"อาเหยาเอาสุรามาให้ข้าสักไหสิ"
ฝนตกลงมาอย่างยาวนานหลายวัน แต่ทว่าที่โรงเตี๊ยมซูฮวานั้นยังเนืองแน่นไปด้วยผู้คน แน่นอนว่าเรื่องการจัดการทุกอย่างภายในร้าน มันคือหน้าที่ของอาเหยา เขาคือปีศาจงูที่เธอบังเอิญช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน อาเหยาก็เลยนับว่านั่นคือบุญคุณเขาจึงอุทิศตัวทำงานและดูแลเธอไปในเวลาเดียวกัน "อย่าดื่มมากนักนะขอรับ เถ้าแก่เนี้ยช่วงนี้ดื่มมากเกินไปแล้วนี่จะเป็นไหสุดท้ายของวันนี้ที่ข้าน้อยจะยินยอมให้ท่านดื่มสุราพวกนี้เข้าไป" เจ้าปีศาจงูนี่ขี้บ่นมากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก เธอส่งยิ้มให้เขาก่อนจะยกไหสุราขึ้นมาดื่ม นานเท่าไหร่แล้วที่สุราพวกนี้มันไม่สามารถทำให้เธอเมาได้ จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เมาคือเธอดื่มมันมาก..จนเผลอหลับไปคากองไหสุรา ดื่มให้ลืมเลือนความเศร้า ดื่มเพื่อให้ความเจ็บปวดในใจคลายลง เย่วเล่อทิ้งตัวลงบนพื้น ที่นี่คือห้องพักของเธอ เป็นห้องที่ติดกับแม่น้ำที่ยาวไกลจนสุดลูกหูลูกตา เธอชื่นชอบที่นี่มากจึงทำงานตั้งหลายปีกว่าที่จะสามารถซื้อที่ดินตรงนี้ได้ จุดประสงค์ของการเปิดโรงเตี๊ยมนั่นคือเธออยากพบเจอผู้คนมากมาย แต่ทว่าก็มิได้อยากรู้จักจนถึงขนาดที่ว่าจะผูกพันอะไร เพราะมนุษย์ทุกคนจะตายในขณะที่เธอจะยังมีชีวิตอยู่ การจากลาโดยถูกความตายพรากไปนั่นคือสิ่งที่เย่วเล่อเกลียดชังที่สุด เธอจึงระมัดระวังในทุกความสัมพันธ์เสมอ เธอล้มตัวนอนลงบนพื้น โดยเงยหน้าขึ้นมามองหน้าต่าง ฝนยังคงโปรยปรายลงมาอย่างหนัก ถ้าเป็นเธอในเมื่อก่อนคงจะห้ามตัวเองไม่ได้ ต้องเดินทางไปที่บ้านริมชายแดนนั่นแล้ว ริมฝีปากบางหยักยิ้มขึ้นมา ตั้งแต่ที่ได้พบเจอเขาคนนั้น ชายซื่อบื้อที่ช่วยชีวิตเธอ ความคิดต่างๆพลันเปลี่ยนไป เธอไม่อยากจะไปที่นั่นอีกแล้วเพราะยามนี้มีนายพรานเข้ามาที่ป่ามากมายทีเดียว การพาตัวเองไปยังที่ที่เสี่ยงอันตรายเช่นนั้นถือว่ามันคือการกระทำที่โง่งมโดยแท้ เธอจะไม่ไปที่นั่นอีกแล้วล่ะ... ไม่อยากจะฟังทั้งคำปฏิเสธและอะไรทั้งนั้นที่เกี่ยวกับอาจารย์ เธอปล่อยเวลาให้มันล่วงเลยมานานหลายร้อยปีโดยที่ตัวเองยังจมอยู่กับความรักที่ไม่มีวันเป็นไปได้ หากจะหาคนที่โง่งมจริงๆ คนผู้นั้นย่อมเป็นตัวเธอเองอย่างไม่ต้องสงสัย หลังจากที่ดื่มสุราไหนี้หมด เย่วเล่อคิดว่าเธอจะตัดใจ... จะลืมเลือนความรักในครั้งอดีตให้หมดสิ้นแล้วปล่อยใจไปกับความสุขกับความสัมพันธ์ชั่วพักชั่วครู่กับบุรุษผู้งดงามสักสองสามคน... เย่วเล่อล้มตัวนอนพร้อมกับหลับตาลงช้าๆ มีเพียงเสียงฝนตกกับกลิ่นหอมอ่อนๆของไผ่...