คณะเดินทางทั้งสามก้าวเท้าไปตามเส้นทางจากโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นทอดยาวตามแนวด้านล่างของเทือกเขาเหิงหลัวด้วยจังหวะมั่นคง แสงอาทิตย์ยามสายส่องผ่านแนวไม้โปร่ง กระทบใบหญ้าและหมวกของซูหรงที่เดินนำหน้า บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกร้องเบา ๆ กับลมที่ไล้ยอดหญ้า เสี่ยวซุ่ยหอบสัมภาระเล็ก ๆ เดินตามหลังซูหรง ส่วนเฉินอี้เดินเคียงข้างราวนางกำลังระวังภัยให้อย่างเงียบ ๆ เขามักแอบเหลือบมองเสี่ยวซุ่ยเป็นระยะ เมื่อเห็นนางเริ่มหอบก็ยื่นน้ำให้ หรือช่วยรับสัมภาระมาถือบ้างโดยไม่ต้องให้นางเอ่ยปาก"ข้าไม่เหนื่อยหรอกเจ้าค่ะ" เสี่ยวซุ่ยว่าอย่างเอียงอาย แต่สีหน้าแดงระเรื่อของนางบอกตรงกันข้าม"ข้ารู้" เฉินอี้ยิ้มเบา ๆ "แต่เจ้าคงไม่ถือ หากข้าช่วยเพียงเล็กน้อย"ทว่าเมื่อทั้งสามกำลังจะถึงทางโค้งซึ่งเบื้องหน้าคือทางราบก่อนถึงเชิงเขาหลิงอวิ๋น พลันเสียงกระทืบเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากพุ่มไม้ทั้งสองฝั่งทาง ก่อนจะมีร่างชายฉกรรจ์สี่คนในชุดคลุมเก่าเปรอะโผล่ออกมาพร้อมมีดดาบในมือ"เงินทองเอาไว้นี่ แล้วชีวิตพวกเจ้าจะปลอดภัย!" หนึ่งในนั้นตะโกนเสียงดัง ก่อนที่อีกคนจะหัวเราะอย่างหยัน "พวกเจ้าอย่าคิดตุกติก หญิงสอง ชายหนึ่ง ไม่มีอาวุธ
สายลมยามเช้าวันต่อมา พัดผ่านสนามหญ้าหน้าโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นอย่างอ้อยอิ่ง ดอกหญ้าเอนไหวราวรู้ว่าจะต้องโบกมืออำลาคณะเดินทาง ซูหรง เฉินอี้ และเสี่ยวซุ่ยยืนรวมกลุ่มกันอยู่เบื้องหน้าม้านั่งหินใต้เงาไม้ใหญ่ ห่อผ้าสัมภาระถูกจัดวางไว้บนโต๊ะหิน หีบเครื่องรางและยันต์หลากชนิด ถูกซูหรงตรวจสอบอีกครั้ง ก่อนนำใส่ห่อผ้าสะพายข้างตัว บางแผ่นเก็บไว้ในอกเสื้อ ชายเสื้อ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินซูรงในชุดสีแดงเข้มยืนสงบ ดวงตาทอดมองไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอย่างนิ่งงัน ก่อนเอ่ยขึ้นกับทั้งสองบ่าวที่กำลังตรวจสอบสัมภาระเป็นครั้งสุดท้าย“ข้าใช้คาถาฟื้นสภาพให้ท่านจ้าวหยาง เพิ่มอัตราการฟื้นฟูร่างกายให้ อีกไม่นานก็คงเดินได้ ต่อสู้ได้เหมือนเดิม ส่วนท่านอู๋เป่ยข้าก็ช่วยฟื้นสติของเขาแล้ว ส่วนพวกสำนักคุ้มภัยที่บาดเจ็บ ถูกพิษ ข้าก็ช่วยรักษาให้ด้วยวิชาเซียน พวกเขารู้ว่าพรรคมารจะไม่กลับมาที่โรงเตี๊ยมหลังได้ตราแล้ว ก็ถอนกำลังกลับไปส่วนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งก็คงสามารถคุ้มครองโรงเตี๊ยมเราได้ระหว่างที่ข้าออกเดินทาง ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเหตุร้ายกับเพื่อน ๆ หรือสามีข้า หรือโรงเตี๊ยมตอนพวกเราไม่อยู่หรอก”“เราจะมุ่งหน้าสู่ ยอดเขาห
