ภพสวรรค์
เซียนผู้เฝ้าหออาวุธโบราณเพิ่งสังเกตได้ว่าดวงเนตรอำพันหายไปจึงคิดรายงานเทียนจวิน แต่กลับถูกสัตว์อสูรเขาแหลมตัวเขื่องขวิดจนร่างแตกสลายไปเสียก่อน
สวีต้าเฟิงเห็นจอมมารยิ้มมุมปากได้แต่นึกสงสัยว่าผู้ที่โดนรุมล้อมสังหารมีเหตุอันใดให้รื่นรมย์ใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังแววตาท้าทายที่มองมายังเขาไม่วางตาราวกับบรรลุเป้าหมายบางอย่าง
ครั้นจะปลีกตัวออกมาจากที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจกลับถูกดาบเขี้ยวอสูรเหวี่ยงเข้ามาขวางทางเอาไว้ในพริบตา
“จะหนีไปที่ใดกันเล่า” กงจื่อเย่แสยะพลางเรียกดาบประจำกายกลับมา
“...” เทพวายุไม่เอ่ยอันใดแต่หันไปสบตากับเทียนจวินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้ากังวลรู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมพรางของมารเจ้าเล่ห์ผู้นี้
“ไปเถิด” เทียนจวินเอ่ยปากบอกแล้วดันพลังของตัวเองมาต้านทานพลังมารของกงจื่อเย่แทนเทพวายุ
จอมมารเห็นช่องว่างช่วงเปลี่ยนผันไม่รอช้าเขวี้ยงดาบเขี้ยวอสูรใส่ทั้งคู่โดยไม่แยแสเพื่อสลายพลังที่ตรึงกายมารส่วนล่างของเขาเอาไว้
กระนั้น เทพอาวุโสอีกคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีหลบเอี้ยวตัวเข้าห้ามส่งผลให้เพลี่ยงพล้ำจนร่างเทพสลายต่อหน้าต่อตาเทียนจวิน
กระบวนทัพขาดตอนทำให้กงจื่อเย่ฉวยโอกาสสะบัดร่างหลุดจากวงล้อมกองทัพสวรรค์ แต่ไม่ทันไรจอมมารเกิดใหม่กลับโดนแส้กักมารตวัดเกี่ยวเอวของเขาติดกับแท่นเสาศักดิ์สิทธิ์
“เฮอะ” จอมมารส่งเสียงฮึดอัดไม่พอใจคิดจะทำลายสิ่งกีดขวางแต่กลับขยับตัวไม่ได้ เวลานี้จึงมีเพียงสมุนของตนเองและดาบเขี้ยวอสูรกวัดไกวตามคำสั่งเจ้านายของตน
“เห็นทีคงถ่วงเวลาได้ไม่นาน” เทียนจวินกระซิบบอกเทพวายุให้รีบตามหาสิ่งที่สงสัย
แม้แท่นเสาศักดิ์สิทธิ์จะดูดกลืนพลังมารได้คราวละหลายส่วน แต่ก็ใช้แก่นวิญญาณของเทพอาวุโสถึงสามองค์อัญเชิญขึ้นมา เทียนจวินประเมินกงจื่อเย่มาตั้งแต่ต้นแล้วว่าพลังมารของเขาไม่มีวันหมด
สวีต้าเฟิงรับปากจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดแล้วหายตัวไปจากสนามรบพริบตาเดียว
กงจื่อเย่แสยะยิ้มอีกครั้งสั่งการปีศาจสาวมือขวาให้รีบขวางทางสวีต้าเฟิงเอาไว้และหากเป็นไปได้ก็ทรมานเขาจนกว่าจะตายยิ่งดี
เมื่อหลุดจากที่แห่งนั้นแล้ว เทพวายุจึงเริ่มค้นหาเบาะแสที่เหลืออยู่ เขานึกไม่ถึงเลยว่าสมุนของจอมมารจะสร้างความเสียหายในภพสวรรค์ได้มากถึงเพียงนี้เพราะสภาพของเหล่าเทพเซียนที่ไม่ได้อยู่ด่านหน้าต้านทานจอมมารก็บาดเจ็บสาหัสไม่น้อยไปกว่ากัน
“ท่านพี่” เสียงหวานอันคุ้นเคยเรียกสวีต้าเฟิง ปีศาจสาวแปลงกายเป็นสวีลู่ชิงทั้งยังทำท่าทางเลียนแบบนางได้อย่างแยบยลจนสวีต้าเฟิงเกือบตกหลุมพรางเพราะคิดว่าน้องสาวผ่านด่านเคราะห์เรียบร้อยแล้ว
ทว่า ร่างแปลงยังมีสิ่งที่แตกต่างจากน้องสาวตัวจริงหนึ่งอย่างที่ปีศาจสาวไม่เคยรู้มาก่อน
สายใยระหว่างพี่น้องที่ถูกสร้างขึ้นเมื่อวัยเด็กของสวีต้าเฟิงไม่อาจรู้สึกได้ถึงตัวตนของสวีลู่ชิงแม้แต่น้อย
