เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมการเสนอราคาครั้งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการประมูลสักเท่าไหร่
“ผมชักสนุกกับเกมของคุณแล้วสิน้ำปิง”
“ถ้างั้นพ่อเลี้ยงก็เสนอราคามาสิคะ ฉันนับหนึ่งถึงสามแล้วคุณวางโทรศัพท์ตรงหน้าตาสักนะ”
“เดี๋ยวสิ ไหนๆ ก็จะทำแบบนี้แล้วผมขออะไรอีกอย่างได้ไหมล่ะ”
“อะไรคะ” มนสิชาเลิกคิ้วถาม
“ถ้าตาสักขายบ้านให้ผมคุณต้องไปกินข้าวกับผมหนึ่งมื้อ ตกลงรับข้อเสนอของผมไหมล่ะ”
“ทำไมฉันต้องรับข้อเสมอของคุณล่ะคะ”
“เพราะถ้าคุณไม่ทำตามข้อเสนอของผมอาจจะเอาสัญญาที่จะตาสักเซ็นไว้มาเป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้นะ”
“ได้สิงั้นฉันตกลง แต่บอกก่อนนะ ถ้าคุณแพ้ทั้งบ้านและที่ดินของตาสักจะเป็นของฉัน”
“แน่นอน” พ่อเลี้ยงหนุ่มให้คำมั่น
ทั้งสองคนแทบจะไม่ต้องใช้เวลาคิดเพราะต่างก็มีตัวเลขในใจอยู่แล้ว
“ส่งโทรศัพท์มาสิ คว่ำหน้าจอไว้ทั้งสองคนนั่นแหละ” แม่เลี้ยงบุปผาบอก
พ่อเลี้ยงเป็นคนวางโทรศัพท์ลงก่อน จากนั้นมนสิชาก็วางตามลงไป
“ตาสักหงายขึ้นมาสิ ดูซิว่าเขาให้ราคาที่พอใจไหม”
“ครับแม่เลี้ยง” เจ้าของบ้านค่อยๆ เอื้อมมืออันเหี่ยวย่นของตนเองไปพลิกโทรศัพท์ทั้งสองเครื่องให้หงายขึ้น เขามองหน้าสองคนสลับไปมาเมื่อเห็นว่าตัวเลขมันเท่ากันอย่างน่าประหลาดใจ
“มันเท่ากันแบบนี้ผมจะต้องขายให้ใครล่ะ” เขาถามทั้งสามคนด้วยสีหน้างงงัน
“หนูแล้วแต่ตาเลยค่ะ” มนสิชาบอกชายสูงวัยที่ดูลังเล
“น้ำปิงตาต้องขอโทษที่ขายให้หนูไม่ได้แล้ว เพราะราคามันเท่ากันอย่างนี้ตาก็ต้องยอมให้พ่อเลี้ยงเอาบ้านและที่ดินไป เพราะตารับเงินเขามาแล้วครึ่งหนึ่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะตา เรื่องนี้หนูเข้าใจ”
“ผมจะให้คนงานเข้ามารื้อถอนวันนี้เลยนะตาสัก ผมไม่อยากเสียเวลาแล้ว”
“พ่อเลี้ยงจะซื้อจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ว่ารื้อถอนบ้านผมไปแล้วมากลับคำทีหลังนะครับ”
“ผมไม่ใช่คนแบบนั้นถ้าตาไม่มั่นใจเราก็ไปโอนที่กันวันนี้เลยไหม
“ไม่ต้องกลัวหรอกตาสัก ฉันเป็นผู้ใหญ่พอและครอบครัวเราก็ทำธุรกิจนี้มานาน เราไม่เอาชื่อเสียงมาแลกกับเรื่องแค่นี้หรอก”
“ถ้าแม่เลี้ยงช่วยยืนยันอีกเสียงผมก็ตกลง” ตาสักกล่าวเสียงหนักแน่น
“ตาสักก็ตกลงขายที่ให้ผมแล้ว ที่นี่ก็เหลือคุณนะมนสิชา”
“ทำไมเรียกห่างเหินแบบนั้นทิศเหนือ เรียกว่าน้ำปิงสิ” แม่เลี้ยงบุปผารีบบอกลูกชาย
“น้ำปิง คุณอย่าลืมสัญญานะว่าคุณจะต้องไปกินข้าวกับผม”
“ฉันไปสัญญากับคุณตอนไหน”
“แม่ดูสิคะหนูน้ำปิงของแม่ก็ผิดสัญญา” เขาฟ้องมารดาตัวเองราวกับเป็นเด็กน้อย
“หนูน้ำปิงมีอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่รังเกียจลูกชายป้ายังไงก็ไปทานข้าวกับพี่เขาซักมื้อสิ”