เหมือนในวันนั้นเลย วันที่เธอได้พบเจอกับชายผู้นั้น "!!" นิ้วมือเรียวยาวของเธอเปิดผ้าม่านออกเพื่อมองไปเบื้องล่าง.. เป็นเขาจริงๆด้วย เขาเดินทางมาที่นี่พร้อมกับทหารราวยี่สิบคน ที่โรงเตี๊ยมซูฮวามิได้มีเพียงที่พักอย่างเดียว แต่ทว่าเหลาอาหารของที่นี่ก็ขึ้นชื่อว่าเลิศรสยิ่ง มิแปลกที่เขาจะมาที่นี่ เพราะเมืองที่ทุรกันดารเช่นนี้ มีเพียงเหลาอาหารของเธอเท่านั้นที่หรูหราที่สุด ไม่มีใครอยากจะมาทำการค้าที่ชายแดนหรอก ที่นี่มิได้มีคุณชายหรือว่าเหล่าบัณฑิตผ่านมาพัก แต่ทว่าแขกส่วนใหญ่คือทหารรับจ้างเดนตาย หรือกลุ่มชนเผ่าและกลุ่มนายพราน เรื่องอันตรายอะไรแบบนั้นเธอมิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เย่วเล่อคว้าเสื้อคลุมสีส้มขึ้นมาใส่ เธอเดินมาที่กระจกก่อนจะจัดการแต่งแต้มชาดลงไปบนผิวหน้าที่ขาวเนียน ในบางคราวันนั้นเขาอาจจะมองเห็นความงดงามบนใบหน้านี้ไม่ชัดเจน เช่นนั้นก็เน้นย้ำให้เขามองเห็นชัดเจนกว่านี้สักหน่อยเถิด ว่าสตรีที่เขาโยนออกมาจากห้องนอนนั้นงดงามแค่ไหน "เป็นอย่างไรบ้างขอรับแม่ทัพหนิง เหลาอาหารที่นี่เลื่องชื่อยิ่งนัก ถึงมิอาจเทียบเคียงเมืองหลวงแต่ทว่าไม่น้อยหน้าอย่างแน่นอน อีกทั้งเถ้าแก่เนี้ยที่นี่ก็ยัง...งดงามมากอีกด้วย" จุนเฟิงคือทหารที่รับหน้าที่ดูแลท่านแม่ทัพหนิงที่พึ่งจะย้ายมาใหม่ ความเก่งกล้าสามารถของท่านแม่ทัพนั้นทุกคนรวมทั้งเขาประจักษ์แจ้งแก่สายตาหมดแล้ว ท่านแม่ทัพหนิงสามารถเอาชนะศึกที่ยาวนานหลายสิบปีได้ และในข่าวลือก็ยังกล่าวถึงความรักที่เจ็บปวดของท่านแม่ทัพอีกด้วย ตามข่าวลือกล่าวว่าคนรักของท่านแม่ทัพนั้นพบรักใหม่เมื่อครั้งที่ท่านแม่ทัพมาออกรบ จุนเฟิงทำได้เพียงถอนหายใจเท่านั้น เพราะสาเหตุนั้นเหล่าทหารทุกนายต่างเข้าใจกันดี เพราะทุกคนล้วนเคยโดนกันถ้วนหา มีน้อยยิ่งนักสตรีที่รอคอยสามีที่กลับจากไปรบ.. ส่วนใหญ่จะเขียนจดหมายมาพร้อมใบหย่า หรือไม่ก็เขียนขอจบความสัมพันธ์มา เขาคิดว่าหากว่าเขาพาท่านแม่ทัพหนิงผู้เก่งกาจมาที่นี่ ให้มาพบเจอกับเถ้าแก่เนี้ยผู้งดงาม บางทีในใจของท่านแม่ทัพอาจจะดีขึ้นก็ได้... เจ็บปวดจากสตรีก็ต้องใช้สตรีในการช่วยเยียวยา ในขณะที่จุนเฟิงคิดอยู่นั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร่างบางที่กำลังเดินลงบันไดมา