เขาจึงไม่รีรอหลอมรวมพลังเข้ากับอาวุธประจำกายซัดสาดเข้าใส่ร่างน้องสาวตัวปลอมอย่างทวีความรุนแรง “บังอาจใช้ร่างนางเพื่อหลอกข้า”
สวีต้าเฟิงมองไปที่ด้านหลังของนางเห็นม่านศักดิ์สิทธิ์รอบต้นไม้แห่งโชคชะตาถูกทำลายไปบางส่วนจึงเข้าใจได้ว่าปีศาจตนนี้ต้องเห็นร่างเทพและชะตาบางส่วนของน้องสาวอย่างแน่นอน
“สมกับเป็นพี่น้องกันแต่สายไปเสียแล้วล่ะ” นางพูดเช่นนั้นแต่ยังคงรูปลักษณ์ของเทพดาราเอาไว้ “ท่านพี่ เหตุใดจึงเหวี่ยงอาวุธนั่นทำร้ายข้าอยู่เล่า”
หลิวอิงอิงใช้น้ำเสียงของสวีลู่ชิงพูดกับเขาอย่างสนุกสนานแต่คนตรงหน้าไม่คิดหลงกล ซ้ำยังขยะแขยงที่ปีศาจอย่างนางใช้เล่ห์กลต่ำช้าหลอกลวงเขา “หน้าตาปีศาจอย่างเจ้าคงดูไม่ได้เลยสิท่าถึงไม่ยอมละจากใบหน้าน้องสาวผู้เลอโฉมของข้าเสียที”
แม้หลิวอิงอิงจะเป็นปีศาจแต่นางเคยเป็นมนุษย์มาก่อนย่อมมีอารมณ์ความรู้สึกแตกต่างจากจอมมารที่กำเนิดจากสิ่งชั่วร้ายดั้งเดิม นางจึงรู้สึกฉุนเฉียวไม่น้อยที่ถูกเทพปรามาสรูปลักษณ์ของนาง ทั้งยังหงุดหงิดจนกลับมาใช้ใบหน้าและรูปร่างของตัวเองดังเดิม
“พูดจากปากคอเราะราย เจ้าเป็นเทพประสาอะไร สังหารข้าให้ตายยังดีเสียกว่า” หลิวอิงอิงคิดในใจว่านางจะไม่ยอมตายด้วยน้ำมือของเทพปากเปราะตรงหน้าเด็ดขาดเพราะถือคติฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ ยิ่งหยามว่านางไม่งดงาม ยิ่งไม่อาจให้อภัย
“ปีศาจเช่นเจ้าจำเป็นต้องยกยอด้วยหรือ” สวีต้าเฟิงยังคงไม่หยุดร่ายพลังพุ่งใส่นาง “น้องสาวข้างามทั้งใจและกาย เจ้าน่ะเทียบไม่ได้แม้เพียงนิด”
คิ้วข้างซ้ายของหลิวอิงอิงกระตุกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
“ปีศาจปากร้าย หน้าตาอัปลักษณ์ จิตใจมืดมัว การกระทำต่ำช้า...” เขาร่ายยาวราวกับอัดอั้นที่นางบังอาจแปลงกายเป็นสวีลู่ชิงเพื่อดักเขาลงหลุม
ทว่า คำพูดแต่ละอย่างที่เทพวายุพ่นออกมายิ่งจุดไฟและบรรยากาศมาคุกว่าเดิม
สวีต้าเฟิงคิดในใจว่านางกำลังถูกหันเหความสนใจมาหาเขาเพียงคนเดียวและต้องหาวิธีดึงความทรงจำเรื่องร่างเทพดาราออกมาจากนางก่อนจะสายเกินไป
เทพวายุยังส่งสัญญาณให้เซียนที่เหลือรอดชีวิตช่วยกันซ่อมแซมม่านศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะดึงหลิวอิงอิงออกไปจากที่แห่งนั้น
“หยุดนะ!” นางตะโกนเสียงดังเพราะจู่ ๆ ก็ถูกพลังวายุหมุนพัดออกมาจนคลื่นเหียนเผลอเอ่ยปากเรียกคนตรงหน้าว่า “ท่านพี่” ทั้ง ๆ ที่ยังคงรูปร่างของหลิวอิงอิงไว้เช่นเดิม
“...” เทพวายุเบ้ปากเพราะรู้สึกขนลุกที่ได้ยินเสียงนางเรียกเขาเช่นนั้น
ครั้นหลิวอิงอิงรู้สึกตัวได้ว่าทำพลาดไปจึงเบือนหน้าหนีพลางกัดปากทำโทษตัวเองจนเลือดไหลแล้วนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบบอกเจ้านายของตนเรื่องเทพดารา
ปีศาจสาวไม่ทันได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ร่างของนางกลับหมุนปลิวอยู่ในวงพายุลูกใหญ่สร้างความปั่นป่วนในท้องเป็นอย่างยิ่ง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงแหลมปรี๊ดตะโกนออกมาจากแกนกลางพายุหมุนสีหมอกแต่สวีต้าเฟิงไม่สนใจทำตามที่นางพูด