ห้องพักชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นเงียบสงัด ผ้าม่านพลิ้วไหวเบา ๆ ตามแรงลมยามบ่าย ซูหรงยืนอยู่ที่โต๊ะ กำลังเก็บสัมภาระก่อนออกเดินทาง ลำแสงอ่อนของอาทิตย์ส่องต้องใบหน้าของนาง ทำให้ผิวขาวของนางดูสว่างเรืองรอง ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยความแข็งกร้าว ราวกับพร้อมเผชิญหน้ากับความจริงบางอย่างเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น ก่อนที่อวี้ไป๋เฉินจะก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบกริบ ใบหน้าของเขายังซีดเซียวจากอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความอึดอัดและเจ็บปวด เขาหยุดยืนอยู่กลางห้อง ห่างจากนางราวหนึ่งช่วงตัว“เจ้าส่งตรานั่นให้นางไปหรือ?” เขาเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว พลางมองไปยังห่อผ้าสัมภาระของนาง “แล้วนั่นเจ้าจะเก็บของ ไปที่ไหนกัน?”“ใช่ ข้าส่งตราให้นางไปเอง ” ซูหรงตอบเรียบ ๆ โดยไม่หันมามอง “แล้วข้าก็จะเดินทางไปยังที่แห่งหนึ่ง จะพาเฉินอี้กับเสี่ยวซุ่ยไปด้วย”สิ้นคำตอบนั้น บรรยากาศก็พลันเงียบงัน ก่อนที่เสียงของซูหรงจะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้นางหันมาสบตาเขาโดยตรง ดวงตาคมเข้มดุจเปลวไฟที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน“ข้าอยากถามเจ้ามานานแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่เคยบอกข้า ว่าเจ้าคือลูกชายของประมุขพรรคมารรุ่นก่อน?”คำพูด
รุ่งเช้าของวันใหม่ ฟ้าสีครามค่อย ๆ ถูกปิดบังด้วยเมฆหนา โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบงันเช่นกันณ ลานกว้างด้านหน้าโรงเตี๊ยม ที่ถูกจัดการพื้นที่จนโล่ง เสื่อผืนใหญ่ถูกวางกลางลานเช่นเช่นวันก่อน ขณะที่คนจากสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิง และบ่าวจากโรงเตี๊ยมอีกหลายคนรวมตัวอยู่ห่าง ๆ เฝ้าดูเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในเช้านี้ด้วยหัวใจที่เต้นรัวซูหรงในชุดสีแดงเข้มขลิบทองยืนอยู่กลางลาน สง่างามและเยือกเย็น ด้านหลังของนางคือเฉินอี้ ที่มายืนคุ้มกันห่าง ๆ เผื่อการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จแสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆลงมา ซูหรงยืนรอไม่นานนัก ร่างของหญิงสาวในชุดสีม่วงเข้มก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นั่นคือ ร่างหุ่นเชิดของอวี้เซี่ยหง ประมุขพรรคมาร ส่วนตัวของผู้ควบคุมหุ่นเชิดมนุษย์นั้น ชักใยด้วยเส้นใยพลังปราณจากที่ห่างไกล ไม่มีผู้ใดมองเห็นตัวจริง นอกจากนางก็มีผู้ติดตามชุดดำสองคน สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า เห็นเพียงลูกตาเท่านั้นถึงอย่างนั้นแม้พลังที่แผ่ออกมา จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งจากตัวจริง แต่กลิ่นอายความน่าสะพรึงกลับยังชัดเจน แต่ซูหรงไม่หวาดเกรงสักนิดเดียว นางไม่เอ่ยคำทักทายใด ๆ นางเพียงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
