บทสนทนาระหว่างเทพวายุกับจอมมารและการต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปอย่างดุเดือด สวีต้าเฟิงเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามได้อย่างแนบเนียนจนอีกฝ่ายสามารถหลอมพลังวิญญาณได้เรียบร้อยกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบคู่กายของตนเอง
สายตาที่เทพวายุมองสหายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อร่ำลาทำให้กงจื่อเย่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นละครฉากใหญ่
จังหวะที่หันไปมองตามนั้น ดาบเทพสงครามอันมหึมาก็พุ่งทะลุผ่านร่างของจอมมารในพริบตา
การสละวิญญาณของเทพสงครามได้ผลชะงัดเพราะสามารถผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตดวงแรกไว้ในแก่นวิญญาณของจอมมารได้ ส่งผลให้พลังมารที่รุนแรงถดถอยลงไปหนึ่งส่วน
กงจื่อเย่จะไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาภายในแก่นวิญญาณของตัวเองเพราะถูกพลังเทพสงครามบดบังเอาไว้แต่เฉลียวได้ว่าผู้นำกองทัพสวรรค์ย่อมไม่สละตนเองเพียงเพื่อทำลายพลังมารของเขาส่วนเดียว
จอมมารยืนทื่ออยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาว่าร่างมารของตนเองมีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือไม่
“พวกเจ้าทำอะไรข้า” เขาไม่รู้ว่าเหล่าเทพใช้วิธีใดและนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
“เปล่าเสียหน่อย” สวีต้าเฟิงได้ทีบอกปัดไม่ใยดีเพราะไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องอธิบาย สีหน้าเย้ยหยันท้าทายกงจื่อเย่เต็มที่
จอมมารแสยะยิ้ม “ตายได้เปล่าประโยชน์เสียจริง” เขาค่อนแคะการเสียสละของเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่
เทพวายุไม่สบอารมณ์ที่มารน้อยพูดจาดูถูกสหายของตนเองแต่ในใจรู้ดีว่าสิ่งที่เทพสงครามทำไม่ได้ไร้ค่าอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวหาอย่างแน่นอน
แม้เวลานี้จะเสียใจที่สหายร่วมรบต้องสลายและไม่รู้ว่าอีกกี่พันกี่หมื่นปีเขาจะหวนคืนกลับมา แต่อย่างน้อยก็เบาใจไปเปราะหนึ่งว่าพวกเขาได้ทำหน้าที่เทพผู้ปกปักรักษาความสงบในสามภพอย่างสุดความสามารถแล้ว ต่อให้ต้องสลายกระทั่งแก่นวิญญาณก็ไม่เสียดาย
สิ่งที่เขาต้องยืนหยัดในเวลานี้คือการเล่นแร่ยืดเวลาให้น้องสาวของตนเองเก็บเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตอีกสองดวงให้สำเร็จและลองใช้แผนสำรองอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยไม่ให้สวีลู่ชิงต้องสละแก่นวิญญาณของตนเอง
อาวุธเทพบรรพกาลถูกเรียกออกมาประจำข้างกายเทพอาวุโสที่ยืนล้อมกงจื่อเย่เกิดเป็นแสงพวยพุ่งขึ้นสู่ด้านบน รังสีความร้อนแผดเผามารปีศาจระดับล่างอย่างไม่ปรานี
ทั้งยังผนึกกำลังผลัดกันพุ่งเข้าโจมตีกงจื่อเย่ไม่ปล่อยจังหวะเวลาว่างเว้น หวังให้จอมมารนี้แตกสลายไปเพียงชั่วครู่ก็ยังดี
อย่างน้อยในเวลาร้อยปีที่รอมารน้อยฟื้นขึ้นมาใหม่ เหล่าเทพเซียนจะสามารถหาวิธีอื่นใดที่ดีกว่านี้มาต่อกร
ทว่า การโจมตีของเทพผู้อาวุโสกลับทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง “อาวุธเทพบรรพกาลอย่างนั้นหรือ น่าขันนัก” เสียงหัวเราะของเขาเหยียดหยามอีกฝ่ายเพราะความเจ็บแสบยามอาวุธโดนร่างมารมันบางเบาจนเหมือนหญ้าบาดผิวหนังเพียงเท่านั้น