แน่นอนว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่กำลังตกตะลึงแต่คนทั้งร้านต่างจับจ้องไปที่สตรีที่กำลังก้าวเดินลงบันไดมา นางอยู่ในชุดสีส้มที่ดูฉูดฉาด แต่ทว่าพออยู่บนร่างกายของนางกลับเหมาะสมยิ่งนัก ดวงหน้าที่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงจะสามารถบอกกล่าวเล่าขานถึงความงามนั้นได้ชัดเจน ราวกับว่าเขากำลังตกอยู่ในมนต์สะกดยังไงอย่างนั้นเลย "นี่คือ..สาวงามที่เจ้าว่าอย่างนั้นหรือ?" รอยยิ้มของจุงเฟิงค่อยๆจางหายไปเมื่อท่านแม่ทัพหนิงยังคงทำหน้าเย็นชาเช่นเดิม ท่านแม่ทัพคือคนแรกเลยก็ว่าได้ที่สามารถต้านทานความงดงามของเถ้าแก่เนี้ยได้ "ไม่คิด..หวั่นไหวสักหน่อยเลยหรือครับ ความงามเช่นนั้นใช่จะมีอยู่ทั่วไป..." ก็ใช่นะสิ ความงามที่ลึกล้ำนั้นคือว่างดงามของปีศาจจิ้งจอกน่ะสิ ดูจากสายตาของเหล่าบุรุษที่อยู่ในร้านก็พอจะเดาได้ว่านางได้รับความนิยมมากขนาดไหน "เรื่องรสชาติอาหาร ปฏิเสธมิได้ว่าดีเยี่ยมทีเดียว ส่วนเรื่องอื่นข้าไม่ขอออกความคิดเห็น" หนิงหลงก้มหน้าลงเพื่อทานอาหารต่อโดยไม่สนใจเย่วเล่อที่กำลังเดินมาเลยแม้แต่น้อย "ไม่บ่อยนักที่เหล่าทหารกล้าจะมาที่โรงเตี๊ยมของข้า..." จุนเฟิงรีบลุกขึ้นแล้วยกเก้าอี้มาให้เย่วเล่อนั่งลงข้างท่านแม่ทัพหนิง ในทันที "พวกเราพาท่านแม่ทัพคนใหม่มาครับเถ้าแก่เนี้ย" เย่วเล่อเลิกคิ้วขึ้นมามองหน้าของหนิงหลง เธอส่งยิ้มให้เขา.. นี่คือรอยยิ้มที่สามารถทำให้บุรุษตกอยู่ในภวังค์นับไม่ถ้วน และแน่นอนมันไม่สามารถทำให้หนิงหลงหวั่นไหวได้แม้แต่นิดเดียว "นี่ท่านแม่ทัพหนิงขอรับเถ้าแก่เนี้ย แม่ทัพหนิงหลง" "ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ หวังว่าท่านจะมาที่นี่บ่อยๆทางโรงเตี๊ยมซูฮวาจะจัดการต้อนรับท่านเป็นอย่างดี" เขาปรายตามองหน้าเธอ ก่อนจะหันไปมองอาหารที่วางเรียงรายบนโต๊ะต่อ "...คงจะดีหากการต้องรับของเถ้าแก่เนี้ย มันคือการลดราคาอาหารพวกนี้" เยว่เล่อยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากพร้อมกับหัวเราะเบาๆ "สำหรับท่านแม่ทัพ ข้าไม่คิดเงินก็ได้เจ้าค่ะ หวังเพียงท่านจะมีเวลาว่างมากพอที่จะร่ำสุรากับข้าแบบที่เป็นการส่วนตัวสักครั้ง..."นี่คืองานแต่งที่ทวยเทพทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนมาร่วมยินดี งานแต่งของมหาเทพบรรพกาล กับเทพจิ้งจอกผู้งดงามราวกับภาพวาดแน่นอนว่ามู่หยางจัดงานอย่างยิ่งใหญ่โดยครั้งนี้เขามิได้คำนึงถึงฤกษ์มงคลใดๆ เขาจัดงานในทันทีที่อาการของเยว่เล่อดีขึ้น ยามนี้นางคือภรรยาของเขาอย่างแท้จริงและพวกเรากำลังอยู่ที่หุบเขาแห่งเซียน เขารู้ดีว่าภรรยาชื่นชอบที่นี่ จึงมิคิดพานางไปอยู่ที่สวรรค์ชั้นฟ้า "ภรรยาเจ้าติดค้างคืนเข้าหออยู่นะ..."