เวลานั้นเซียนตำหนักเทพบุปผาวิ่งหน้าตื่นกระหืดกระหอบมาหาเขาพร้อมเมล็ดพันธุ์กลม ๆ หนึ่งเม็ดอันเป็นของสำคัญอย่างหนึ่งของนาง รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของสวีต้าเฟิง
เขาร่ายพลังฝังความทรงจำที่ผิดเพี้ยนลงไปในเมล็ดพันธุ์นั้นอย่างแยบยลแล้วฉวยโอกาสตอนที่หลิวอิงอิงกำลังเวียนศีรษะหน้ามืดเปลี่ยนถ่ายความทรงจำที่แท้จริงเรื่องเทพดาราโดยที่นางไม่รู้ตัว
“ข้าบอกให้หยุด!” นางร้องเสียงดังโวยวาย คิดแล้วก็แค้นที่แพ้ทางเทพวายุอย่างเขาก่อนจะร้องให้กงจื่อเย่ช่วยนาง
น้ำเสียงเยือกเย็นตอบกลับมา “ไม่ได้เรื่อง” แต่กระนั้นพลังมารกลับโอบรอบตัวนางหยุดพายุหมุนของเทพวายุได้ในทันที
“นายท่าน ข้ามีเรื่องจะรายงาน” นางเลิ่กลั่กรีบบอกเขากลัวว่าจะถูกลงโทษเพราะทำพลาดครั้งที่สองโดยหารู้ไม่ว่านางกำลังจะทำพลาดอีกเป็นครั้งที่สามเพราะบอกเรื่องสวีลู่ชิงเพี้ยนไปจากเดิม
กงจื่อเย่ไม่ได้เฉลียวใจเพราะมัวแต่ใช้พลังมารดันตัวเองออกมาจากแท่นเสาศักดิ์สิทธิ์จึงเชื่อว่าสิ่งที่ลูกน้องมือขวาพูดเป็นเรื่องจริง
เขาส่งต่อเรื่องราวปลอม ๆ ที่สวีต้าเฟิงสร้างขึ้นให้ฝ่ายที่ลงไปตามล่าสวีลู่ชิงในแดนมนุษย์ แล้วเอ่ยปากบอกนางว่า “หากครั้งนี้มีปัญหาให้ข้าเหนื่อยใจอีก ข้าจะกัดกินวิญญาณของเจ้าแทนอาหารมื้อค่ำ”
“เจ้าค่ะนายท่าน” หลิวอิงอิงนิ่วหน้ามองเทพวายุที่สร้างเรื่องวุ่นวายให้นางแล้วร่ายพลังมารพร้อมสั่งเหยี่ยวเพลิงหลายร้อยตัวเข้าโจมตีคนตรงหน้า
แดนมนุษย์เดิมทีเทพดาราจะกลายเป็นดาวตกลงมาเผชิญด่านเคราะห์ทุก ๆ หนึ่งพันปีเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตในแดนมนุษย์ นางมีโชคชะตาที่เทพบรรพกาลเลือกสรรให้เป็นผู้สังหารจอมมารที่ถือกำเนิดขึ้นในสามภพตลอดระยะเวลาหลายแสนปีที่ผ่านมา เหล่าเทพเซียนภพสวรรค์ได้รับเลือกจากเทพบรรพกาลมานับไม่ถ้วนเพราะเขาผู้นั้นคือผู้หยั่งรู้โชคชะตาเมื่อจอมมารในแต่ละช่วงเวลาถือกำเนิด หากวิธีที่รับมืออยู่ไม่สามารถต้านทานพลังมารอันชั่วร้ายได้ เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะผู้ที่สังหารจอมมารตนนั้นต้องสละแก่นวิญญาณของตนเองหลอมรวมอสนีบาตสวรรค์ 19 ครั้ง ผันเปลี่ยนเป็นพลังมหาศาลทำลายจอมมารไปพร้อม ๆ กันเหตุการณ์เหล่านั้นจึงทำให้มีเทพเซียนดับสูญตลอดกาลไปไม่น้อย แต่เพื่อแลกกับความสงบสุขของสามภพแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงยอมรับในโชคชะตาของตัวเองครั้งนี้สวีลู่ชิงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครั้งที่สองด้วยช่วงเวลาที่ห่างกันจากครั้งแรกเพียงห้าร้อยปี พลังเทพของนางจึงได้รับความเสียหายบางส่วนเด็กทารกดวงตาสีฟ้า เรือนผมขาวแต่กำเนิดราวหิมะปรา
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งนอกเมืองหนานพ่อค้าจากต่างเมืองที่ผ่านมาแวะพักในโรงเตี๊ยมเล่าข่าวคราวที่บังเอิญได้ยินมาให้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นฟัง เสียงเล่าลือว่าคนในหมู่บ้านหงเหลียนทางตอนใต้แคว้นชิงตายด้วยอาการประหลาดคนที่เหลือรอดมาได้เล่าวกไปวนมาว่าสิ่งที่เข้าทำร้ายพวกเขาต้องไม่ใช่คน ดูไม่มีรูปร่างแต่แววตาแดงฉานฉายชัด ครั้นจะถามต่อว่าเป็นอย่างไรบ้างกลับไม่ได้อะไรเพิ่มเติม