แม้ได้ยินคำปรามาสของกงจื่อเย่เป็นระยะแต่เทียนจวินและเหล่าเทพอาวุโสกลับยังยืนประจันหน้าอยู่ที่เดิม แผนสำรองอีกหนึ่งอย่างกำลังก่อตัวขึ้นโดยที่กงจื่อเย่ไม่รู้ตัว
กองทัพทั้งสองฝ่ายยังคงตะบี้ตะบันโกลาหลไปทั่วภพสวรรค์ ทว่า กงจื่อเย่กลับเล่นละครไปตามน้ำด้วยเช่นกัน เขาส่งสัญญาณให้ปีศาจหนุ่มมือซ้ายนามว่าเฉินซือหยางพร้อมสัตว์อสูรแรกเกิดโจวเหวินหลง มังกรดำสี่เขาหลบเร้นกายตามสวีลู่ชิงไปยังแดนมนุษย์
กระนั้น การตามติดสวีลู่ชิงไม่ใช่เรื่องง่ายนักเพราะนอกจากเทพดาราที่เดินทางผ่านลานจุติแล้วยังมีเทพองค์อื่น ๆ อีกมากมายตามลงมายังแดนมนุษย์ด้วย
“ทำไมข้าต้องได้งานยากอยู่คนเดียว” เสียงบ่นพึมพำของเฉินซือหยางดังก้องเมื่อออกมานอกภพสวรรค์ “หน้าตอนเป็นเทพก็ไม่เคยเห็น แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่านางไปเกิดเป็นใครในแดนมนุษย์”
“ไม่อยากมาก็กลับขึ้นไปอยู่ข้างนายท่านสิ” มังกรกรอกตามองด้านล่าง หาลาดเลาว่าควรจะเริ่มตามหาสวีลู่ชิงจากตรงไหน
“กลับไปให้ตายซ้ำอีกรอบน่ะหรือ ไม่เอาด้วยหรอก” เขาส่ายหน้าแล้วครุ่นคิดว่าจะทำเช่นไร “นายท่านบอกว่านางมีอะไรที่พิเศษบ้าง”
“เทพดาราได้รับพลังบรรพกาล ร่างกายของนางยามเผชิญอันตรายจะปรากฏอักขระโบราณขึ้นที่แขนทั้งสองข้าง เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของเทพดารา ดวงตาสีฟ้า ผมสีขาวและตราเทพสวรรค์สีทองตรงกลางหน้าผาก” โจวเหวินหลงกล่าวสั้น ๆ
“เจ้ารู้เรื่องมากเพียงนี้ทำไมไม่เล่าให้ฟังตั้งแต่แรก” ปีศาจหนุ่มทุบหัวมังกรดำไปหนึ่งที “เช่นนั้นจะแยกนางออกจากเทพองค์อื่นที่มาเกิดใหม่ได้อย่างไร ลองฆ่าคนที่ดูน่าสงสัยทุกคนเลยดีหรือไม่”
“การกระทำโง่เขลาเช่นนั้นมีแต่ทำให้เจ้าตายเร็วขึ้น ถึงแดนมนุษย์จะไม่มีเทพเซียนชั้นสูง แต่กลับมีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ไม่น้อย พลังพวกนั้นรวมกันก็ทำร้ายเจ้าได้” โจวเหวินหลงรู้ซึ้งเป็นอย่างดีเพราะเคยถูกคนเหล่านั้นตามล่ามาก่อน
เวลานั้นเขาดุร้ายและควบคุมตนเองไม่ได้บุกเข้าเมืองใหญ่ทำลายบ้านเรือนและผู้คนในเมืองนั้นจนเหี้ยน สุดท้ายแล้วจึงโดนล้อมสังหารจัดการในเวลาไม่นาน
หากไม่ได้จอมมารมาช่วยคงไม่มีโอกาสอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ครั้นจะกลับไปยังแดนมนุษย์เพราะสำนึกผิดแต่ไม่มีใครในที่แห่งนั้นต้อนรับสัตว์อสูรอย่างเขา
รูปโฉมที่ตรงกันข้ามกับเผ่ามังกรสวรรค์ทำให้มนุษย์ต่างมองว่าเขาเป็นลางร้ายที่กำลังมาเยือน
“ข้าจะลืมคนพวกนั้นไปได้อย่างไร” เฉินซือหยางพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นนึกถึงวันวานก่อนที่เขาจะกลายเป็นปีศาจ “รอให้นายท่านกวาดล้างภพสวรรค์ให้เรียบร้อย ข้าจะกลับมาทำลายพวกสำนักเซียนให้สิ้น
ขณะกำลังโต้เถียงกันไปมา เสียงของกงจื่อเย่ดังขึ้นในความคิดของทั้งคู่ “งานที่สั่ง อย่าให้ข้ารอนาน”
“ขอรับนายท่าน” ทั้งสองขานรับพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ขนลุกซู่ไม่รู้ตัว แม้จะอยู่รับใช้จอมมารนานมากแล้วแต่ก็ทำใจให้ชินกับนิสัยของเขาไม่ได้เสียที พลันรู้สึกว่าคำพูดธรรมดากลายเป็นการคาดโทษล่วงหน้าเสียอย่างนั้น