แสงแดดยามสายของวันต่อมาสาดทาบลงบนพื้นไม้ของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น กลิ่นหอมของใบชาอ่อน ๆ ลอยคลุ้งอยู่ในเรือนครัว เสี่ยวซุ่ยยืนอยู่ตรงโต๊ะไม้ เตรียมน้ำชาสำหรับแขกในโรงเตี๊ยมอย่างขะมักเขม้น ใบหน้านวลผ่องของนางมีรอยยิ้มจาง ๆ ดวงตาแจ่มใส ท่าทางขยันขันแข็งดุจบ่าวหญิงสามัญทั่วไปทว่าทันใดนั้น เศษความทรงจำบางอย่างแล่นผ่านหัว เกี่ยวกับการชงชา ปรุงโอสถสมุนไพร ทว่าไม่กี่อึดใจมันก็หายไปราวหมอกที่จางหาย นางจึงไม่สนใจอะไรก็ตามที่แวบเข้ามาในหัว แล้วทำงานต่อไปในฐานะบ่าว“เสี่ยวซุ่ย ไปเก็บผ้าที่ลานด้วยนะ แดดกำลังดีแบบนี้ คงแห้งหมดแล้วล่ะ” เสียงพี่หลินดังมาจากหน้าประตู“เจ้าค่ะ พี่หลิน” เสี่ยวซุ่ยรับคำอย่างว่าง่าย เช็ดมือลวก ๆ แล้วรีบก้าวออกจากครัว “ข้าจะไปเก็บผ้าเดี๋ยวนี้ล่ะเจ้าค่ะ”ในขณะเดียวกัน ณ ห้องลับด้านบนสุดของโรงเตี๊ยม ประตูบานหนักค่อย ๆ เปิดออกพร้อมเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงสาวในชุดสีแดงเข้มขลิบทอง นางคือซูหรง ที่เพิ่งออกมาหลังจากทำพิธีสร้างยันต์ ใบหน้าซีดลงเล็กน้อยจากการใช้พลังปราณอย่างต่อเนื่อง แต่ดวงตาแสดงความมั่นใจและเฉียบขาดเหมือนเดิม“ท่านออกมาแล้ว!” เฉินอี้ที่รออยู่หน้าห้องเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็
ล่วงเข้าสู่ยามเย็น แสงแดดอ่อนคล้อยทาบลงบนแนวหลังคาโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น เงาไม้ทอดยาวอยู่บนพื้นไม้เรียบ เสียงลมกระทบหน้าต่างเบา ๆ กล่อมให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยหลังความวุ่นวายในยามสายจางหายในห้องพักด้านใน ร่างของเสี่ยวซุ่ยนั่งพิงหมอนอิง ดวงตายังดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากอาการที่เพิ่งฟื้น ทว่าริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อบานประตูถูกเคาะเบา ๆ ก่อนที่เฉินอี้จะก้าวเข้ามาด้วยท่าทางระมัดระวัง เขามีผ้าห่มบางผืนหนึ่งพับอยู่ในมือ ใบหน้าแม้จะยังมีร่องรอยของความอ่อนล้า แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและโล่งใจ“เจ้าไม่แล้วหรือ? ท่านหมอว่าเจ้าควรพักดูอาการอีกคืน” เขาเอ่ยเสียงเบา เสี่ยวซุ่ยหันมามองเขา สบตาเพียงครู่ ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ“ข้านอนมานานพอแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบเบา ๆเฉินอี้เดินเข้ามาใกล้ วางผ้าห่มไว้บนเก้าอี้ตัวข้างฟูก ก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างร่างนาง ใบหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย“เสี่ยวซุ่ย… ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้า” เขาเริ่ม นางก็เลิกคิ้วน้อย ๆ“เจ้าจำไม่ได้ใช่ไหม ว่าตอนที่ข้าจะถูกสังหารในลานนั่น... อยู่ ๆ ก็มีแสงพลังสีฟ้าสว่างวาบออกจากฝ่ามือของเจ้า แล้วพลังในร่างของข้า… มันระเบิดขึ้น เหม