คนเหล่านั้นเหมือนสติหลุดพูดจาไม่รู้เรื่องไปเสียแล้วเจ้าเมืองจึงต้องส่งคนไปเชิญเซียนสำนักต่าง ๆ เข้ามาตรวจสอบข่าวลือที่ว่าผีปีศาจออกอาละวาดทำร้ายชาวเมืองเป็นเรื่องจริงหรือไม่กระนั้น หลายเดือนผ่านไปยังไม่มีใครเห็นเซียนที่เข้าไปในหมู่บ้านหงเหลียนออกมาข้างนอก บรรยากาศรอบหมู่บ้านราวกับมีผีสิง อึมครึม เย็นยะเยือก นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หมู่บ้านร้างอีกเลย“แค่เล่าให้พวกเจ้าฟังก็ขนหัวลุกแล้ว” หนึ่งในคาราวานพ่อค้าเอ่ยปากพลางทำท่าสั่นกลัว“ไม่ใช่แค่หมู่บ้านหงเหลียนหรอก” ชายคนหนึ่งกระดกแก้วเหล้าอึกใหญ่รำลึกถึงเหตุการณ์เฉียดตายที่พบเ
สำนักเซียนดาราสวรรค์“จื่อเถิง มาหาอาจารย์หน่อยเถิด” เสียงของเฉาหมิงเรียกนางด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลูบศีรษะของศิษย์ผู้นี้อย่างอ่อนโยน “อาจารย์เจ้าสำนักฝากข้าเอามาให้เจ้า”จื่อเถิงมองดูหยกสีชมพูอ่อน สีหน้างงงวยเพราะไม่รู้ว่าหยกหน้าตาสวยงามคืออะไร“อาจารย์เจ้าสำนักเป็นห่วงเจ้ามากจึงฝากข้านำมาให้” เขาถอนหายใจเพราะรู้ว่าอาจารย์ของตนเองใช้พลังเซียนที่สั่งสมมานานหลายสิบปีหลอมหยกชิ้นนี้ขึ้นมาให้ศิษย์หลานโดยเฉพาะครั้นถามว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้นกลับได้คำตอบมาว่า “นางเดินทางออกนอกสำนักเป็นครั้งแรก ย่อมต้องห่วงเป็นธรรมดา”ทว่า เฉาหมิงกลับสังเกตได้ว่ารอยยิ้มของนางนั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ไม่อาจถามไถ่สิ่งใดได้อีกเพราะนางคงไม่มีทางบอกอย่างแน่นอน“ขอบคุณเจ้าค่ะ” จื่อเถิงรับปากว่าจะปกป้องทุกคนและกลับมาสำนักดาราสวรรค์ก่อนเทศกาลโคมไฟแล้วรีบวิ่งไปหาศิษย์น้องอิงฮวาที่ยืนรออยู่ด้านหน้าสำนักคล้อยหลังจื่อเถิง เฉาหมิงเอ่ยปากบอกหยางซีอวิ๋นผู้เป็นศิษย์พี่ว่า &ld
ช่วงเวลานั้นเกิดเสียงหวีดร้องและเสียงปะทะพลังของทั้งสองฝ่ายกระหึ่มดังไปทั่วบริเวณเซียนหนุ่มหันไปมองสหายด้วยสายตากังวล“ไม่เป็นอันใดหรอก เลี่ยงหวง” เซียนสาวบอกศิษย์ร่วมสำนักด้วยท่าทีใจเย็นเพราะมีประสบการณ์เรื่องต่อสู้มามาก “จำที่อาจารย์สอนเจ้าได้หรือไม่”เลี่ยงหวงพยักหน้าแล้วรวบรวมพลังเซียนวิชาหนึ่งของสำนักตนเอง พลันแสงสีขาวก่อตัวพองโตเป็นลูกกลม ๆ ขึ้นทีละนิด เขาขมวดคิ้วกลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ ข้าพร้อมแล้ว”เฉินซือหยางมัวแต่วอกแวกเพื่อกวนประสาทเซียนทั้งสองจึงไม่ทันระวังตัวโดนพลังเซียนขั้นสูงสาดใส่ร่างปีศาจเข้าเต็มเหนี่ยวกระเด็นทะลุบ้านเรือนไปหลายหลังเขายันตัวลุกขึ้นเอียงคอจัดกระดูกที่หักไปหลายท่อนกลับมาดังเดิมแล้วเช็ดเลือดที่มุมปากพลางปัดฝุ่นดินบนเสื้อผ้า แสยะยิ้มที่ไม่ได้เจอผู้ใดมีฤทธิ์เดชรุนแรงเท่าสองคนข้างหน้ามานานมากแล้ว“เฉินซือหยาง เจ้าอย่าลืมว่าพวกเขามิใช่เซียนธรรมดา”มังกรดำเอ่ยปากเตือนเพราะไม่อยากให้สหายเพลี่ยงพล้ำจนเสียการงาน