“ก็ได้ค่ะ น้ำปิงไม่ใช่คนไม่รักษาสัญญา ที่พูดเมื่อกี้ก็แค่อยากจะรู้ว่าถ้าน้ำปิงปฏิเสธพ่อเลี้ยงจะทำยังไงต่อ” หญิงสาวรีบแก้ตัวไปน้พขุ่นๆ ทั้งที่จะแท้จริงแล้วเธอตั้งใจจะเบี้ยวนัดเขา
และเพราะคิดว่าเขาจะต้องยุ่งกับการรื้อถอนบ้านของตาสักแต่พอเขาพูดแบบนี้คนอย่างมนสิชาก็รักษาคำพูด
“ยังไงฉันก็อยู่ที่นี่ไม่ไปไหน คุณจัดการเรื่องบ้านตาสักให้เรียบร้อยก็ได้ แล้วค่อยมานัดกันอีกทีว่าจะไปกินข้าววันไหน” มนสิชาพยายามถ่วงเวลา เพราะจู่ๆ จะให้เธอไปกินข้าวกับใครก็ไม่รู้มันก็ดูอันตราย และระหว่างนี้เธอก็ไปสอบถามเรื่องราวของเขากับยายหรือไม่ก็คนละแวกใกล้เคียงเพื่อเป็นข้อมูลไว้ก่อนเพราะไม่รู้ว่าเขาไว้ใจได้มากแค่ไหน
“ไม่ใช่คิดจะหาทางเบี้ยวนัดผมนะ”
“ฉันเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เสาร์หน้าคุณนัดมาได้เลยว่าจะไปกินที่ไหนกี่โมง”
“แล้วผมจะโทรบอกอีกทีนะ จริงสิผมยังไม่มีเบอร์ของคุณเลย”
“นี่คือการขอเบอร์โทรผู้หญิงของคุณเหรอคะ”
“ก็ถ้าผมไม่ขอเบอร์คุณ เราจะคิดต่อกันยังไงล่ะ”
พอเขาพูดแบบนั้นมนสิชาเลยต้องให้เบอร์กับเขาอย่างเสียไม่ได้
“คุณป้าก็จะไปทานข้าวด้วยใช่ไหมคะ”
“ป้ายังไม่แน่ใจ แต่ถ้าว่างก็จะไปด้วย” แม่เลี้ยงบุปผารับปากไปก่อน แต่การไปทานข้าวกับมนสิชาและทิศเหนือไม่เคยอยู่ในความคิด เธออยากให้ทั้งสองคนไปทานข้าวกันตามลำพังมากกว่า
หลังจากกลับมาจากบ้านของตาสักแล้วมนสิชาก็เข้ามาคุยกับยายช่อเอื้องที่ตอนนี้ไปฉีดสีที่โรงพยาบาลเอกชนและได้ผลการตรวจมาแล้วและอีกสองสัปดาห์ก็จะถึงกำหนดไปทำบอลลูนหัวใจที่โรงพยาบาล
“เป็นยังไงล่ะ พ่อเลี้ยงยอมซื้อทั้งบ้านและที่ดินไหมลูก”
“ยอมค่ะยาย”
“เราก็ไม่น่าไปบอกตาสักให้ต่อรองกับพ่อเลี้ยงแบบนั้นเลย ถ้าเกิดเขาไม่ซื้อขึ้นมาจะทำยังไง”
“มันก็ต้องลองเสี่ยงดูนี่คะ ถ้าเขาไม่ยอมซื้อหนูก็จะบอกตาสักให้ยอมขายแค่บ้านแต่ยังไงก็ต้องได้ต่อรองก่อน จริงๆ แล้วหนูก็อยากได้ที่ของตาสักนะคะ มันติดบ้านเราเลยแต่คิดไปคิดมาก็ไม่รู้ว่าจะซื้อมาทำอะไร”
“นั้นสิ นี่ก็ไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงจะซื้อไปทำอะไรเหมือนกัน”
“แหมคนรวยๆ เขาก็ซื้อเก็บไว้กันทั้งนั้นแหละค่ะ”
“นั้นสินะ คนรวยอย่างพ่อเลี้ยงเงินแค่นี้คงไม่เดือดร้อนอะไร”
“ยายรู้จักกับพ่อเลี้ยงทิศเหนือและแม่เลี้ยงบุปผามานานหรือยังคะ”
“นานมากแล้วล่ะ”
“ยายคะ หนูมีเรื่องจะถามยายนิดหน่อยค่ะ”
“เรื่องพ่อเลี้ยงเหรอ”
“ค่ะยาย”
มนสิชาเล่าเรื่องเมื่อครู่ที่บ้านของตาสักให้กับผู้เป็นยายฟังเพราะอยากฟังความเห็นว่าเธอควรจะไปทานข้าวกับพ่อเลี้ยงทิศเหนือดีไหม หรือจะหาทางบ่ายเบี่ยงไปก่อน
