกายมาก และใช้เวลาทั้งวัน หากไม่ใช่เพราะซูหรงตั้งใจสั่งเอง สาวใช้ฝึกหัดไม่น่าจะได้ทำด้วยซ้ำ“เจ้าค่ะ ข้าจะทำให้เสร็จ…” เด็กสาวพยักหน้าเบา ๆ สีหน้าเจือความลังเล แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้แต่เพียงรับคำสั่งเท่านั้น“เช่นนั

  • บ่าวหญิงของศิษย์รัก   บทที่ 5 : นางทำให้ข้าจำต้องเริ่มใหม่

    เช้าวันใหม่ในโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเริ่มต้นด้วยเสียงเก็บถาด ล้างหม้อ และกลิ่นหอมของข้าวร้อนผสมกลิ่นซุปสมุนไพรอ่อน ๆ ดังลอยปะปนกับเสียงฝีเท้าของบ่าวหญิงชายที่เดินขวักไขว่ เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสีฟ้าหม่น เดินอยู่ท่ามกลางนั้นอย่างเงียบ ๆ มือขาวนวลของนางถือตะกร้าผักแนบอก ท่าทางไม่ต่างจากสาวใช้คนอื่น ทว่าในแววตายังเจือร่องรอยของความอึดอัดบางประการเมื่อเดินเข้าไปในห้องครัว นางเห็นพี่หลินกำลังสั่งให้สาวใช้อีกคนปอกขิง เตรียมพริกแห้ง และล้างชามดินเผา“เสี่ยวซุ่ย” พี่หลินเรียกเสียงนิ่งตามเคย “วันนี้เจ้าช่วยต้มถั่วเขียวในหม้อใหญ่นั่น ข้าจะทำข้าวต้มถั่วเป็นมื้อเช้า”“เจ้าค่ะ” เสี่ยวซุ่ยตอบเรียบ ก่อนจะเดินไปที่หม้อขนาดใหญ่ ตั้งน้ำ ตวงถั่วตามที่คิดว่าเคยเห็นคนทำมาก่อน ทว่าขณะจะจุดไฟ นางกลับจ้องไม้ฟืนอยู่นานอย่างประหลาด“ไม่น่าจะยาก...” เซียนอายุนับพันในร่างเด็กสาวคิดในใจ ก่อนจะพยายามจุดไฟโดยใช้หินเหล็กและฟืนแบบชาวบ้าน แต่หลังพยายามอยู่ครู่ใหญ่ เปลวไฟกลับยังไม่ติดดีนัก ควันกลับฟุ้งขึ้นเต็มหน้า และเมื่อนางพยายามเติมถั่วในน้ำต้ม ก็พลาดทำตกกระเด็นครึ่งถุงจนกลิ้งเต็มพื้นหิน“อ๊ะ…” นางอุทานเบา ๆ พลางก้มลงเก็บ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status