มังกรดำโผล่หน้าเหนือศีรษะของอิงฮวาอ้าปากรอเขมือบร่างบางที่มิอาจหลีกหนีได้ทัน หากแต่แสงจากกระบี่เซียนกำลังง้างปากของมังกรดำเอาไว้ไม่ยอมให้มันบดขยี้จื่อเถิงและหยางซีอวิ๋นยังไม่อาจผละจากกองทัพปีศาจที่อยู่รอบตัวได้ ครั้นกำจัดไปหนึ่งก็จะถูกอีกสองถ่วงแข้งขาเอาไว้อย่างรู้งานในเมื่อไม่อาจขย้ำเหยื่อตัวน้อยตรงหน้าได้ มังกรดำจึงเปลี่ยนวิธี ค่อย ๆ ดูดกลืนพลังชีวิตของอิงฮวาแทนเส้นสายสีขาวจาง ๆ ถูกดึงยืดออกจากร่างเซียนน้อยทีละนิดจนนางไม่อาจกลั้นเสียงร้องเจ็บปวดได้ค่อย ๆ หมดแรงต้านทานจนปากของสัตว์อสูรเริ่มปิดลงได้เรื่อย ๆ“ศิษย์พี่...” เสียงหอบเหนื่อยล้าของอิงฮวาพึมพำอยู่ลำพัง คิดในใจว่าวันนี้ตนเองอาจจะไม่รอดจึงร่ายพลังน้อยนิดที่เหลืออยู่ส่งสัญญาณให้พวกเขาดวงไฟสีขาวพุ่งเข้าหาจื่อเถิงกับหยางซีอวิ๋นในพริบตาจึงทันได้หันรอยยิ้มสุดท้ายของศิษย์น้องเล็กที่กำลังจะถูกมังกรดำเขมือบอยู่รอมร่อเหตุการณ์นี้กระตุ้นให้จื่อเถิงเปิดผนึกเทพดาราออกส่วนหนึ่งเกิดรอยอักขระโบราณขึ้นที่แขนของนางพลันพลังเทพดาราส
เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์นั้นแล้ว จื่อเถิงจึงไม่รอช้านั่งสมาธิรวบรวมพลังเซียนของตนเองไว้ใจกลางจุดกำเนิดพลังเพื่อเก็บเกี่ยวสรรพสิ่งรอบตัวหลอมรวมเมล็ดพันธุ์ให้สมบูรณ์เลี่ยงหวงมีสีหน้ากังวลที่เห็นนางทำเช่นนั้นจึงถามศิษย์พี่ของนาง “นางกดดันตนเองเกินไปหรือไม่ เดิมทีเมล็ดพันธุ์จะสมบูรณ์เมื่อครบกำหนดอายุขัยในชาตินั้น แต่นี่นางจะย่นเวลาเพื่อหลอมรวมมันเชียวหรือ”“พวกเรามีทางเลือกด้วยหรือ” หยางซีอวิ๋นกล่าวขึ้น “จอมมารที่ไม่ควรปรากฏตัวกลับอยู่แดนมนุษย์ในเวลานี้ ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่ามันจะคร่าอีกกี่ชีวิตเพื่อตามหานาง”จื่อเถิงรู้ดีว่าตนเองมีขีดจำกัดเท่าใด หากมีความมุ่งมั่นแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดนางก็จะทำให้สำเร็จจงได้ ในเมื่อมีชีวิตของทุกคนเป็นเดิมพัน นางจึงไม่อาจอยู่เฉยปล่อยให้ใครต่อใครถูกทำลายทว่า พวกเขาไม่อาจหลบซ่อนอยู่ในเมืองจิวหรงได้นานเพราะสัตว์อสูรหลายตนผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ด
ภพสวรรค์เทียนจวินและเทพอาวุโสถูกพลังมารกำบังตาชั่วขณะหนึ่งจึงไม่ทันสังเกตว่าจอมมารเล่นแร่แปรธาตุหลบหนีตามสังหารคนของตัวเองร่างมารของกงจื่อเย่ที่อยู่บนแดนมนุษย์ดูดกลืนพลังชีวิตผู้คนเป็นอาหารทำให้พลังความชั่วร้ายของเขาในร่างมารบนสวรรค์เพิ่มขึ้นด้วยแท่นเสาศักดิ์สิทธิ์ที่ผูกมัดเขาเอาไว้ ถูกกงจื่อเย่สั่นสะเทือนเล็กน้อยให้อีกฝ่ายตกใจเล่น ในใจมองว่าพลังเทพเซียนเหล่านั้นช่างเหมือนเด็กน้อยไม่มีผิดเขาสั่งการหลิวอิงอิงค้นหาคำตอบว่าเทพสงครามเล่นกลอันใดกับตัวเขาก่อนที่ร่างจะสลาย พลางจ้องหน้าเทพวายุด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์“ดวงตาสีฟ้า เรือนผมสีขาว เหมือนกันมากทีเดียว” กงจื่อเย่หัวเราะลั่น แม้จะยังไม่เคยพบหน้าเทพดาราตัวจริงมาก่อน แต่ภาพที่เห็นจากรายงานของโจวเหวินหลงก็ทำให้เข้าใจอย่างหนึ่งไม่ว่านางจะลงมาเกิดเป็นผู้ใด หากแต่รูปลักษณ์ของนางไม่เคยเปลี่ยน