เยว่เล่อหัวเราะเบาๆท่านเทพบรรพกาลผู้นี้จับเธอกินจนแทบมิเหลือเรี่ยวแรงในทุกค่ำคืน ยามนี้เธอเหนื่อยล้ากับการต้อนรับเทพที่มาร่วมยินดีเขาจะมิวายจะรังแกเธออีกอย่างนั้นหรือ"ท่านพี่ควรจะให้ข้าได้พักบ้าง"มู่หยางหัวเราะเบาๆ เขาอุ้มเยว่เล่อขึ้นมาวางเอาไว้บนเตียง"วันพรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมอาเหยา ที่โรงเตี๊ยมนั่นของทุกอย่างที่เจ้าเคยใช้ อาเหยายังคงเก็บเอาไว้ให้เป็นอย่างดี..."เยว่เล่อส่งยิ้มจางๆให้สามี อาจจะเพราะเรานั้นอยู่ที่โลกมนุษย์มานาน คำเรียกขานเช่นนี้จึงสบายใจยิ่งกว่าการเรียกขานที่ห่างเหินอย่างที่พวกเซียนชอบกล่าวเธอคือภรรยาและเขาคือสามี เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว มิต้องการสิ่งใดที่ยุ่งย
หิมะโปรยปรายลงมาพร้อมกับเยว่เล่อที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เธอยกมือขึ้นมาเพื่อรอรับหิมะที่ตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่าร่างกายของหนิงหลงนั้นสลายหายไปในอากาศเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน อาจจะเป็นเพราะว่าพลังเซียนของเธอนั้นอ่อนแอลงจนไม่สามารถคงสภาพของเขาเอาไว้ได้ เธอยังคงโอบกอดร่างที่ไร้วิญญาณของเขาทุกคืนก่อนนอน ถึงแม้ผิวกายของเขาจะเย็นเฉียบก็ไม่เป็นไร เธอยังคงพูดคุยกับเขาราวกับว่าเขายังอยู่ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะสูญสลายไปแล้ว...การมีชีวิตอยู่โดยไร้ท่านมันทรมานเหลือเกินหนิงหลง ข้าร่ำร้องขอความตายจากสวรรค์ในทุกค่ำคืนเผื่ออย่างน้อยที่ปลายทางมันจะมีท่านยืนรออยู่และแล้ววันที่เธอรอคอยก็เดินทางมาถึงในวันที่พลังเซียนของเธอกำลังจะหมดลง อายุขัยที่ยาวนานกำลังจะสิ้นสุด เยว่เล่อสวมชุดสีแดงนั่งอยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมา เธอแต่งหน้าและแต่งตัวให้งดงามกว่าทุกวันเพื่อในยามที่ได้พบเจอหนิงหลง เธอจะได้งดงามที่สุดในสายตาของเขาเธอกำลังนั่งรอความตายที่คืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆให้หิมะพวกนี้ฝังกลบร่างของเธอเอาไว้ ร่างของสาวงามพลันหายไปเหลือเพียงแต่ร่างจิ้งจอกที่มีขนสีขาวกลมกลืนไปกับหิมะที่นอนหายใจรวยรินอยู่มารับข้าไปได้แล้ว.