“รับปากเขาแล้วก็ต้องไปสิน้ำปิง”
“แต่หนูยังไม่รู้จักเขาเลยนะคะ หนูไม่กล้าไว้ใจไปไหนมาไหนกับเขาหรอกค่ะยาย”
กว่าคู่บ่าวสาวจะตื่นนอนก็เกือบจะเที่ยงของอีกวัน เพราะทั้งสองเพลียจากงานแต่งอีกทั้งเมื่อคืนก็ใช้เวลาเข้าหอกันอย่างคุ้มค่าพ่อเลี้ยงหนุ่มไม่คิดเลยว่าการรอคอยของตนมันจะทำให้มีความสุขอย่างที่ไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนเลย แม้มนสิชาจะมีเขาเป็นคนแรกแต่ร่างกายของเธอก็ตอบสนองไปตามสัญชาตญาณได้ในแบบที่เขาคิดไม่ถึง เธอเร่าร้อนและมีอารมณ์ร่วมไปกับเขาในทุกท่วงท่า พ่อเลี้ยงไม่เคยมีความสุขมากมายแบบนี้มาก่อน เขาไม่เคยร่วมรักกับใครอย่างยาวนานอย่างนี้เลย แม้จะสุขสมไปแล้ว แต่ร่างกายก็ยังคงเรียกร้องอยู่อย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่เห็นว่ามนสิชาแทบจะหมดแรงในครั้งสุดท้ายพ่อเลี้ยงหนุ่มก็คงไม่ยอมหยุดเขาก้มหน้ามองเจ้าสาวของตนที่ยังคงนอนหลับสนิทอยู่บนแผงอกข้างซ้ายแล้วยิ้มกว้าง เมื่อคิดว่าในทุกๆ วันตนเองจะตื่นนอนมาแล้วเห็นมนสิชากอดอยู่อย่างนี้เมื่อวานมีเพื่อนของเธอบางคนบอกว่าอิจฉามนสิชาที่ได้สามีทั้งหล่อทั้งรวยแต่เขากลับคิดว่าคนที่น่าอิจฉาน่าจะเป็นเขามากกว่าเพราะได้ภรรยาที่ทั้งสวย ทำงานเก่งอีกทั้งเรื่องบนเตียงก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย“ตื่นแล้วเหรอ”“กี่โมงแล้วคะ เราจะกลับบ้านกันตอนไหน” มนสิชาเงยหน้าขึ้นมองพ่อเลี้ย
พ่อเลี้ยงหนุ่มขยับเข้าใกล้คนรักสองมือประคองใบหน้าสวยเข้ามาใกล้ๆ สายตาสบประสานบอกถึงความต้องการจากส่วนลึกก่อนจะโน้มใบหน้าลงประกบปากหยักได้รูปเข้ากับปากบางสีสวยมนสิชาเปิดปากยอมให้เขาเข้ามากวาดต้อนน้ำหวานในโพรงปากยังไม่ขัดขืน การจูบของพ่อเลี้ยงครั้งนี้มันต่างจากครั้งก่อนมากมันทั้งเร่าร้อนและเรียกร้องจนคนที่คิดว่ารับมือไหวอย่างมนสิชาสั่นจนทำอะไรแทบไม่ถูก หญิงสาวรู้สึกว่าเขากำลังจะสูบเอาวิญญาณออกจากร่างของเธอเธอประท้วงเมื่อรู้สึกว่าเขารุกหนักขึ้นเรื่อยๆ พ่อเลี้ยงหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนปล่อยปากบางให้เป็นอิสระเขากดจูบไล่ต่ำลงมาตามซอกคอหอมกรุ่นสูดดมความหอมจากกายสาวที่เขาเคยจินตนาการถึง“เราจะทำกันจริงๆ เหรอคะพ่อเลี้ยง”“มาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีอะไรหยุดพี่ได้หรอกนะน้ำปิง คืนนี้เป็นคืนเข้าหอพี่ไม่อยากพลาด”ชายหนุ่มพูดจบก็ค่อยๆ ดันร่างคนรักให้นอนลงบนเตียงขณะที่เขาก็ขึ้นคร่อมสองมือใหญ่ถอดชุดนอนวาบหวิวที่มารดาเป็นคนจัดให้อีกทั้งชั้นในตัวบางลายลูกไม้ตัวก็ถูกออกอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นเรือนร่างขาวเนียนซึ่งเขาเคยจินตนาการถึงมานับครั้งไม่ถ้วน“สวยมาก สวยที่สุด”“พ่อเลี้ยงจะไม่ปิดไฟหน่อยเหรอคะ”เขายิ้มเพราะ