แดนมนุษย์หยางซีอวิ๋นประคองร่างบางของอิงฮวาไว้ข้างกาย มืออีกข้างที่เหลือกำด้ามกระบี่กวัดไกวสู้กับปีศาจสองสามตนที่กำลังล้อมหน้าล้อมหลังพวกมันเอื้อมมือสาวปลายผมยาวของอิงฮวาติดไปด้วยพลางยื้อหยุดฉุดกระชากตามใจหมายจะได้ดูดกลืนพลังชีวิตเซียนแสนบริสุทธิ์“ศิษย์พี่ ปล่อยข้าไว้เถิด” อิงฮวาเอ่ยปากบอกเขา สีหน้าจริงจังเพราะรู้สึกว่ากำลังเป็นตัวถ่วงทำให้เขาเหาะเหินเดินไม่สะดวก“ไม่ได้!” หยางซีอวิ๋นปฏิเสธทันควัน “หากไม่ได้เจ้าช่วยไว้เมื่อครู่ คงเป็นข้าที่ถูกพวกมันทำร้ายจนสาหัสเพียงนี้”เช้าวันนี้ ทั้งสองคนเพียงแค่ออกมาตรวจดูลาดเลาพื้นที่ภายนอกเท่านั้นเพราะเห็นว่ามารปีศาจไม่สามารถเข้ามายังป่าสนแดงฝั่งตะวันออกได้ทว่า ความสงบเงียบกลับกลายเป็นภาพลวงตาที่ปีศาจตนหนึ่งสร้างเอาไว้ ศิษย์สำนักดาราสวรรค์ถูกหลอกเข้าเต็มเปาจนเพลี่ยงพล้ำตกอยู่ในวงล้อมของ
เช้าวันหนึ่งในหมู่บ้านดอกท้อนกน้อยสีดำไซ้ขนอยู่ข้าง ๆ สวีลู่ชิงที่นั่งหลับตาฟื้นฟูแก่นวิญญาณของตนเองอยู่เงียบ ๆ ส่วนอีนั่ววิ่งเล่นอยู่กับสมุนจอมมารโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยบรรยากาศภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ เต็มไปด้วยความสดชื่นสนุกสนานจนบางทีพวกเขาลืมไปเลยว่าสาเหตุที่ทำให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในที่แห่งนี้คืออะไรสวีต้าเฟิงเดินเข้ามาทักทายน้องสาวยามเช้าเหมือนอย่างเคย รอยยิ้มบางประดับบนใบหน้านึกเอ็นดูนางราวกับเป็นเด็กน้อย แต่เวลานี้น้องสาวตัวเล็กในวันวานกลับมีบุตรชายจอมซนเหมือนนางไม่มีผิดเขาจึงรับหน้าที่ดูแลทั้งคู่ด้วยความเต็มใจ ถึงอย่างนั้นแล้วดวงตาสีฟ้ากลับจ้องมองนกน้อยตรงหน้าจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ (มองหน้าข้า มีเรื่องอันใด)“...” เทพวายุ
สองอาทิตย์ต่อมาสมุนจอมมารทั้งสามล้อมวงก้มมองเจ้าถ่านด้วยความสงสัยว่านกน้อยตัวนี้เป็นมารปีศาจเผ่าพันธุ์ใดกันแน่“ผ่านมานานถึงเพียงนี้ เหตุใดบาดแผลจึงยังไม่หายหรือว่าถูกพลังร้ายกาจของผู้ใดมา” เฉินซือหยางขมวดคิ้วเป็นปมนึกสงสัยเพราะจับตามองอยู่นานแล้ว“พลังเทพอาจจะรักษาไม่ได้เพราะเป็นนกที่มาจากภพมารแต่ถึงอย่างไรพลังของนายน้อยก็ไม่ได้ผลอีก ข้าว่าเจ้าถ่านนี่มีอะไรแปลก ๆ” หลิวอิงอิงวิเคราะห์ตามความรูสึกของตัวเอง มือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับปีกที่เป็นแผลจิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ“เฮอะ ดูสิ ข้าว่ามันบ่นเจ้าใหญ่เลย” โจวเหวินหลงพูดบ้าง คนที่มีสติดีที่สุดอย่างเขาจึงนึกเรื่องบางอย่างออกพลันจ้องมองดวงตาของนกน้อยอีกครั้งหนึ่ง&l
บ้านหลังเล็กของมารน้อยเมื่อทั้งสองฝ่ายตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอย่างไรต่อไปจึงร่างสัญญาสงบศึกชั่วคราวเพราะต้องการดูลาดเลาสถานการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่กันเพียงสองคน เวลานี้มีหลังอื่นผุดขึ้นมาอยู่ใกล้ ๆ กันอีกสามสี่หลังจนแทบจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มีทั้งมารและเทพอยู่ร่วมกันอย่างสันติต้นท้อรายรอบกำลังผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเหมือนภาพวาด อีนั่วจึงตั้งชื่อหมู่บ้านของเขาว่าหมู่บ้านดอกท้อ ในใจคิดอยากอยู่ที่แห่งนี้อย่างสงบตลอดไปพลังของอีนั่วถูกกลบซ่อนเอาไว้ไม่ให้มารปีศาจตนอื่นรู้ รอบเขตบ้านจึงมีม่านศักดิ์สิทธิ์ของเทพวายุห้อมล้อมอยู่ด้วย“เจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้ พวกข้าอึดอัด” หลิวอิง