ไร้สิ้นลมหายใจ หัวใจที่เคยเต้นแรงในยามที่โอบกอดเธอเอาไว้ ยามนี้มันไม่เต้นอีกแล้วปราณเซียนของเธอที่แบ่งให้เขาเอาไว้ถึงครึ่งบัดนั้นมันแตกสลายไปหมดแล้ว เธอมาช้าเกินไป เพราะมัวแต่ร้องไห้เสียใจอยู่ตรงนั้นจึงไม่ได้มาทันล่ำลากับเขาเป็นครั้งสุดท้าย ใบหน้างามอาบไปด้วยน้ำตาเพราะกับร่างกายที่สั่นเทา เยว่เล่อยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาก่อนที่นางจะลุกขึ้น "ใคร...ใครเป็นคนฆ่าเขา?" เสียงหัวเราะดังขึ้นมาเมื่อถามถึงว่าใครกันที่สามารถล้มแม่ทัพหนิงผู้เกรียงไกรได้ ตามแขนและคอของหนิงหลงมีรอยเชือกแสดงว่าคนพวกนี้คงจะมัดมือมัดแขนของเขาเอาไว้หรืออาจจะมีการใช้ใครสักคนต่อรองเพื่อให้เขาวางอาวุธลง... แล้วยอมจำนน ไม่ว่าใครก็ไม่สำคัญทั้งนั้นเพราะว่าเธอจะฆ่าให้หมด...จะนำเลือดของคนพวกนี้มาล้างเท้าให้หนิงหลงเสียให้หมดทุกคน มีมือมาแตะที่ไหล่ของเยว่เล่อ พอเธอหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นอาเหยา "ในใจเกิดความร้อนรุ่มขึ้นมา ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าเถ้าแก่เนี้ยจะต้องมีเรื่อง...ถ้าท่านจะจัดการคนพวกนี้ ให้ข้าน้อยเป็นผู้กระทำเถิดนะขอรับ" เพราะเยว่เล่อเป็นเซียน อีกทั้งนางสูญเสียพลังเซียนไปกว่าครึ่ง ทุกๆการใช้พลังของเทพจิ้งจอกอ
หนิงหลงหรี่ตามองนักดนตรีผู้หนึ่งที่กำลังตีกลองอยู่ เขารู้สึกว่าแววตาที่นางมองมาที่เขานั้นมันแตกต่างจากคนอื่นเพราะนางมองมาที่เขาด้วยแววตาที่เจือปนไปด้วยความโกรธ ส่วนนางรำนางอื่นๆต่างมองมาที่เขาด้วยแววตาที่เย้ายวนอ่า..เขาคิดว่าเขาพบเจอภรรยาตัวเองแล้วล่ะนะ"หลิงหยุนวันนี้ข้าพบเจอสตรีที่ทำให้หัวใจเต้นแรงแล้วล่ะสิ...""...มีสตรีใดที่งดงามมากกว่าภรรยาของเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ? บ้าไปแล้วหนิงหลง"หนิงหลงยกมือขึ้นเพื่อให้การแสดงหยุด เขาเดินเข้ามาหานักดนตรีสาวที่กำลังนั่งตีกลองอยู่ พร้อมกับยื่นมือไปหานาง"เจ้าบรรเลงเพลงได้ถูกใจข้ายิ่งนัก แน่นอนว่าข้าอยากจะฟังฝีมือในการบรรเลงเพลงของเจ้าให้ชัดเจนกว่านี้..ลุกขึ้นมาเถิด"เยว่เล่อถึงกับหน้าชา นางมิรู้ว่าสามีล่วงรู้ถึงตัวตนของนางหรือว่าเขาเพียงแค่แสดงท่าทางเจ้าชู้ไปเรื่อยแล้วมันบังเอิญที่เขาเลือกนักดนตรีนางนี้...ที่นางปลอมตัวมาเขาเดินจับจูงมือของนางเพื่อจะพาไปด้านนอกกระโจมจัดเลี้ยงเพราะเวลานี้เป็นเวลาดึกมาแล้ว ใจจริงของหนิงหลง เขานั้นอยากจะหาเหตุผลออกไปจากที่นี่อยู่พอดี"ซุกซนเกินไปแล้วภรรยา เจ้าคิดว่าสามีจะจดจำเจ้ามิได้อย่างนั้นหรือ?"เยว่เล่อเม้มปา