ทันใดนั้น ดวงเนตรอำพัน หนึ่งในอาวุธเทพบรรพกาลปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา โจวเหวินหลงยิ้มกว้างพูดออกมาว่า “ขอบคุณขอรับนายท่าน”
“...” เฉินซือหยางมองหน้ามังกรดำโจวเหวินหลงเพราะไม่รู้จักของหน้าตาประหลาด
อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วอธิบายว่า “เราสามารถใช้ดวงเนตรอำพันตรวจตราพวกเทพเซียนที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ เท่านี้ก็ผ่อนเบาแรงไปเยอะมากโข”
“ส่วนที่เหลือก็คือจับพวกมนุษย์เกิดใหม่นั่นกินจนกว่าจะเจอคนที่มีพลังเทพบรรพกาลปรากฏขึ้นใช่หรือไม่” เขายิ้มมีเลศนัยคิดหาเรื่องล้างแค้นที่สุมอยู่ในอกมาเป็นเวลานาน
“นั่นก็ใช่” มังกรดำพยักหน้า “แต่ถ้าทำโจ่งแจ้งเกินไป เดี๋ยวเทพในภพสวรรค์ก็แห่ลงมากำราบเจ้า”
“ข้ามีวิธีแหละน่า” ความคิดในหัวของเขาแล่นฉลุยราวกับของเล่นชิ้นใหม่จุดประกายความชั่วร้าย “รีบพาข้าลงไปที่แดนมนุษย์เร็วเข้า ชักจะรอเล่นสนุกไม่ไหวแล้วสิ”
จอมมารพาสวีลู่ชิงกลับมายังดินแดนสุญญตาที่เวลานี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นบ้านของเราอย่างที่เขาพูด ที่รกร้างกว้างใหญ่แต่เดิมไม่มีอะไรอยู่ข้างในนั้นเลย กลับมาครั้งนี้สวีลู่ชิงได้เห็นว่าเรือนไม้หลังใหญ่สองชั้นลอยโดดเด่นอยู่ใจกลาง ดอกจื่อเถิงสีม่วงขาวเลื้อยประดับห้อยระย้าสวยงามยิ่งนักพื้นน้ำโดยรอบสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าระยิบระยับ และหากท้องฟ้าสดใสถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผืนฟ้าก็จะเต็มไปด้วยละอองดาวกงจื่อเย่เนรมิตสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อรอต้อนรับนางกลับมายังที่ที่เป็นบ้านของเราดินแดนตรงกลางระหว่างภพมารกับภพสวรรค์ บ้านที่พวกเขาจะได้อยู่ร่วมกันชั่วนิรันดร์“อีนั่ว ข้าฝากให้เจ้าดูแลไข่ใบนั้นให้ดี ยังจำได้หรือไม่” จอมมารถามบุตรชายเพราะเห็นเขามักจะพาลี่เซียนเที่ยวเล่นกับเทพ
นับตั้งแต่การจากไปของบุตรสาวสวีลู่ชิงตกอยู่ในความเศร้าสร้อย ความรู้สึกของนางในเวลานี้เหมือนกระตุ้นความทรงจำบางอย่างที่หลงลืมไปแล้ว สัมผัสได้เพียงว่าครั้งหนึ่งนางคงเคยสูญเสียลูกไปในช่วงเวลานี้กงจื่อเย่คอยอยู่เคียงข้างและดูแลนางไม่ให้ขาดตกบกพร่อง ทำหน้าที่สามีเป็นอย่างดีเพื่อให้นางข้ามผ่านความเจ็บปวดครั้งนี้ไปให้ได้หญิงสาวเอนศีรษะพิงไหล่กว้างของคนข้างกาย เอ่ยพึมพำว่า “ลูกสาวของเราคงจะสุขสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งใช่หรือไม่”สามีของนางจึงตอบอย่างมั่นใจ “อืม ลูกสาวของเรากำลังเล่นสนุกสนานกับเพื่อนใหม่ของนาง ไม่มีเรื่องใดให้เจ้าต้องกังวลเลยลู่ชิง”รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว “เจ้าช่างสรรหาคำปลอบใจได้แปลกยิ่งนัก ลี่เซียนกำลังเล่น