แม่เลี้ยงบุปผากลับมาจากฮ่องกงก็ดีใจมากที่ได้รับข่าวดีจากลูกชาย เธอรีบจัดการหาฤกษ์ที่ดีที่สุดให้กับทั้งสองคน ซึ่งมีเวลาเตรียมตัวเพียงสองเดือนเท่านั้นงานแต่งงานของพ่อเลี้ยงทิศเหนือและมนสิชาถูกจัดขึ้นที่บ้านในช่วงเช้าซึ่งมีแขกมาร่วมงานไม่มากส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนสนิทของพ่อเลี้ยงทิศเหนือและแม่เลี้ยงบุปผา ส่วนเพื่อนของมนสิชาก็มีวาริสาและเพื่อนสมัยมัธยมอีกหลายคนอีกทั้งลุงคำอินและเพื่อนเก่าของยายก็พากันมาร่วมงานในช่วงเช้าด้วย มันเลยทำให้มนสิชารู้สึกอบอุ่นมาก บรรยากาศงานแต่งงานเลยเต็มไปด้วยความสุข หญิงสาวยิ้มอย่างมีความสุข มันเป็นความสุขที่เธอไม่คิดว่าจะได้รับหลังจากที่ตนเองเสียยายไปเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อนแม้งานแต่งจะถูกจัดขึ้นอย่างกระชั้นชิดแต่ทุกอย่างก็เป็นไปได้ด้วยดีช่วงเย็นเป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในโรงแรมใหญ่กลางใจเมือง แขกที่มาร่วมงานต่างพากันแสดงความยินดีกับพ่อเลี้ยงทิศเหนือซึ่งตอนนี้พ่อเลี้ยงหนุ่มนั้นยิ้มหน้าบานเพราะใครๆ ต่างก็พากันชมเจ้าสาวของเขาว่าสวยมากและต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งสองคนนั้นเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก อีกคนที่ยิ้มไม่หุบก็คือแม่เลี้ยงบุปผาเพราะเธอรักลูกสะใภ้คนนี้รา
พ่อเลี้ยงทิศเหลือและมนสิชามาดูบ้านไม้สักที่เจ้าของประกาศขาย ทั้งสองใช้เวลาตรวจและประเมินราคาไม่นานเจ้าของบ้านก็ตกลงจะขายให้โดยทำสัญญาและรับเงินมัดจำพร้อมทั้งกำหนดวันรื้อถอนในอีกสามวันข้างหน้า “เพราะคุณให้ราคาสูงกว่าคนอื่นใช่ไหมคะ ชาวบ้านถึงชอบติดต่อให้คุณมาซื้อ” มนสิชาถามหลังจากที่ทั้งสองออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ไม่นาน“ผมให้ราคาตามสมควรครับ แต่สำหรับคนอื่นบางครั้งเขาต้องซื้อแล้วเอาไปขายต่ออีกทีก็เลยอาจจะกดราคาหน่อย” “แล้วไม้ที่คุณซื้อไปมันเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์ได้ทุกชิ้นไหม” “มันก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่ามันยังได้กำไรอยู่ ผมโชคดีที่มีช่างที่เก่ง พวกเขาเลยใช้ประโยชน์จากไม้ที่ซื้อไปได้ดี” พ่อเลี้ยงอธิบายเพิ่ม เขาอยากให้มนสิชาเรียนรู้งานจากเขาให้ได้มากที่สุดเพราะในอนาคตเธอก็จะกลายเป็นคนในครอบครัวของเขา“งานเสร็จแล้วเราจะกลับกันเลยไหมคะ” “เดี๋ยวเราหาอะไรกินก่อนแล้วผมว่าจะแวะไปเยี่ยมเพื่อนพ่อสักหน่อย คุณไม่รีบกลับใช่ไหม” “ไม่ค่ะ” พ่อเลี้ยงทิศเหนือพามนสิชามายังบ้านไม้หลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่กลางสวนส้มกว้างสุดลูกหูลูกตา“ลมอะไรหอมมาหาลุงถึงที่นี่ล่ะเหนือ” ชายสูงวัยทักทายเมื่