สวีลู่ชิงและพี่ชายรอข่าวคราวจากเสี่ยวไป๋อยู่นอกเขตแดนมารนางเดินวนไปวนมาด้วยความกังวลกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีนั่วจนแทบอยากจะฝ่าเข้าไปในภพมารเพื่อตามหาเขาด้วยตัวเอง“นั่งลงก่อนเถิด เจ้าเดินไปเดินมาจนข้าตาลายแล้ว” สวีต้าเฟิงส่ายหน้าพลางบ่นพึมพำ“ข้าเป็นห่วงเขา” นางเอ่ยตามตรง ใจหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอกับมารน้อยครั้งแรกแต่อีกใจกลับสัมผัสความรู้สึกคุ้นเคยได้อย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาเพียงเสี้ยวหนึ่ง เสี่ยวไป๋ส่งสัญญาณบางอย่างกลับมาหาผู้เป็นเจ้านายบอกให้รู้ว่ากำลังมาถึง รอยยิ้มบางจึงผุดขึ้นมาด้วยความยินดีพลันเงาดำตะคุ่มปรากฏด้านหลังเขตแดนภพมาร“สวีลู่ชิง ถอยออกมา” เทพวายุดึงร่างน้องสาวให้ออกห่างเพราะกลัวจะมีอันตราย “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม จงอย่าล
หลังจากกงจื่อเย่สูญสิ้นไปทัพมารที่กำลังบุกสวรรค์ครานี้จึงแตกพ่ายเพราะไร้ผู้นำถูกกองทัพสวรรค์ขับไล่กลับภพมารในเวลาไม่นานเหล่าเทพเซียนต่างพากันโห่ร้องยินดีเพราะภัยคุกคามถูกกำจัดแล้ว หากแต่เทพอาวุโสและเทพชั้นสูงบางคนยังคงไม่อาจวางใจได้มากนักแต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็พอจะโล่งใจได้บ้างว่าหลายพันปีต่อจากนี้สามภพคงจะสงบสุขราบรื่น และหากถึงเวลาที่จอมมารฟื้นคืนกลับมา ตอนนั้นพวกเขาคงหาวิธีรับมือได้บ้างแล้วตำหนักเทพดารามีแขกเข้าเยี่ยมไม่ขาดสายเพราะได้ยินเรื่องราวปากต่อปากจึงมาถามไถ่ด้วยตนเอง สวีลู่ชิงจึงบอกพวกเขาแต่เพียงว่า “มารผู้นั้นคงกลับใจกระมัง แต่ข้าไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอันใด”นางกล่าวเช่นนั้นเพราะไม่รู้จริง ๆ แม้กงจื่อเย่จะจากไปแล้วแต่ความทรงจำที่ขาดหายไปก็ยังไม่กลับคืนมา
เทพเซียนที่ยืนอยู่รายรอบมองหน้ากันด้วยความงุนงงครั้นจะพุ่งตัวเข้าไปดึงจอมมารออกมาจากที่นั่นก็ทำไม่ได้เพราะรังแต่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเองไปด้วยคราวแรกก็คิดว่าเขาเข้ามาขัดขวางไม่ให้นางทำภารกิจสำเร็จ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับได้เห็นว่าจอมมารกำลังใช้ร่างกายตัวเองเป็นเกราะกำบังและรับอสนีบาตแต่เพียงผู้เดียว“สวีต้าเฟิง นี่มันเรื่องอันใดกัน” หนึ่งในเทพอาวุโสถามเขาเพราะเพิ่งมาถึง“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” เขาไม่อาจตอบคำถามนั้นได้เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวตรงหน้าจะกลับตาลปัตรได้ขนาดนั้น“แต่ถ้าปล่อยเอาไว้แล้วจะจัดการจอมมารได้อย่างไร เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเทพดาราจะต้องเป็นผู้รับทัณฑ์สวรรค์ ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องรีบเข้าไปห้าม”เทพอาวุโสส่ายหน้าหนักใจ ช่วงท