เก้าเดือนต่อมาเด็กครึ่งมารคนที่สองได้ฤกษ์ถือกำเนิด เด็กหญิงตัวน้อยมีดวงตาสีม่วงแดงเหมือนบิดา เรือนผมสีขาวคล้ายมารดา หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนักสวีลู่ชิงมองหน้าลูกสาวพลางนึกถึงอีนั่วจึงเอ่ยปากบอกสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน “เจ้าเคยอยากรู้ว่าลูกสาวของเราจะหน้าตาเหมือนผู้ใดใช่หรือไม่”“อืม” กงจื่อเย่ยิ้มกว้าง“นางหน้าตาเหมือนเจ้าไม่มีผิด” สวีลู่ชิงไล้แก้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดูทันใดนั้นจึงได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องเรียกนางจากหน้าบ้าน สวีลู่ชิงเดินไปดูลาดเลาจึงได้เห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออีกครั้ง“ท่านแม่” อีนั่ววิ่งเข้ามากอดนางด้วยความคิดถึงเพราะถูกกักบริเวณจึง
สามเดือนต่อมาระหว่างที่สวีลู่ชิงกำลังเก็บผักกาดอยู่ในสวนข้างบ้าน นางได้ยินเสียงกุบกับดังมาแต่ไกลผิดวิสัยการเดินทางของคนในหมู่บ้านแห่งนี้จึงรีบออกมาดูใบหน้าของใครบางคนทำให้นางดีใจยิ่งนัก รีบตะโกนบอกใต้เท้าสวีและฮูหยินที่พักผ่อนอยู่ข้างในได้รู้ว่า “ท่านพี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ทุกคนออกมายืนรอรับคุณชายสวีหน้าบ้าน ส่วนกงจื่อเย่เดินมากอดเอวคุณหนูเอาไว้เหมือนอย่างเคยครั้นได้เห็นบุตรชายคนโตใกล้ ๆ ใต้เท้าสวีและฮูหยินจึงได้เห็นว่าร่างกายของเขามีแต่รอยแผลเต็มไปหมด เลือดสีแดงแห้งติดเกราะและเสื้อผ้าทว่า คุณชายสวีไม่ได้กังวลเรื่องนั้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ ท่านแม่ ลู่ชิง” เขาเอ่ยเรียกทั้งสามคนสีหน้าระรื่น “ข้าล้างมลทินให้สกุลสวีได้สำเร็จแล้วขอรับ”
แม้จอมมารจะคิดหลายอย่างอยู่ในหัวแต่เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดีนักเพราะเขาต้องใช้โอกาสนี้พาสวีลู่ชิงหนีจากหอเยว่ส่างก่อนที่จะถูกใครจับได้ใครหลายคนคงคิดว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันทั้งคืน กว่าจะรู้ตัวว่านักโทษกบฏแอบหนีออกไปกับแขกที่ไม่เห็นหน้าค่าตาก็คงทิ้งห่างจากพวกเขาไปหลายชั่วยามแล้ว“หนีอย่างนั้นหรือ” นางเอ่ยถามให้แน่ใจ ความกังวลถาโถมเข้ามาไม่หยุดเพราะเกรงว่าทุกคนจะมีอันตรายไปด้วย“เชื่อใจข้าหรือไม่” กงจื่อเย่ถามแต่เพียงเท่านั้น แววตาของเขาจริงจังเสียจนนางไม่นึกสงสัยอันใดอีกจึงกุมมือเขาไว้แน่นแล้วหนีไปด้านหลังด้วยกันทาสหนุ่มฝืนตัวเองเร่งรีบไปให้ถึงจุดที่เขาผูกม้าเอาไว้ ขาข้างที่เคยบาดเจ็บสร้างความทรมานให้เขาอย่างยิ่งแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
สองเดือนต่อมาอีนั่วมาหาสวีลู่ชิงอย่างเช่นเคย ก่อนเข้าไปยังห้องรับรองก็นั่งดูหลิวอิงอิงดีดพิณ ขับร้องเพลงเสียงก้องกังวานด้วยความรื่นเริงใจจนกระทั่งมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งในคำทำนายโชคชะตาของมารดาเจ้าตัวตะลึงงันไม่คิดว่ามนุษย์อย่างเขาจะดูมีรัศมีเหมือนเทพสวรรค์ พลันกวาดตามองรอบตัวต้องตกใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเยือกเย็นจากเทพชั้นสูง ผู้มีดวงตาสีฟ้า ผมขาวเหมือนผู้เป็นมารดาหากแต่อีนั่วยังทำใจดีสู้เสือคิดว่านั่นคือบิดาที่แปลงกายมาจึงยิ้มตอบกลับไปทักทายเทพวายุหายตัววับมาอยู่ข้างเขาในทันทีจนสมุนปีศาจแข็งทื่อเพราะรู้ว่าคนตรงหน้าคือสวีต้าเฟิงตัวจริง หลิวอิงอิงที่นั่งอยู่ตรงกลางลานแสดงถึงกับดีดเพลงพิณเพี้ยนไปสองจังหวะคิดจะหนีหายเอาตัวรอดก่อนผู้ใดแต่ถูกแส้บ่วงของเทพวายุตวัดรัดตัวนางเอาไว้