“คุณคิดว่าแม่เลี้ยงจะเห็นด้วยกับเราสองคนเหรอคะ”“คุณกลัวเรื่องนี้เหรอน้ำปิง”“ค่ะ ฉันรักและเคารพแม่เลี้ยงเหมือนแม่และฉันคงไม่กล้าขัดใจท่าน แค่ที่ฉันรู้สึกกับคุณฉันก็รู้สึกผิดต่อท่านมากแล้ว ท่านอุตส่าห์มีเมตตากับฉัน แต่ฉันกลับคิดเกินเลยกับลูกชายของท่าน”“คุณคงเคยได้ยินคนอื่นพูดถึงแม่ใช่ไหม”“ใช่ค่ะ”“เขาพูดว่ายังไง”“เท่าที่ได้ยินมาคือเขาบอกว่าแม่คุณเป็นคนที่หวงลูกชายมาก”“แม่ผมไม่ได้หวงหรอกครับแม่ก็แค่ห่วงเท่านั้นเอง”“ห่วงเหรอคะ คุณโตขนาดนี้แล้วมีอะไรต้องห่วงกันล่ะคะ”“แต่ในสายตาของคนเป็นแม่ยังไงก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าผมไม่เคยคบใครนะ แต่ผู้หญิงแต่ละคนที่เข้ามาในชีวิตผมในชีวิตผมเขาไม่ได้จริงใจกับผมสักเท่าไหร่”“หมายถึงพวกเธอหวังแต่เรื่องเงินใช่ไหมคะ” มนสิชารู้ว่าพ่อเลี้ยงนั้นรวยมากและคิดว่าผู้หญิงที่เข้าหาคงหวังจะสุขสบาย“มันก็ไม่ทุกคนหรอกครับ บางคนเขาก็ไม่สนใจเรื่องฐานะหรือเงินทอง เพียงแต่บางครั้งอะไรหลายๆ อย่างมันไปด้วยกันไม่ได้ คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าผมทำแต่งานบางคนเขาก็ไม่ชอบ”“ถ้าคุณรักใครจริงๆ คุณจะยอมปรับปรุงตัวเพื่อเขาโดยไม่รู้สึกอึดอัด แต่ถ้าใจมันบอกว่าไม่ใช่ เวลา
ตลอดบ่ายของวันนี้พ่อเลี้ยงทิศเหนือและมนสิชาทำตัวราวกับเป็นคู่รักที่มาออกเดต พวกเขาเดินซื้อของด้วยกันเสร็จก็ดูหลังกันต่อ ก่อนจะพากันมาทานอาหารเย็นที่ร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง“อาหารร้านนี้อร่อยมากค่ะ พ่อเลี้ยงนึกยังไงถึงพาฉันมากินสเต๊กล่ะคะ” “ผมเห็นคุณทานแต่อาหารไทยมานานก็เลยคิดว่าคุณน่าจะอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ร้านนี้เจ้าของเป็นคนฝรั่งเศสนะ แต่ที่ทำให้เราน่าจะเป็นรุ่นลูก” “พ่อเลี้ยงมากินบ่อยเหรอคะ” “แต่ก่อนมาบ่อยครับ แต่ช่วงหลังไม่ค่อยได้มาเพราะแม่มีร้านประจำอีกร้านที่เป็นเพื่อนของแม่ ผมเลยต้องเปลี่ยนร้านตามใจท่าน” แม้ชอบรสชาติอาหารร้านนี้มากแค่ไหนแต่เขาก็ยอมทำตามใจมารดา“ดูเหมือนว่าพ่อเลี้ยงไม่เคยขัดใจแม่เลยนะคะ” “ใช่ครับ เราเหลือกันแค่สองคนอะไรที่ทำให้ท่านสบายใจผมก็ยินดีทำ” “คุณจะทำตามท่านทุกอย่างเลยไหมคะ” มนสิชาถามเพราะถ้าเกิดว่าวันหนึ่งมารดาของเขาจะหาผู้หญิงมาให้เพราะเคยได้ยินแม่เลี้ยงบุปผาเปรยว่ายังไงปีนี้ลูกชายของแม่เลี้ยงจะต้องมีข่าวดีเรื่องคู่ครอง ซึ่งถ้าพ่อเลี้ยงตามใจมารดาขนาดนั้นมนสิชาก็คงไม่กล้าบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป“ผมทำตามที่ท่านบอก ถ้านั่นมีเหตุผลพอครับ” พอได้ยินแ