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นคนเป็นพี่ชายอย่างสวีต้าเฟิงแทบทำอาวุธหลุดมือ ในใจนึกโกรธเกรี้ยวที่จอมมารเจ้าเล่ห์พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง“เจ้าอย่ามาพูดซี้ซั้ว” เทพวายุกำอาวุธประจำกายไว้แน่น “กล้าพูดใส่ร้ายให้น้องสาวข้ามีมลทิน เห็นทีคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”กงจื่อเย่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะทุกสิ่งที่พูดออกไปเป็นความจริงจึงยืนยันว่า “ข้าคือสามีที่ถูกต้องตามประเพณีในด่านเคราะห์ชาติที่สองของนาง” ใจจริงเขาอยากจะพูดต่อด้วยซ้ำไปว่ามีพยานรักหนึ่งคนที่มีดวงตาสีฟ้างดงามเหมือนกับนางแต่เพื่อความปลอดภัยของมารน้อย เขาจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ต่อไป“เฮอะ” เทพปฐพีแสยะยิ้ม “ก็แค่ด่านเคราะห์ เจ้าจะมายึดถือเช่นนั้นได้อย่างไร” เขาถามออกไปแต่ในใจเริ่มคิดแล้วว่าถ้าเขาได้ตัวภรรยากลับไปแล้วเรื่องราวสงครามของจอมมา
สายใยระหว่างแม่ลูกที่ถักทอในแก่นวิญญาณมารน้อยทำให้เขารู้ว่าเวลานี้นางหายไปอยู่ในที่แสนไกล ถึงอย่างนั้นก็ยังคงหวังลึก ๆ และนั่งรอมารดาอยู่ที่เดิมทว่า ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในใจของอีนั่วเศร้าหมองและคิดถึงนางยิ่งนักจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่เกรงกลัวว่าจะมีอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวเองพลันใช้พลังมารหายตัวเข้าสู่แดนสวรรค์ในพริบตาอีนั่วรีบพุ่งไปที่ตำหนักเทพดาราในทันที ไม่ข้องแวะที่ใดเพราะห่วงว่าจะมีใครสังเกตเห็นตัวตนมารปีศาจ คอยแอบอยู่ในมุมมืด พรางตัวราวกับเป็นอากาศ แล้วกวาดสายตามองหามารดา“ท่านแม่...” เขาเผลอเรียกออกไปแบบนั้นอย่างเคยแต่หยุดชะงักไปเพราะรู้สึกได้ว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอะไรแปลกไปจากเดิม นางกำลังหัวเราะและยิ้มให้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าเลือดเนื้อเชื้อไขตัวน้อย ๆ รอนางเพียงลำพัง
วันหนึ่งในฤดูฝนเสียงฟ้าร้องคำรามก้องไปทั่วบริเวณเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม พื้นดินรอบบ้านเปียกแฉะกลายเป็นโคลนและมีแอ่งน้ำเล็ก ๆ เกิดขึ้นหลายแห่งทุ่งดอกไม้สีเหลืองพัดไหวตามสายฝนลมพัดในเวลานั้นราวกับเริงระบำแม้อู๋เยว่ชิงจะถูกพลังของอีนั่วปกปิดเรื่องบางอย่างเอาไว้ แต่นางที่เป็นถึงเทพดาราย่อมเฉลียวใจได้ในบางครั้งว่าทุกสิ่งมันแปลกเกินไป อายุที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวัน ไม่มีมนุษย์ผู้ใดหรอกจะอายุยืนร้อยปีแต่เนื้อหนังร่างกายและใบหน้ายังคงเหมือนวันวานไม่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะอีนั่ว ร้อยปีผ่านมาแล้วเขายังคงเหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบไม่มีผิดสายตาที่ล่องลอยราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้บุตรชายสังเกตได้ในพริบตา เขาเอียงคอเล็กน้อยก่อนที่พลังมารจาง ๆ ค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไปหาอู๋เยว่ชิง