หนิงหลงกระโดดขึ้นม้า เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นฟางเซียนในขบวน เราจะไปตั้งค่ายกันที่ใกล้สนามรบมากกว่านี้อีกหน่อย ไม่ไกลจากที่นี่มากนักแต่ทว่าเขาไม่เห็นความจำเป็นที่นางจะต้องตามไป"คือว่าข้าสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ ให้ข้าได้ทำประโยชน์เพื่อทหารกล้าทุกนายที่ช่วยเหลือข้าเถอะนะ"ฟางเซียนรีบกล่าวออกมาพร้อมกับส่งยิ้มให้หนิงหลง เพราะเขามองมาที่นางด้วยแววตาที่ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่นางรู้ฟางเซียนรู้ดีว่าหนิงหลงนั้นเป็นห่วงนาง เขาไม่อยากให้นางไปที่สนามรบเพราะเขาหวาดกลัวว่านางจะเป็นอันตราย ที่เขามองมานั่นก็เพราะว่าเป็นห่วงนางรับรู้ได้จากแววตาที่โมโหของเขา"อย่าทำพลาดเพราะโอกาสมีเพียงครั้งเดียว จำให้มั่นว่าเจ้าจะต้องทำตามแผนที่วางเอาไว้""รู้แล้วน่า ข้ามิใช่คนโง่ไม่ต้องมาสั่ง!"ฟางเซียนกล่าวกับชูชางเสียงต่ำที่พยายามขยับริมฝีปากให้น้อยที่สุดเพราะนางไม่ต้องการให้ผู้อื่นรับรู้ว่านางและแม่ทัพชูรู้จักหรือว่าสนิทกันทุกคนควรจะรับรู้ว่านางและแม่ทัพหนิงต่างหากที่รู้จักและสนิทสนมกันเป็นอย่างดีฟางเซียนยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกับเดินตามขบวนทหาร..."นายหญิงก็เห็นใช่หรือไม่ สตรีผู้นั้นไม่น่าวางใจสักนิด เราควรจะตามไ
ฟางเซียนอาบน้ำเปลี่ยนชุดที่เลอะเทอะเป็นชุดที่สะอาดเรียบร้อย นางเดินออกมาด้านนอกเพื่อรอทานอาหารพร้อมกันกับพวกทหารมากมายแน่นอนว่านางได้รับความนิยมมากทีเดียวเพราะมีใบหน้าที่งดงาม แถมหนิงหลงยังประกาศว่านางคือลูกสาวของตระกูลฝูอีกด้วย แน่นอนว่าความนิยมยิ่งเพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัวเพราะท่านพ่อนั้นเป็นถึงเสนาบดี "ข้าคิดว่าเรามีเรื่องที่จะต้องคุยกัน"ชูชางนั่งลงตรงข้ามฟางเซียน พร้อมกับมองหน้าเธอด้วยแววตาที่มิได้สนอกสนใจใบหน้านี้เลย...เช่นนั้นบุรุษผู้นี้สนใจสิ่งใดกันล่ะ ถ้ามิใช่สนใจในตัวนาง ถ้าจำไม่ผิดฟางเซียนคิดว่าเธอเห็นเขาเดินตามสตรีชุดแดงมาเมื่อตอนบ่าย เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆเข้าด้วยกัน เธอเริ่มมองเห็นเค้าลางความเป็นไปได้มากขึ้นแล้วชายผู้นี้จะต้องหลงรักว่าที่ภรรยาของหนิงหลงเป็นแน่ฟางเซียนยกยิ้มพร้อมกับเลื่อนจอกสุราไปให้เขา"ความรักนั้นน่าตลก...""สำหรับข้ามันมิได้น่าขำสักนิดเพราะว่าข้านั้นพร้อมจะแลกทุกอย่าง..แน่นอนว่าทุกสิ่งทุกอย่าง"ความงามขนาดนี้ไม่แปลกใจจริงๆที่ชายผู้นั้นจะแสดงออกชัดเจนเช่นนี้ เพียงแต่มันน่าสนใจเพราะว่าเธอเองก็อยากได้หนิงหลง.. เพราะว่าเขาเป็นแม่ทัพ แน่นอนว่าเขาจะ